เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 71 หรือว่าที่นี่จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือฟ้าดินอยู่ ?
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
- ตอนที่ 71 หรือว่าที่นี่จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือฟ้าดินอยู่ ?
ตอนที่ 71 หรือว่าที่นี่จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือฟ้าดินอยู่ ?
ความจริงแล้วมิใช่ว่านักพรตฉางเสวียนมิอยากรับปากสวีฉิงเทียน เพียงแต่ต่อหน้าท่านบรรพจารย์เย่แล้ว เขาเป็นเพียงแค่ชนรุ่นหลังผู้หนึ่งเท่านั้น
ขนาดเขาหากต้องการจะพบสักครั้ง ยังต้องคิดแล้วคิดอีก
แต่คำพูดของสวีฉิงเทียนในเวลานี้ บอกชัดว่าหากเขามิยินยอมในเรื่องนี้ ก็ต้องคืนอาวุธเทพจำแลงชิ้นนี้ไป
คิดถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนก็อดที่จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมามิได้
แม้ท่านบรรพจารย์เย่จะดูสุภาพ แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงผู้น้อย หากไปละเมิดข้อห้ามของท่านบรรพจารย์เย่เข้าโดยมิได้ตั้งใจ มิแน่เขาอาจตัดความสัมพันธ์กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเอาก็ได้
เทียบกันแล้ว อาวุธเทพจำแลงล้ำค่าชิ้นนี้ สู้ความสัมพันธ์ที่ท่านบรรพจารย์เย่มีต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนยังมิได้ด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ หากมิใช่เพราะว่าภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงของท่านบรรพจารย์เย่ ได้แสดงพลังอันศักดิ์สิทธิ์ออกมา เกรงว่าพวกเขาทั้งหมดคงยากจะหนีรอดจากกรงเล็บของอาวุธเทพจำแลง และดับสูญที่นี่แล้วก็เป็นได้
บางทีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอาจจะล่มสลายไป ส่วนดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเองก็อาจจะเกิดการสูญเสียอย่างมหาศาลก็เป็นได้
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้นักพรตฉางเสวียนรู้สึกจนปัญญาที่สุดในตอนนี้ก็คือ
เขามิรู้ว่าภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงทำเช่นไร ระฆังสำริดใบนั้นถึงได้ประสานกับตราประทับไท่เสวียนได้สำเร็จ และกลายเป็นส่วนสำคัญของค่ายกลป้องกันภูผาเยี่ยงนี้
อีกทั้งในยามที่ระฆังสำริดและตราประทับไท่เสวียนประสานกันได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็มิสามารถสื่อสารกับตราประทับไท่เสวียนได้อีก
หมายความว่าบัดนี้เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเช่นเขา นับแต่นี้ต่อไปคงมิกล้าเข้าไปยังจุดศูนย์กลางของค่ายกลป้องกันภูผาอีกแล้ว
คิดถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนก็อดมิได้ที่จะกุมขมับอย่างจนปัญญา
“พี่เหอ ลำบากใจมากเลยงั้นหรือ ? ”
เวลานั้นเองสวีฉิงเทียนก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่สวี ข้าขอบอกท่านตามตรง”
นักพรตฉางเสวียนถอดถอนใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “ความจริงแล้วท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราเร้นกายอยู่ในเมืองที่มิไกลจากเขาไท่เสวียน ต่อหน้าเขาข้าก็เป็นเพียงชนรุ่นหลังคนหนึ่งเท่านั้น”
“แม้เขาจะดูสุภาพแต่อย่างไรเสียก็เป็นยอดปรมาจารย์ที่มีฝีมือเก่งกาจ เช่นนั้นการที่จะเข้าพบเขาแต่ละครั้ง ข้าจึงต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน บางทีอาจเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็ได้ เขาจึงยอมปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเอาไว้ แต่ข้าก็มิอาจเหยียบจมูกขึ้นหน้า1 เขาได้”
หลังนักพรตฉางเสวียนเอ่ยจบ สวีฉิงเทียนจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจได้
สิ่งที่นักพรตฉางเสวียนกังวลมิใช่ว่าไร้เหตุผล
เพียงภาพวาดก็สามารถสะกดวิญญาณอาวุธสังหารได้ ราวกับเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน
ดูก็รู้แล้วว่าตบะของยอดปรมาจารย์นั้นแก่กล้าและน่าเกรงขามเพียงใด !
เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุขั้นเทวาเช่นเขา ที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในการบำเพ็ญเพียร แต่ในสายตาของยอดปรมาจารย์ก็คงไม่ต่างอะไรจากมดปลวกเท่านั้น
เช่นนั้นมิว่าจะด้วยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง หรือว่าด้วยตัวของยอดปรมาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน สวีฉิงเทียนย่อมมิต้องการแตกหักกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน และมิกล้ารบเร้าด้วย
หากทำให้ท่านปรมาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนโกรธเข้า เกรงว่าสำนักเล็ก ๆ อย่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงอาจรับผิดชอบไม่ไหวกระมัง ?
