เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 416 เปลี่ยนค่ายกล
หลังจากนั้น พวกเย่ฉางชิงเดินผ่านประตูสูงตระหง่านบานนั้น
เพื่อเข้าไปในพื้นที่ทดสอบเป็ นกลุ่มแรกแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นศิษย์ของ
สานักต่าง ๆ ที่เหลือ หลังจากมีท่าทีลังเลก็ทยอยเดินตามเข้าไป
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
พวกซ่งจืออวี่และศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ ก็ได้พาทุกคน
มายังเชิงเขาที่สูงเทียมเมฆลูกหนึ่ง
เบื้องหน้าของพวกเขาคือ แผ่นหินโบราณยาวนับจั้งที่สลัก
ลวดลายและสัญลักษณ์ที่ซับซ ้อนเอาไว้มากมาย และลอยอยู่กลาง
อากาศหลายแผ่น
แผ่นหินแต่ละแผ่นเรียงสลับกันขึ้นไปยังเบื้องบน ราวกับบันได
เมฆาที่สูงเสียดฟ้ าถูกแล้ว !
ที่นี่ก็คือ แดนทดสอบบันไดเมฆาของนิกายกระบี่สวรรค์นั่นเอง
เวลานี้ซ่งจืออวี่ก็มิพูดพร่าทาเพลงใด ๆ อีก และเดินตรงไปยัง
ด้านหน้าของบันไดเมฆาในทันที
จากนั้นก็ทาท่ามุทราด้วยมือทั้งสองข้าง ทาให้พลังปราณรอบ
กายพลุ่งพล่าน เปล่งประกายระยิบระยับออกมา และไอพลังของตบะ
บารมีระดับแดนเทวาแผ่ออกมาภายในพริบตา
เมื่อซ่งจืออวี่ผสานรอยตรารอยหนึ่งที่กลางอากาศเรียบร ้อยแล้ว
ซึ่งรอยตราโบราณนี้ จึงเปรียบเสมือนเป็ นกุญแจที่ใช ้เปิดผนึก
บางอย่างทันใดนั้น ลวดลายและสัญลักษณ์โบราณที่ซับซ ้อนต่าง ๆ บน
แผ่นหินพลันเปล่งแสงขึ้น และมีหมอกแสงอันเจิดจ้าพวยพุ่งออกมา
อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน กลิ่นอายของความเก่าแก่ก็ลอยออกมา
ภาพตรงหน้าของทุกคนในเวลานี้ช่างตระการตายิ่งนัก !
“เริ่มการทดสอบได้ ! ” ซ่งจืออวี่สูดหายใจเข้าน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ย
ขึ้นเรียบ ๆ ขณะหันหลังให้กับทุกคน
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียง เย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยก็สบตากัน จากนั้น
ก็ได้พาศิษย์หญิงของส านักต่าง ๆ เดินตรงไปข้างหน้า
เมื่อทั้งสองเดินผ่านไป ซ่งจืออวี่ที่มองดูแผ่นหลังสูงโปร่งของเย่
ฉางชิง ก็เผยรอยยิ้มหยันออกมา‘การทดสอบแดนมายาก่อนหน้านี้เจ้าอาจจะผ่านมาได้ง่าย ๆ
เพราะข้าค านวณผิดไป’
ซ่งจืออวี่แค่นหัวเราะภายในใจ ‘แต่การทดสอบบันไดเมฆานี้ ข้า
จะดูสิว่าเจ้าจะยังโชคดีอยู่อีกหรือไม่’
ตอนนั้นเอง หม่าเป่ ากั้วก็เดินมาอยู่ข้าง ๆ ซ่งจืออวี่อย่างเงียบ ๆ
เพราะถูกขงซิงเจี้ยนลงโทษไปก่อนหน้านี้ ทาให้เมื่อมาอยู่ข้างกาย
ซ่งจืออวี่จึงทาได้เพียงพยักหน้าให้กับซ่งจืออวี่เท่านั้น เพราะมิ
สามารถเอ่ยสิ่งใดออกมาได้
“ศิษย์น้องหม่า ข้าได้แนะนาเจ้าให้กับอาจารย์แล้ว ดังนั้นเจ้ามิ
