เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 420 ท่านบรรพจารย์คนแรกกลับชาติมาเกิด ?
ทว่าตอนนี้มิมีผู้ใดรู ้สาเหตุที่เหยาห้าวหยานโกรธเกรี้ยวขึ้นมา อย่างกะทันหัน และออกคาสั่งให้ศิษย์ผู้คุมกฎที่อยู่นอกตาหนักไปจับ ตัวซ่งจืออวี่มา
จึงทาให้เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในตาหนักพันกระบี่ เมื่อได้ยินดังนั้น ต่างก็รู ้สึกตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน เพราะก่อนหน้าที่เหยาห้าวหยาน จะได้รับตาแหน่งประมุขนิกายกระบี่สวรรค์ ผู้อาวุโสสูงสุดเหลิ่งซิ นหาน มิว่าจะเป็ นคุณสมบัติวิถีเซียนหรือว่าตบะบารมี ล้วนเหนือกว่า เหยาห้าวหยานทั้งสิ้น
ตอนนั้นทั้งนิกายกระบี่สวรรค์นอกจากพวกท่านบรรพจารย์แล้ว คนอื่นๆ ล้วนคิดว่าเหลิ่งซินหาน จะต้องขึ้นเป็ นประมุขคนต่อไปของ นิกายกระบี่สวรรค์อย่างแน่นอน
ทว่าผู้ใดจะคิดว่าก่อนหน้าที่ท่านประมุขคนก่อนจะละสังขารไป จะมอบต าแหน่งประมุขให้แก่เหยาห้าวหยาน
ดังนั้นนับตั้งแต่ที่เหยาห้าวหยานขึ้นเป็ นประมุขของนิกายกระบี่ สวรรค์ ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มงัดข้อกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง
และด้วยความที่เหยาห้าวหยานรู ้สึกละอายใจต่อเหลิ่งซินหาน อีกทั้งยังคอยคิดถึงอนาคตของนิกายกระบี่สวรรค์มาตลอด
หลายปีมานี้เขาจึงได้แต่กล้ากลืนฝืนทนมาโดยตลอด
ทว่าแม้จะเป็ นเช่นนั้น แต่หลายปีมานี้มิว่าจะเป็ นตัวของผู้อาวุโส สูงสุดเหลิ่งซินหาน หรือว่าผู้อาวุโสคนอื่นที่สนับสนุนเขา กลับมิได้ ประมาณตนเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังทาตัวได้คืบจะเอาศอกมากขึ้น เรื่อย ๆ
โดยเฉพาะการทดสอบในครั้งนี้ เหยาห้าวหยานคิดว่าการ ทดสอบแดนมายานั้นเป็ นการทดสอบจิตใจของศิษย์ ซึ่งเขาเชื่อว่า จิตใจของคนผู้หนึ่งจะส่งผลต่อความสาเร็จบนวิถีเซียนในภายภาค หน้า ดังนั้นจึงมิควรตัดการทดสอบแดนมายาออกอย่างยิ่ง
ทว่าผู้อาวุโสสูงสุดเหลิ่งซินหานกลับคิดว่า การบาเพ็ญเพียรวิถี เซียนนั้น ความแข็งแกร่งเป็ นสาคัญที่สุด มีเพียงการทดสอบบันได เมฆาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องจิตใจหาได้มี ความส าคัญไม่
เรื่องนี้ทาให้ทั้งสองฝ่ายเกิดการทะเลาะกันขึ้นมา
ทว่าท้ายที่สุดแม้ว่าเหยาห้าวหยานจะยังคงมิเห็นด้วย แต่ก็ยัง เลือกที่จะประนีประนอม
แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้มิได้เกิดเป็ นครั้งแรก และมิเพียงเท่านั้น เหล่าผู้อาวุโสที่คอยสนับสนุนเหยาห้าวหยานจึงมิต่างอันใดกับการ เป็ นศัตรูกับผู้อาวุโสสูงสุดเหลิ่งซินหานไปด้วย
เรื่องนี้ทาให้พวกเขามักจะถูกผู้อาวุโสสูงสุดเหลิ่งซินหาน รวมทั้ง ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ กลั่นแกล้ง ถึงขนาดกดขี่อยู่บ่อยครั้ง
ทาให้หลายปีมานี้เหล่าผู้อาวุโสที่สนับสนุนเหยาห้าวหยาน ได้รับ ความอัดอั้นตันใจมิน้อย
แต่สิ่งที่พวกเขาคาดมิถึงก็คือ เวลานี้หลังจากกล้ากลืนความ อัปยศเอาไว้มากมาย ในที่สุดเหยาห้าวหยานก็เริ่มตอบโต้บ้างแล้ว
“ดี ในที่สุดท่านประมุขก็คิดได้แล้ว ! ”
“จริงด้วย ตาแก่อย่างพวกเราต้องกล้ากลืนความอัปยศมาหลาย ปี หากมิใช่เพราะท่านประมุขห้ามเอาไว้ล่ะก็ ข้าคงลงมือไปนานแล้ว”
“ใช่แล้ว ดาบของข้ากระหายเลือดมานานแล้ว เกรงแต่ว่าพวกผู้ อาวุโสสูงสุดจะมิกล้าลงมือก็เท่านั้น”
“เจ้าคนป่าเถื่อน ระวังคาพูดของเจ้าหน่อยก็ดี เจ้าแอบฝึกวิถีดาบ อย่าคิดว่าจะมิมีใครรู ้นะ แต่เยี่ยงไรซะที่นี่ก็คือนิกายกระบี่สวรรค์ อีก ทั้งเจ้ายังเป็ นถึงผู้อาวุโสท่านหนึ่งอีกด้วย ! ”
“……”
“……”
ขณะเดียวกัน เหล่าศิษย์ผู้คุมกฎที่เฝ้ าอยู่ด้านนอกตาหนักพัน กระบี่ หลังจากได้รับคาสั่งของเหยาห้าวหยาน ก็รีบเหาะขึ้นฟ้ ามุ่ง หน้าไปทางบันไดเมฆาทันที
ต้องบอกว่าศิษย์ผู้คุมกฎกลุ่มนี้ แม้คุณสมบัติและตบะบารมีจะ มิได้แข็งแกร่งมากนัก อีกทั้งยังได้รับการคัดเลือกมาจากศิษย์สาย นอก แต่ว่าพวกเขาก็ได้อยู่บาเพ็ญเพียรที่นิกายกระบี่สวรรค์มาแล้ว ไม่ต่ากว่า 20 ปี และการที่พวกเขาได้เข้าหอคุมกฎ จึงทาให้มี คุณสมบัติในการบ าเพ็ญเพียรเทียบเท่ากับศิษย์สายใน
มิเพียงเท่านั้น หลังจากที่พวกเขาสาบานเข้าหอคุมกฎแล้ว ก็จะ ถูกแบ่งออกเป็ นกลุ่มละสิบคน เพื่อฝึกค่ายกลกระบี่ที่มีพลังสังหารอัน แข็งแกร่งอีกด้วย
หลังจากที่พวกเขาสามารถควบคุมค่ายกลกระบี่ได้แล้ว
ค่ายกลกระบี่สิบคนจะสามารถสะกดผู้แข็งแกร่งระดับแดนเทวา ขั้นท้ายได้
ค่ายกลกระบี่ยี่สิบคนจะสามารถสะกดผู้แข็งแกร่งระดับถ้าสวรรค์ ขั้นต้นได้
ส่วนหนึ่งร ้อยคนจะสามารถสะกดผู้แข็งแกร่งระดับมหายานขั้น กลางได้
ส่วนซ่งจืออวี่นั้นมีตบะบารมีเพียงระดับแดนเทวาขั้นต้นเท่านั้น ดังนั้นแค่พวกเขาสิบคนก็มากเกินพอแล้ว !
