เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 407 เริ่มการทดสอบแดนมายา
บุรุษหนุ่มเพียงเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ
หลังจากนั้นจึงปัดมือเบา ๆ เป็ นสัญญาณให้ซูหรันถอยกลับไป
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
เมื่อเห็นซูหรันถอยออกไปไกลแล้ว บุรุษหนุ่มจึงปรายตามองซ่งจื
ออวี่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบขึ้นอีกครั้งว่า “ศิษย์น้องซ่ง แม้เจ้า
และข้าต่างก็มาจากสานักสิงหยุน แต่เจ้าอย่าได้ลืมว่า ตอนนี้เจ้าเป็ น
ศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราสองคนยัง
เป็ นผู้รับผิดชอบการทดสอบต่อจากนี้อีกด้วย”
“การที่เจ้าใช ้อารมณ์เป็ นใหญ่ หากพวกท่านประมุขทราบเข้า
ผลลัพธ ์ของเรื่องนี้มิใช่สิ่งที่เจ้าและข้าจะสามารถรับได้อย่างแน่นอน”ทันทีที่สิ้นเสียง ซ่งจืออวี่พลันขมวดคิ้วมุ่น แววตามีประกาย
บางอย่างพาดผ่าน
“ศิษย์พี่หลวน ที่ท่านกล่าวมามีเหตุผลก็จริง”
ซ่งจืออวี่หมุนกายหันมาเผชิญหน้ากับหลวนผิง ก่อนจะเอ่ยอย่าง
มิพอใจว่า “แต่เยี่ยงไรซะศิษย์น้องหม่าก็มาจากสานักสิงหยุน
มิหนาซ้ายังเป็ นศิษย์ที่อาจารย์ให้ความสาคัญอย่างมากอีกด้วย”
“แต่บัดนี้มิเพียงพ่ายแพ้ให้กับคนที่มิมีที่มาที่ไป ทั้งยังถูกท่าน
บรรพจารย์ขงลงโทษหนักเช่นนี้ เรื่องนี้มิว่าเยี่ยงไรข้าก็ต้องทวงความ
ยุติธรรมให้กับศิษย์น้องหม่า ให้จงได้ขอรับ”
เมื่อได้ฟังคากล่าวนี้ หลวนผิงก็ได้แต่ส่ายหน้า และมิได้เอ่ยสิ่งใด
อีก
นิสัยของศิษย์น้องซ่งผู้นี้ดื้อรั้นเพียงใด เขาในฐานะศิษย์พี่ย่อมรู ้ดี
อยู่แก่ใจนั่นก็หม่ายความว่าต่อให้เย่ฉางชิงจะผ่านการคัดเลือกจากเมือง
กระบี่สวรรค์มาได้ แต่การทดสอบในรอบต่อ ๆ ไป เขาจะต้องพบกับ
ความยากลาบากอย่างเลี่ยงมิได้เป็ นแน่
“ศิษย์พี่หลวน ข้ามิเหมือนท่าน อีกทั้งมิได้มีจิตใจที่สงบเยือกเย็น
เช่นท่านอีกด้วย”
หลังจากนั้นซ่งจืออวี่หันไปมองกลุ่มคนที่อยู่มิไกลนัก พร ้อมกับ
เอ่ยด้วยสายตาที่แน่วแน่ว่า “ตอนนั้นหากมิใช่เพราะอาจารย์พาข้า
กลับไปส านักสิงหยุน เกรงว่าข้าคงหิวตายอยู่ข้างถนนไปนานแล้ว”
“ดังนั้นขอเพียงข้ายังอยู่ในนิกายกระบี่สวรรค์ ข้าจะมิยอมให้
ศิษย์ของสานักสิงหยุนถูกหยามศักดิ์ศรี จนท าให้ส านักสิงหยุนต้อง
อับอายเป็ นอันขาด ต่อให้แลกกับการมิได้บ าเพ็ญเพียรในนิกาย
กระบี่สวรรค์ ข้าก็ยอม”
เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของซ่งจืออวี่ หลวนผิงพ่นก็ทาได้เพียงลม
หายใจออกมา ก่อนจะหันไปมองบุรุษหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีดาลาย
เมฆากลุ่มนั้น“เปิดแดนมายา เตรียมเริ่มการทดสอบได้”
หลวนผิงออกคาสั่ง พลางเพ่งสมาธิแล้วหยิบหินธรรมดาก้อน
หนึ่ง ออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
มิใช่สิ !