ต้องกังวลสิ่งใดทั้งนั้น”
ซ่งจืออวี่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะส่งกระแสจิตไปว่า “รอเจ้า
ผ่านการทดสอบอย่างราบรื่นแล้ว ตั้งใจบาเพ็ญเพียรที่นอกสานักอีก
สิบปี จากนั้นอาจารย์จะต้องให้เจ้าเข้าพบอย่างแน่นอน”เมื่อได้ยินดังนั้น หม่าเป่ากั้วก็มีท่าทางนิ่งงัน ก่อนที่ดวงตาจะแดง
ก่า ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความสับสน
ซ่งจืออวี่จึงส่งกระแสจิตไปอีกครั้งว่า “เจ้าวางใจเถอะ เย่ฉางชิงผู้
นั้นแม้จะได้รับความสาคัญจากท่านบรรพจารย์ขง และข้ามิสามารถ
ลงมือกับมันได้ แต่หากมันต้องการที่จะผ่านการทดสอบนี้ให้ได้ ข้าจะ
เป็ นคนทาให้มันพบกับความยากลาบากจนถึงที่สุดเอง”
หม่าเป่ากั้วร่างกายสั่นเทาน้อย ๆ พร ้อมกับหางตามีน้าตาไหลลง
มามิหยุด
“ไปเถอะ ! ”
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หลังจากศิษย์ทุกคนที่มาเข้าร่วมการทดสอบ ขึ้นบันไดเมฆาไป
จนหมดแล้ว ซ่งจืออวี่ก็ได้เพ่งสมาธิ เพื่อติดตามและสอดส่องการ
ทดสอบของทุกคนในทันทีขณะเดียวกัน มือก็ถือแผ่นหยกลึกลับชิ้นหนึ่ง เพื่อเตรียมที่จะ
ปรับความยากของบันไดเมฆาอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากแผ่นหยก
ลึกลับชิ้นนี้หาใช่แผ่นหยกธรรมดาไม่
หากจะพูดให้ถูกก็คือ แผ่นหยกชิ้นนี้เป็ นสิ่งที่เอาไว้ควบคุมบันได
เมฆานั่นเอง
อีกทั้งบันไดเมฆามีความสาคัญต่อนิกายกระบี่สวรรค์อย่างมาก
ที่ผ่านมาล้วนอยู่ในการดูแลของประมุข
ทว่าก่อนหน้านี้จู่ ๆ ศิลายันต์ก็เกิดการแตกร ้าวขึ้น จึงทาให้การ
ทดสอบแดนมายานั้นจาต้องถือเป็ นโมฆะไป ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสของ
นิกายกระบี่สวรรค์จึงได้ประชุมหารือและตัดสินกันว่า ให้ใช ้วิธีเปลี่ยน
ระดับความยากของการทดสอบบันไดเมฆา ในบรรลุเป้ าหม่ายในการ
ทดสอบศิษย์ในครั้งนี้
นี่จึงเป็ นเหตุผลว่าเหตุใดซ่งจืออวี่ถึงได้มีแผ่นหยกควบคุมค่าย
กลของบันไดเมฆาอยู่ในมือเวลานี้เยี่ยงไรซะการทดสอบศิษย์ในครั้งนี้ก็มีเพียงเขาและหลวนผิง
เท่านั้น ที่เป็ นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
เพียงแต่เรื่องนี้ซ่งจืออวี่หาได้แจ้งแก่ศิษย์จากสานักต่าง ๆ ที่มา
เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ไม่ กลับกันเขายังมีความคิดที่จะใช ้แผ่น
หยกควบคุมค่ายกลบันไดเมฆา ในการแก้แค้นให้กับหม่าเป่ ากั้วอีก
ด้วย
……
……
ขณะเดียวกัน เมื่อเย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ย รวมทั้งเหล่าศิษย์
หญิงก้าวขึ้นบันไดเมฆาไปได้มินาน
จู่ ๆ เย่ฉางชิงก็สัมผัสได้ว่าเหมือนมีเสียงที่บางเบาเสียงหนึ่ง
