เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 56 ความคิดของเจ้าสำนักจื่อชิง
ตอนที่ 56 ความคิดของเจ้าสำนักจื่อชิง
มินานเจ้าสำนักจื่อชิง สวีฉิงเทียน รวมทั้งเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงก็ได้ปรากฏตัวยังลานด้านหน้าของตำหนักไท่เสวียน
หลังจากทุกคนสบตากันแล้ว จึงพากันขึ้นไปนั่งบนแท่นสำหรับนั่งชม
ส่วนบนเวทีประลองที่ตั้งอยู่กลางลาน ตอนนี้มีศิษย์สายหลักของทั้งสองสำนักต่างก็กำลังประลองกันอย่างดุเดือด
มีม่านหมอกลอยวนรอบตัวของพวกเขา ขณะเดียวกันก็แผ่ไอพลังอันแข็งแกร่งออกมาจากร่าง ทุกครั้งที่เกิดการปะทะจะเกิดคลื่นพลังอันรุนแรงพวยพุ่งออกมา จนเกิดเป็นประกายไฟสาดกระเซ็นไปทั่ว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ถึงความหมายของโอกาสในการประลองครั้งนี้เพียงใด เพราะขณะที่กำลังประลองฝีมือกันอยู่นั้น ทุกคนต่างก็งัดเอาความสามารถทั้งหมดที่มีออกมาสู้กันอย่างมิมีใครยอมใคร
สวีฉิงเทียนที่แม้จะอารมณ์มิดีจากการแพ้หมากล้อมจนเสียสมบัติโบราณ 2 ชิ้นไป แต่เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าก็อดที่จะพยักหน้าด้วยความพอใจมิได้
“ศิษย์ที่มาเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ล้วนทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม กลับไปแล้วอย่าลืมมอบอาวุธวิญญาณหรือพวกเคล็ดวิชาเป็นรางวัลให้พวกเขาด้วยล่ะ”
สวีฉิงเทียนกวาดตามองการประลองบนเวทีในสนาม พลางเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
จ้าวชิงที่นั่งอยู่ตรงด้านข้างของสวีฉิงเทียนจึงพยักหน้ารับคำทันที “ศิษย์พี่สวีโปรดวางใจ กลับไปข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเองขอรับ”
สวีฉิงเทียนพยักหน้าให้ ก่อนจะสังเกตเห็นถึงสายตาของเหล่าผู้อาวุโสที่นั่งข้าง ๆ มองมาที่ตนแปลก ๆ
“พวกเจ้ามองข้าเพราะเหตุใดกัน ? ” สวีฉิงเทียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มแห้ง
จ้าวชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเป็นคนเอ่ยถามขึ้นมาก่อน “ศิษย์พี่สวี เมื่อครู่ท่านเพิ่งจะพ่ายแพ้หมากล้อม และเสียสมบัติโบราณ 2 ชิ้นไปนะขอรับ”
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่สวีสมบัติโบราณของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงล้วนแต่ยังอยู่ที่แดนดินศักดิ์สิทธิ์ แล้วสมบัติ 2 ชิ้นเมื่อครู่ ท่านเอามาจากไหนหรือขอรับ ? ”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเอ่ยถามขึ้น
“ที่แท้พวกเจ้าก็แค่สนใจสมบัติโบราณ 2 ชิ้นนั้นหรอกหรือ ? ”
สวีฉิงเทียนส่ายหน้าด้วยรอยิ้ม พลางถอนหายใจออกมา “ความจริงแล้วข้าได้สมบัติโบราณ 2 ชิ้นนั้นมาราว ๆ เจ็ดถึงแปดร้อยปีก่อน”
“อะไรนะขอรับ ? ”
“เจ็ดถึงแปดร้อยปีแล้วงั้นหรือ ? ”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงมีสีหน้าประหลาดใจทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะสบตากันอย่างอดมิได้
ก่อนที่จ้าวชิงจะถามออกมาอย่างลังเล “ศิษย์พี่สวี เหตุใดก่อนหน้านี้มิเคยได้ยินท่านเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยล่ะขอรับ ? ”