วินาทีต่อมา ระหว่างที่ศิษย์ผู้คุมกฎ ที่อยู่ในชุดคลุมลายเมฆาสี ดากลุ่มหนึ่งทะยานขึ้นฟ้ า
ร่าง ๆ หนึ่งก็เหาะมาทางพวกเขาพอดี
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาก็คือ ซ่งจืออวี่ !
“ศิษย์น้องทุกท่าน ท่านประมุขยังอยู่ที่ตาหนักพันกระบี่หรือไม่ ? ”
ซ่งจืออวี่กวาดตามอง พลางเอ่ยถามกลุ่มศิษย์ผู้คุมกฎที่มีท่าทาง เย็นชา
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียง ศิษย์ผู้คุมกฎผู้ที่เป็ นหัวหน้าก็เอ่ยขึ้นด้วย เสียงเย็นว่า “ค่ายกลกระบี่ทศพิฆาต สะกด ! ”
วินาทีต่อมา ศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสิบคนก็ได้ชักกระบี่โบราณออกมา แทบจะพร ้อมกัน จากนั้นก็โคจรพลังภายในร่างกาย และระเบิดไอ พลังอันรุนแรงออกมาในทันที
มิกี่อึดใจต่อมา
ร่างทั้งสิบคนก็หายวับไป ก่อนจะล้อมซ่งจืออวี่เอาไว้
เมื่อเห็นค่ายกลเช่นนี้ ใบหน้าของซ่งจืออวี่พลันเต็มไปด้วยความ งุนงง เนื่องจากเขามาที่นี่เพราะมีเรื่องจะมาร ้องเรียน ทว่ายังมิทันได้ พบท่านประมุข แต่เจ้าพวกไร ้ความรู ้สึกเหล่านี้ กลับลงมืออย่างไร ้ เหตุผล
‘นี่มันเรื่องอันใดกัน !’
‘นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกันแน่ !’
“ศิษย์น้องทุกท่าน พวกเจ้าทาเช่นนี้หมายความเช่นไรกัน ? ”
ซ่งจืออวี่ขมวดคิ้วมุ่น ขณะเดียวกันก็ลอบกระตุ้นพลังภายในร่าง เตรียมพร ้อมรับมือตลอดเวลา
เขารู ้ดีว่าการจะคุยเหตุผลกับพวกไร ้ความรู ้สึกเช่นนี้ ก็มิต่างอัน ใดกับการสีซอให้ควายฟัง ดังนั้นเขาจึงต้องเตรียมพร ้อมเอาไว้ทุก ขณะ
อีกอย่าง นับตั้งแต่เข้านิกายกระบี่สวรรค์ แม้จะเคยได้ยินชื่อเสียง ของหอคุมกฎ แต่ยังมิเคยสัมผัสความแข็งแกร่งของค่ายกลกระบี่ทศ พิฆาตนั้นเป็ นเช่นไร !