กาลังร ้องเรียกเขาอยู่โดยมิทราบสาเหตุ อีกทั้งเสียงลึกลับนี้ดูเหมือน
จะมาจากจุดสูงสุดของบันไดเมฆาอีกด้วย“ศิษย์พี่ชวี่ ท่านได้ยินเสียงอันใดหรือไม่ขอรับ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามชวี่เหวินเซี่ยที่เดินขึ้นบันไดมาพร ้อม ๆ กัน
ด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบ
“เสียงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ชวี่เหวินเซี่ยนิ่งตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าออกมาช ้า ๆ
“ศิษย์น้องเย่ เจ้าฟังผิดไปหรือไม่ ? ”
คิ้วเรียวยาวของเย่ฉางชิงขมวดมุ่น พลางเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ข้า
ฟังมิผิดแน่ขอรับ อีกทั้งทุกครั้งที่ก้าวขึ้นบันไดไปได้หนึ่งขั้น เสียงนี้ก็
จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นด้วยขอรับ”
“แต่จนถึงตอนนี้เสียงนั้นก็ยังคงบางเบาอยู่ ข้าจึงฟังมิชัดว่าเสียง
นั้นกาลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่กันแน่”ชวี่เหวินเซี่ยจึงเอ่ยอย่างใช ้ความคิดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เดินขึ้นไป
ต่อเถอะ”
เมื่อพวกเย่ฉางชิงก้าวขึ้นบันไดเมฆาไปจนถึงขั้นที่ 30 เย่ฉางชิง
แม้จะยังคงมีท่าทีสบาย ๆ ทว่าเหล่าศิษย์หญิงที่อยู่ข้าง ๆ และด้านหลัง
กลับต้องกระตุ้นพลังออกมาแล้ว
จนบางคนก็เริ่มมีสีหน้าซีดเซียว บางคนก็มีเหงื่อซึมออกมาที่
ขมับ ส่วนชวี่เหวินเซี่ยนั้น แม้บนใบหน้าอันงดงามไร ้ที่ติจะยังคงเรียบ
นิ่ง ทว่าฝีเท้าของนางกลับช ้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเจ้ายังไหวอยู่หรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะเอ่ยถามเหล่าศิษย์หญิง
ศิษย์หญิงผู้มีดวงตางดงามนางหนึ่งปาดเหงื่อที่ขมับ พลางโบก
มือไปมา “ท่านพี่เย่ ขณะขึ้นบันไดเมฆาห้ามหยุดเดินอย่างเด็ดขาด
มิเช่นนั้นแรงกดดันนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ”ซึ่งคนที่เหลือต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อได้ฟังคากล่าวนี้ เย่ฉางชิงก็ชะงักงันไปชั่วขณะ ก่อนจะหมุน
กายเดินขึ้นบันไดต่อไป
ทว่าขณะที่เย่ฉางชิงเดินขึ้นบันไดเมฆา จนถึงขั้นที่ 35 ได้เป็ น
คนแรกนั้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป เพราะมีแรงกดดันที่มองมิ
เห็นบางอย่าง กดทับลงมาด้วยพลังมหาศาล
ทันใดนั้น การก้าวขึ้นบันไดขั้นต่อไปจึงหนักอึ้ง และยากลาบาก
ขึ้นเรื่อย ๆ
“ศิษย์น้องเย่ เจ้ามิเป็ นอันใดใช่หรือไม่ ? ”
เมื่อเห็นร่างของเย่ฉางชิงเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย และหยุดฝี เท้าลง