สวีฉิงเทียนเอ่ยออกมาด้วยท่าทางราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ “เหตุผลที่ข้ามิเอ่ยถึงสมบัติโบราณ 2 ชิ้นนี้ก็เพราะสมบัติโบราณ 2 ชิ้นนี้ถือกำเนิดมาจากดินแดนที่อันตราย ล้วนแต่เป็นอาวุธสังหารที่หาได้ยาก แม้แต่ตบะของข้าในตอนนี้ก็ยังมิกล้าเปิดผนึกมันออก เพราะเกรงว่าอาจได้รับอันตรายจากมันจนทำให้ถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้”
“มิหนำซ้ำ สมบัติโบราณ 2 ชิ้นนี้ทำให้ข้าต้องสูญเสียสหายร่วมสำนักมากมายที่ดินแดนอันตรายแห่งนั้น ทั้งยังเห็นพวกเขาถูกฝังที่นั่นด้วยตาตนเอง โดยเฉพาะศิษย์พี่ที่ข้ารักราวกับพี่ชายแท้ ๆ ก็ถูกฝังอยู่ที่นั่นเช่นกัน เช่นนั้นข้าจึงมิอยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เหล่าผู้อาวุโสที่เห็นสีหน้าโศกเศร้าของสวีฉิงเทียน ต่างก็ถอดถอนใจออกมาด้วยความสงสาร
ขณะนั้นเองก็ได้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์พี่สวี ในเมื่อสมบัติโบราณสองชิ้นนี้เป็นอาวุธสังหารที่หาได้ยาก หากเจ้าสำนักไท่เสวียนเปิดผนึกขึ้นมา มิเท่ากับนำภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนหรือขอรับ ? ”
“ใช่แล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเรากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน หากสมบัติโบราณ 2 ชิ้นนี้ทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมองพวกเราเป็นศัตรูขึ้นมา หรือถึงขั้นเปิดสงครามกับพวกเราขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นจะต้องเกิดความโกลาหล ทำให้ราษฎรภายในแคว้นต้าเยี่ยนเดือนร้อนเป็นแน่ขอรับ”
จ้าวชิงขมวดคิ้วแน่นขณะจ้องมองและพูดกับสวีฉิงเทียนด้วยความเคร่งเครียด
สวีฉิงเทียนโบกมือไปมาพร้อมรอยยิ้ม “เหอฉางเสวียนและข้ามีตบะที่มิได้ด้อยไปกว่ากัน จากที่ข้ารู้จักเขามา เชื่อว่าเขามิมีทางทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นเป็นแน่”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงสบตากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และท่าทีที่เต็มไปด้วยความกังวล
สวีฉิงเทียนกวาดตามองทุกคน ก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย
ความจริงที่เขามิได้บอกนักพรตฉางเสวียน รวมถึงเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เกี่ยวกับข้อห้ามของสมบัติโบราณทั้งสองชิ้นนี้ เพราะว่ามีจุดประสงค์บางอย่าง
ประการแรก เขาต้องการใช้สมบัติโบราณ 2 ชิ้นนี้มาเดิมพันเพื่อจะได้รู้ตัวตนของผู้อาวุโสลึกลับที่นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถึง
อีกทั้งจากคำพูดของนักพรตฉางเสวียนนั้นมีความเป็นไปได้มาก ที่ผู้อาวุโสลึกลับแห่งนี้จะยังอยู่บนเขาไท่เสวียน
ด้วยเพราะความแตกฉานทั้งในด้านวิถีกระบี่และวิถีหมากล้อมของผู้อาวุโสลึกลับท่านนี้ ล้วนเหนือจากที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก
เช่นนั้นเขาจึงอยากจะรู้ว่าผู้อาวุโสลึกลับท่านนี้แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไรกันแน่
แม้แต่เทพแห่งหมากล้อมอย่างหนานกงเสวียนจี ก็ยังมิอาจที่จะเอาชนะได้
อีกทั้งสมบัติโบราณทั้งสองชิ้นที่ถูกผนึกไว้ ล้วนเป็นอาวุธสังหารที่หาได้ยาก หากเปิดผนึกโดยมิได้ไตร่ตรองให้ดีแล้วล่ะก็ จะต้องเกิดฟ้าดินแปรปวนอย่างแน่นอน