พูดให้ถูกก็คือ หินก้อนนี้มีชื่อเรียกว่า ศิลายันต์
ซึ่งศิลายันต์นี้กลั่นมาจากวัสดุเซียนหายากที่มีชื่อว่าศิลาเทพ
เวหา โดยปรมาจารย์ค่ายกลในต านาน
ศิลายันต์นี้ปกติแล้วจะแบ่งออกเป็ นสองประเภท
ประเภทแรกคือ บนศิลาเทพเวหาได้มีการสลักลวดลายค่ายกล
และสัญลักษณ์ เกิดเป็ นค่ายกลสังหารและค่ายกลโบราณ และในช่วง
เวลาส าคัญ ศิลายันต์จะสามารถโจมตีศัตรูหรือใช ้ป้ องกันตัวได้ส่วนอีกประเภทก็คือ ด้วยวิธีภูตผีบางอย่างจึงท าให้ศิลายันต์
สามารถสร ้างพื้นที่พิเศษขึ้นมาได้ตามใจปรารถนา หรือจะเรียกว่า
โลกใบย่อม ๆ ก็ได้
และเมื่อดูจากคุณสมบัติและการใช ้งานของทั้งสองประเภทแล้ว
การจะเอามาใช ้โจมตีหรือป้ องกันตัวเองนั้น ถือว่าได้ประโยชน์น้อย
มาก
เนื่องจากศิลาเทพเวหาถือเป็ นวัสดุเซียนหายาก และมีราคาสูง
มาก ดังนั้นผู้ที่ครอบครองศิลาเทพเวหา จึงมักมินาเอาศิลายันต์มาใช ้
ประโยชน์ แค่เพียงโจมตีหรือป้ องกันตัวเองอย่างแน่นอน
ส่วนคุณสมบัติในการสร ้างพื้นที่พิเศษนั้น กลับต่างกันโดย
สิ้นเชิง
ยังมิต้องพูดถึงวิธีการทาศิลายันต์นั้นยากเย็นเพียงใด และทา
ออกมาได้เยี่ยงไร เพราะแม้แต่ในตาราโบราณมากมาย ยังมีบันทึก
เกี่ยวกับศิลายันต์นี้อยู่น้อยมากคิดดูก็รู ้แล้วว่าศิลายันต์ขนาดเท่ากาปั้นเด็กนั้น ล้าค่ามาก
เพียงใดกัน
และการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ในรอบนี้ จะแบ่งออกเป็ น
สองหัวข้อ
การทดสอบหัวข้อแรกก็ คือ เข้าไปในโลกของศิลายันต์เป็ นเวลา
3 เดือน เพื่อเผชิญหน้ากับภาพมายามากมายที่ตนเองสร ้างขึ้น และ
ต้องเดินออกจากภาพมายาให้ได้ ภายในระยะเวลาที่กาหนด
หากกินระยะเวลาเกิน 3 เดือนขึ้นไป หรือเสียสติจากการถูก
ครอบงา จะถือว่าคนผู้นั้นมิผ่านการทดสอบ
มินานหลังจากกลุ่มบุรุษชุดคลุมสีด าท าท่ามุทรา และผสานรอย
ตราโบราณที่เปล่งประกายเจิดจ้าเข้าไปในห้วงอากาศโดยพร ้อม
เพรียงกัน จากนั้นรอยตราโบราณก็ได้ผสานรวมเข้าด้วยกัน จนเกิด
เป็ นรอยตราโบราณขนาดใหญ่อันพิสดารขึ้นทันใดนั้นคลื่นพลังอันรุนแรงก็เปล่งแสงออกมา ห้วงอากาศ
โดยรอบเกิดการสั่นสะเทือน จนเกิดระลอกคลื่นเป็ นชั้น ๆ ขึ้นมา
ในตอนนั้นเอง ศิลายันต์ที่อยู่กลางฝ่ามือของหลวนผิงก็เริ่มมีการ
ตอบสนอง
ลวดลายค่ายกลและสัญลักษณ์ที่สลักอยู่บนศิลาเทพเวหา พลัน
เปล่งแสงและมีไอหมอกลอยวน ก่อนจะลอยขึ้นกลางอากาศ และพุ่ง
ไปทางตราโบราณพิสดารเมื่อครู่
ในวินาทีที่ศิลายันต์และรอยตราโบราณปะทะกันนั้น
ศิลายันต์ก็เปล่งแสงเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิงออกมา ส่วนรอยตรา
โบราณก็สว่างวาบขึ้นจนแสบตาเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ห้วงอากาศโดยรอบก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่าง
รุนแรง ราวกับก้อนหินก้อนเดียวทาให้เกิดระลอกคลื่นเป็ นพันชั้น ซึ่ง
เป็ นภาพที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก ทว่าก็ชวนให้รู ้สึกหวาดหวั่นมิน้อยจนเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป
หลังจากแสงอันแสบตาเหล่านั้นค่อยๆ มลายหายไป ประตูบาน
หนึ่งที่ถูกบดบังเอาไว้ด้วยแสงลางๆ ก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายตา
ของทุกคน
ตอนนั้นเอง ซ่งจืออวี่จึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ประตูแดน
มายาเปิดขึ้นแล้ว สิ่งนี้หมายความเยี่ยงไรนั้น คงมิต้องให้ข้าอธิบาย