อย่างกะทันหัน ชวี่เหวินเซี่ยที่อยู่ทางด้านหลัง จึงเอ่ยถามขึ้นทันที“ศิษย์พี่ชวี่ ที่นี่ดูแปลก ๆ นะขอรับ” เย่ฉางชิงโบกมือไปมา พร ้อม
กับเอ่ยขึ้น
ทว่าระหว่างที่เสียงของเขาเงียบลง แรงกดดันที่ครอบงาร่างของ
เขาเอาไว้ ก็ทวีความหนักอึ้งมากขึ้นไปอีก
วินาทีต่อมา เย่ฉางชิงก็รีบโคจรเคล็ดเทพปีศาจโบราณในทันที
ขณะเดียวกันก็กระตุ้นจุดเซินชางทั้งหกตาแหน่งภายในร่างอย่างมิ
ลังเล
ทันใดนั้น พลังวิญญาณมหาศาลภายในร่างของเขาก็ระเบิดขึ้น
แสงหลากสีอันเจิดจ้าไร ้ที่เปรียบเปล่งประกายไปทั่วร่าง
นอกจากนี้ยังมีลาแสงหยินหยางสองสายไหลเวียนออกมาจาง ๆ
และแม้เขาจะมีตบะบารมีในระดับสร ้างรากฐานปราณขั้นสุดท้ายแล้ว
ทว่าไอพลังที่แผ่ออกมาจากร่าง กลับมีความรุนแรงเทียบได้กับผู้
บ าเพ็ญเพียรระดับแดนก่อก าเนิดเมื่อชวี่เหวินเซี่ยและศิษย์หญิงคนอื่น ๆ รู ้สึกจึงเงยหน้าขึ้นมอง
ในทันที ที่สัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่าง
ไอพลังของตบะบารมีนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็ นเพียงไอพลังระดับสร ้าง
รากฐานปราณ แต่เหตุใดกลับแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ !
ทว่าขณะที่เย่ฉางชิงใช ้พลังทั้งหมด ต้านทานแรงกดดันอันน่า
กลัวที่มองมิเห็นอยู่นั้น เขาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นว่า เวลานี้ลวดลาย
และสัญลักษณ์โบราณที่ซับซ ้อนมากมาย บนขั้นบันไดเมฆากลับ
เปล่งประกายออกมา ราวกับก าลังจะลุกไหม้ก็มิปาน
เมื่อเห็นดังนั้น เย่ฉางชิงก็เกิดความคิดที่บ้าบิ่นอย่างหนึ่งขึ้นมา
‘ลวดลายและสัญลักษณ์เหล่านี้คล้ายกับลวดลายของค่ายกล
บางอย่าง และด้วยการชี้แนะของศิษย์พี่ลู่ ข้าจึงได้เรียนรู ้เคล็ดวิชาลับ
ที่สามารถสร ้างค่ายกลตามความนึกคิดได้’‘ศิษย์พี่ลู่เคยบอกว่านักสร ้างค่ายกลที่อยู่ในระดับเขานั้น สิ่งที่
เรียกว่าการทาลายค่ายกลนั้น ความจริงแล้วให้เรียกว่าการช่วงชิง
ค่ายกลจะเหมาะกว่า’
‘และที่เรียกว่าการช่วงชิงค่ายกลนั้น ความจริงแล้วก็คือการใช ้
ลวดลายค่ายกลหรือสัญลักษณ์ค่ายกลของอีกฝ่ ายมาสร ้างเป็ นค่าย
กลใหม่ หรือก็คือการเปลี่ยนค่ายกลของศัตรูมาเป็ นค่ายกลของ
ตนเองแทน’
ซึ่งขณะที่เย่ฉางชิงกาลังต้านทานแรงกดดันอันน่ากลัวที่มองมิ
เห็นอยู่นั้น เขาก็สารวจลวดลายและสัญลักษณ์บนบันไดเมฆาอย่าง
ละเอียดไปด้วย
มิกี่อึดใจต่อมา ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ค่อย ๆ หลับลง
ขณะเดียวกันก็ได้เพ่งสมาธิเริ่มจัดระเบียบลวดลายและสัญลักษณ์บน
บันไดเมฆาขึ้นมาใหม่อีกครั้งมินานลวดลายและสัญลักษณ์ต่าง ๆ บนบันไดเมฆาก็ราวกับมี
ชีวิต เมื่อถูกเย่ฉางชิงนามารวบรวมและประสานขึ้นมาใหม่ และค่าย
กลดูเหมือนจะขานรับเขา……