ถึงเวลานั้นต่อให้ยอดฝีมือของทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนร่วมมือกัน เกรงว่าก็คงมิอาจหยุดยั้งอาวุธโบราณ 2 ชิ้นนี้ได้
และผู้อาวุโสลึกลับที่นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถึงจะต้องปรากฎตัวออกมาอย่างแน่นอน ต่อให้เขามิอยากลงมือ แต่เกรงว่าคนทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนคงไปขอร้องเขาเป็นแน่
หากเป็นเช่นนั้นสวีฉิงเทียนก็จะได้เห็นโฉมหน้าผู้อาวุโสลึกลับท่านนั้นอย่างที่หวังเสียที
นี่ก็คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดสวีฉิงเทียนจึงมิบอกพวกนักพรตฉางเสวียน ว่าสมบัติโบราณทั้งสองชิ้นนี้มีพลังสังหารมหาศาลและอันตรายเพียงใด
ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงคิดเอาไว้นั้นถูกต้องแล้ว
เพราะหลังจากอาวุธ 2 ชิ้นนี้ถูกปลดผนึกแล้ว จะเกิดความโกลาหลเป็นอย่างมาก เช่นนั้นส่วนลึกภายในใจของสวีฉิงเทียนเองก็เกิดความลังเลเช่นกัน
จ้าวชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา “ศิษย์พี่สวี ข้าคิดว่าเรื่องนี้มิถูกต้องนัก ขอให้ท่านลองพิจารณาอีกสักคราเถิดขอรับ”
คนอื่น ๆ เองต่างก็พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
“ทุกท่าน ที่ข้าทำเช่นนี้เพราะมีเหตุผล เช่นนั้นพวกเจ้าอย่าได้เกลี้ยกล่อมข้าอีกเลย”
สวีฉิงเทียนปัดมืออย่างมิใส่ใจ พลางเอ่ยขึ้นว่า “แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเจ้าเป็นกังวล ข้าเองก็ได้ไตร่ตรองมาแล้วเช่นกัน”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเห็นท่าทางแน่วแน่ของสวีฉิงเทียนแล้ว ต่างก็มีสีหน้าเป็นกังวลไปตาม ๆ กัน และอดที่จะมองหน้ากันมิได้
ตอนนั้นเองสวีฉิงเทียนได้หันไปถามจ้าวชิงว่า “ใช่แล้ว ชิง เสวี่ยหายไปไหนกัน เหตุใดหลายวันมานี้ข้ามิเห็นนางเลย ? ”
จ้าวชิงเม้มริมฝีปากก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยออกมาว่า “ก่อนหน้านี้ขณะเดินทางผ่านดินแดนจิตหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ชิง เสวี่ยบอกว่านางจะไปหาโอกาสในการฝึกตน หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดนางคงจะสัมผัสถึงบางอย่างเข้าขอรับ”
สวีฉิงเทียนลูบหนวดของตนเอง “แม้พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของฉางเฟิงและชิง เสวี่ยจะมิได้ด้อยไปกว่ากัน แต่ชิง เสวี่ยนั้นมีโชคชะตาที่พิเศษติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด”
“หากเขาเดามิผิดล่ะก็ ถ้าครั้งนี้ชิง เสวี่ยสามารถพบโอกาสนั้นจริง ฝีมือของนางจะต้องทิ้งห่างฉางเฟิงไปไกลมากแน่ ๆ แต่น่าเสียดายที่นิสัยของเด็กคนนี้มิเหมาะที่จะมาสืบทอดตำแหน่งของข้า เพื่อเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงต่างก็สบตากันทันทีที่ได้ยินคำพูดของสวีฉิงเทียน และพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ขณะนั้นเองก็มีลำแสงสายรุ้งสองเส้นพุ่งมาจากกลุ่มเมฆที่อยู่ไกล ๆ
เพียงชั่วอึดใจเดียวก็พุ่งลงมายังเวทีประลองกลางลานแล้ว
และคนที่ปรากฏกายขึ้นก็คือ ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน หลี่ฉางหมิง และผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง อินฉางเฟิง