แล้วกระมัง ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ศิษย์ของสานักต่าง ๆ ก็สบตากันเล็กน้อย พร ้อม
กับมีสีหน้าแน่วแน่ ก่อนจะทยอยเดินตรงไปด้านหน้า
“ศิษย์พี่ชวี่ พวกเราไปกันเถอะขอรับ”
เย่ฉางชิงสบตากับชวี่เหวินเซี่ยเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามอง
เหล่าสตรีที่อยู่รอบกาย แล้วเอ่ยขึ้นพร ้อมรอยยิ้มอ่อนโยนชวี่เหวินเซี่ยยิ้มออกมา พลางพยักหน้ารับเล็กน้อย
ทว่าระหว่างที่พวกเย่ฉางชิงเตรียมจะเข้าไปนั้น
จู่ ๆ ในสมองของเขาก็มีเสียงอันนุ่มนวล และฟังดูคุ้นเคยเสียง
หนึ่งดังขึ้น
“เย่ฉางชิง เจ้าต้องจ าเอาไว้ให้ดี”
“เมื่อเข้าไปในประตูบานนั้นแล้ว มิว่าจะเห็นสิ่งใด หรือได้ยินอะไร
เจ้าจะต้องตั้งจิตให้มั่น อย่าให้ภาพมายาเหล่านั้น ส่งผลต่อจิตใจของ
เจ้าได้เป็ นอันขาด”
หลังจากได้ยินดังนั้น เย่ฉางชิงก็ชะงักงัน ก่อนจะหันไปมองทาง
ซูหรันที่อยู่มิไกลนักเมื่อเห็นอีกฝ่ ายส่ายหน้าให้น้อย ๆ เขาจึงพยักหน้ารับ พร ้อมส่ง
ยิ้มเป็ นสัญญาณให้นาง จากนั้นก็เดินนาทุกคนตรงเข้าไปด้าน
ในทันที
เวลานี้ภายในใจของซูหรันนั้น รู ้สึกสับสนเป็ นอย่างมาก แม้นาง
จะรู ้ดีว่าภายภาคหน้าตนเองและเย่ฉางชิงนั้น มิมีทางที่จะได้อยู่ในโลก
ใบเดียวกัน
อีกทั้งรู ้ว่าต่อให้ซ่งจืออวี่ยื่นมือเข้าไปยุ่งกับการทดสอบในครั้งนี้
ก็มิมีทางส่งผลต่อการเข้านิกายกระบี่สวรรค์ของเย่ฉางชิงอย่าง
แน่นอน แต่นางก็อดมิได้ที่จะเตือนเย่ฉางชิง เพราะเกรงว่าจะเกิดสิ่งที่
มิคาดฝันขึ้น
แน่นอนว่าเย่ฉางชิงเองก็รับรู ้ได้ถึงความห่วงใยของซูหรัน
เพียงแต่เมื่อบังเอิญได้มายังโลกบาเพ็ญเพียรใบนี้ และพบว่าตนเอง
สามารถบาเพ็ญเพียรได้ บวกกับความอัดอั้นตันใจ ตอนอยู่ที่โลกใบ
บาเพ็ญเพียรใบก่อน ดังนั้นในเวลานี้เขาหาได้นึ กถึงเรื่อง
ความสัมพันธ ์เช่นนี้ไม่ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเลือกที่จะบาเพ็ญเพียรวิถีกระบี่อีกด้วย
มินานหลังจากพวกเย่ฉางชิงก้าวเข้าไปในประตูลึกลับบานนั้น
แล้ว ห้วงอากาศรอบ ๆ ประตูบานนั้นเกิดการสั่นสะเทือน และมีล าแสง
พวยพุ่งออกมา ภาพสะท้อนภาพหนึ่งให้ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
… ห
ลังจากนั้น หลวนผิงก็หันไปมองซ่งจืออวี่ที่ยืนอยู่ข้างกาย และ
มองไปยังพวกซูหรันที่เป็ นศิษย์สายนอก
“ศิษย์น้องทุกท่าน การทดสอบแดนมายาเริ่มขึ้นแล้ว พวกเจ้าก็
กลับไปนอกส านักได้แล้ว”
หลวนผิงเอ่ยด้วยน้าเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับดังก้องอยู่ในหูของพวก
ซูหรันอย่างชัดเจนซูหรันลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะประสานมือคารวะ จากนั้นก็ได้ขี่
กระบี่ขึ้นฟ้ ามุ่งไปทางนิกายกระบี่สวรรค์ในทันที
ตอนนั้นเองซ่งจืออวี่ที่กาลังจ้องเขม็งไปยังภาพสะท้อน มุมปากก็
ได้โค้งขึ้นเผยรอยยิ้มชั่วร ้ายออกมา ก่อนจะเพ่งสมาธิ หยิบขวดหยก
ขวดหนึ่ง ออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
“ศิษย์น้องซ่ง นี่มัน ? ”
หลวนผิงเอ่ยถาม พร ้อมกับขมวดคิ้วมุ่น
ซ่งจืออวี่เอ่ยด้วยใบหน้าราวกับจะยิ้ม “ศิษย์พี่หลวน ท่านมิต้อง
กังวลไป นี่เป็ นเพียงยาที่กลั่นจากหญ้าหัวใจหนอนเท่านั้น”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้แล้ว มุมปากของหลวนผิงกระตุกเบา ๆ ก่อนจะ
หันหลังให้แก่ซ่งจืออวี่ และมิได้ใส่ใจเขาอีก