ทันทีที่สิ้นเสียง ศิษย์หอคุมกฎทั้งสิบคนก็ได้สาแดงเพลงกระบี่ ออกมาแทบจะพร ้อมกัน
แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ แม้เพลงกระบี่ที่พวกเขาสิบคนแสดง ออกมาจะแตกต่างกัน แต่กลับสะท้อนกันและกัน จนกลายเป็ นรูปแบบ ของตนเอง
มิเพียงเท่านั้น ในวินาทีที่คนทั้งสิบได้กระตุ้นพลังภายในร่าง ออกมาอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาจึงดูราวกับปีศาจก็มิปาน
……
เวลามิถึงหนึ่งเค่อ
ซ่งจืออวี่ก็ร่วงลงสู่จัตุรัสเบื้องล่างพร ้อมเลือดท่วมตัว ไร ้ซึ่ง เรี่ยวแรงใด ๆ ที่จะต้านทานได้
มินาน ศิษย์หอคุมกฎสองคนก็ได้จับเขามัดเอาไว้อย่างไร ้ความ ปรานี จากนั้นก็พาเดินตรงไปยังตาหนักพันกระบี่ในทันที
ทว่าในเวลานี้ เหยาห้าวหยานและกลุ่มผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใน ตาหนักพันกระบี่ กลับแตกต่างไปจากก่อนนี้อย่างสิ้นเชิง
พวกเขาจ้องเขม็งไปบนภาพกลางอากาศ ท่าทางเต็มไปด้วย ความตื่นตระหนก
โดยภาพที่ปรากฏอยู่นั้น ได้มีร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งกาลังเอามือ ไพล่หลัง พร ้อมกับก้าวขึ้นบันไดเมฆาไปอย่างสบายอารมณ์
สักพักร่างนั้นก็หยุดฝี เท้าลง ก่อนมองขึ้นไปด้านบน ราวกับ กาลังชื่นชมความงามของทัศนียภาพตรงหน้าอยู่ก็มิปาน
จากนั้นก็ได้ก้าวขึ้นไปต่ออีกหลายขั้น โดยมิสะทกสะท้านใด ๆ
ที่สาคัญก็คือคนผู้นี้สามารถขึ้นบันไดเมฆาไปจนถึงขั้นที่แปดสิบ กว่าแล้ว แต่ราวกับเหมือนมิได้รับแรงกดดันจากอ านาจใด ๆ เลย และ ดูเหมือนว่าคนผู้นี้มิได้มีท่าทีจะหยุดฝี เท้าลงแต่อย่างใด ราวกับ ต้องการจะเดินขึ้นไปในก้อนเมฆ เข้าสู่ขั้นสูงสุดของหอบันไดเมฆาให้ ได้
นี่หมายความว่าความลับอันยิ่งใหญ่ของนิกายกระบี่สวรรค์ ที่ ซ่อนอยู่ด้านบนสุดของบันไดเมฆา มีความเป็ นไปได้ว่าจะถูกเปิดเผย ออกมาในวันนี้แล้วน่ะสิ !
หลังจากเงียบไปสักพัก เหยาห้าวหยานก็อดมิได้ที่จะสูดลม หายใจเข้าปอดลึก ๆ อย่างหวาดหวั่น ก่อนจะพึมพาว่า “ตาราโบราณ บันทึกเอาไว้ว่า ท่านบรรพจารย์รุ่นแรกเป็ นผู้สร ้างบันไดเมฆาขึ้นมา”
“อีกทั้งทุกคนต่างก็รู ้ดีว่า บันไดเมฆาเจ็ดสิบขั้นแรกจะมีค่ายกล ปล่อยพลังออกมากดดัน ผู้ที่ขึ้นบันได และหลังจากเจ็ดสิบขั้นไปแล้ว จะถูกแรงกดดันจ านวนมหาศาลเข้าครอบง า”
“มิเพียงเท่านี้ อย่าว่าแต่พวกเราที่มิอาจรับแรงกดดันอันน่ากลัวที่ ปกคลุมบันไดขั้นเจ็ดสิบและเดินขึ้นไปต่อได้ แม้แต่เหล่าท่านบรรพ จารย์เองก็ยังมิสามารถฝืนเดินขึ้นไปได้เช่นกัน”
เมื่อคิดได้ดังนั้น เหยาห่าวหยานก็หรี่ตาลง ก่อนจะพิจารณาแผ่น หลังของร่างสูงโปร่งนั้นอีกครั้ง
“คนผู้นี้เป็ นใครกันแน่ เหตุใดถึงมิได้รับแรงกดดันใด ๆ จาก บันไดเมฆา และอานาจอันน่ากลัวในขั้นที่เจ็ดสิบเลย”
เอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตาของเหยาห้าวหยานพลันเกิดประกาย บางอย่างแวบขึ้นมา ก่อนจะมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างอดมิได้
“มิใช่กระมัง หรือจะเป็ นท่านบรรพจารย์คนแรกกลับชาติมาเกิด ? ”