หลังจากครุ่นคิดแล้ว สวีฉิงเทียนจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างลังเล “พี่เหอ มิมีโอกาสแม้แต่นิดเดียวเลยงั้นหรือ ? ”
“พี่สวี เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน”
หลังเห็นความแน่วแน่ของสวีฉิงเทียน นักพรตฉางเสวียนจึงเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ ท่านบรรพจารย์เย่คงรับรู้แล้ว สองวันนี้ข้าจะลองวางแผนดูก่อน จากนั้นจะลองไปพบเขาที่เมืองเสี่ยวฉือดู”
สวีฉิงเทียนมีท่าทีกระตือรือล้นทันทีที่ได้ยินนักพรตฉางเสวียนเอ่ยอดกมาเช่นนั้น ใบหน้าที่ซีดเผือดบัดนี้จึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
“พี่เหอ เมื่อครู่ตอนที่เครื่องรางนั้นแผ่ไอพลังออกมา ท่านก็คงรับรู้ได้ว่าข้านั้นก็ได้รับพลังไปด้วย คิดว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็คงรับรู้ด้วยเช่นกัน”
สวีฉิงเทียนหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “พวกเราเลื่อนงานประลองออกไปก่อนดีหรือไม่ คิดว่าเหล่าศิษย์ของทั้งสองสำนักคงมีฝีมือแก่กล้าขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน”
‘จิ้งจอกเฒ่า ! ’
นักพรตฉางเสวียนที่ได้ยินก็อดที่จะก่นด่าในใจมิได้ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างมิค่อยพอใจนัก
“ข้าขอประกาศว่า งานประลองของทั้งสองสำนักครั้งนี้จะเลื่อนออกไปอีกห้าวัน”
เมื่อเห็นนักพรตฉางเสวียนพยักหน้าให้ สวีฉิงเทียนจึงได้ลุกขึ้นยืนและประกาศให้ทุกคนรับรู้
“หืม ? ! ”
ทันใดนั้นทั้งเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ของทั้งสองสำนักต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป และสบตากันอย่างงุนงง
‘เดิมการประลองครั้งนี้ใกล้จะจบลงอยู่แล้ว เหตุใดจู่ ๆ ถึงเลื่อนออกไปอีกตั้งห้าวันเล่า ? ’
‘แล้วเหตุใดเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงถึงได้ดูมีท่าทียินดีถึงเพียงนี้ ? ’
‘น่าสงสัย ! ’
‘เรื่องนี้น่าสงสัยจริง ๆ ! ’
เวลานี้เมื่อทอดมองออกไป ก็พบว่ามีแสงตะวันรำไรโผล่ขึ้นจากเส้นขอบฟ้า
มินานแสงสว่างก็ขับไล่ความมืดมิดที่ปกคลุมพื้นดิน หมอกบาง ๆ ลอยปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
ขณะเดียวกันแสงที่เปล่งออกมาจากภาพไท่เสวียนฉางชิงที่ลอยอยู่เหนือเขาไท่เสวียน ก็ค่อย ๆ จางหายไป
“เหตุใดปราณวิญญาณฟ้าดินของที่นี่ถึงบริสุทธิ์ได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่สูดเข้าไปทีเดียว พลังวิญญาณภายในร่างกายก็เกิดการหมุนเวียนขึ้นเยี่ยงนี้”
ศิษย์บางคนที่รับรู้ได้ จึงกล่าวขึ้นอย่างยินดี
นักพรตฉางเสวียนปรากฏรอยยิ้มมุมปากขึ้น ก่อนจะทอดมองไปทางตำแหน่งของเมืองเสี่ยวฉือ จากนั้นก็ได้โค้งคำนับลงอย่างนอบน้อม
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ จึงหมุนตัวไปโค้งคำนับอยู่ทางด้านหลังของนักพรตฉางเสวียน
พวกเขาต่างรู้ดีว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา หากมิใช่เพราะท่านบรรพจารย์เย่ เกรงว่าบัดนี้พวกเขาคงมิมีโอกาสได้เห็นภูผา ธาราที่งดงาม และขอบฟ้าในยามรุ่งอรุณเช่นนี้อีกแล้ว
มิเพียงเท่านั้น ท่านบรรพจารย์เย่ยังได้มอบโชคใหญ่ให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอีกด้วย
เช่นนั้นมิว่าจะด้วยเหตุผลใด พวกเขาก็ควรที่จะคารวะท่านบรรพจารย์เย่ด้วยใจจริง
…………………………………
ใกล้ยามเที่ยง บริเวณรกร้างด้านนอกเมืองเสี่ยวฉือ
ชายชราท่าทางมุ่งมั่นสวมชุดคลุมสีดำ ผมและหนวดเป็นสีขาวโพลน ใบหน้าซูบผอม กำลังเดินมาอย่างมิรีบร้อน
แต่ที่น่าแปลกก็คือแม้ชายชราจะเดินมิเร็วมากนัก แต่ทุกครั้งที่ก้าวย่างใต้ฝ่าเท้าจะเกิดฝุ่นควันฟุ้งขึ้นมา
เพียงพริบตาก็ปรากฏตัวขึ้นไกลหลายสิบจั้งเสียแล้ว
เป็นเช่นนั้นอยู่ราวครึ่งก้านธูป
ขณะที่เมืองเสี่ยวฉือที่มีเมฆหมอกบดบังปรากฏสู่สายตา ชายชราก็ได้หยุดฝีเท้าลงทันที
มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “คาดมิถึงว่าภายในเขตแดนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน จะมีดินแดนที่วิเศษเหนือพรรณนาเช่นนี้ ช่างน่าพิศวงยิ่งนัก”
หลังจากพึมพำกับตัวเองเสร็จแล้ว ชายชราก็ออกก้าวเดินอีกครั้ง
เพียงพริบตาชายชราก็ได้ปรากฏตัวอีกครั้ง ทางด้านนอกของเมืองเสี่ยวฉือ
และในตอนนั้นเองเขาก็นิ่วหน้าลง พร้อมกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ไอพลังแห่งเต๋า หรือว่าที่นี่จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือฟ้าดินอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ชายชราเอ่ยพึมพำขึ้นมาอย่างคาดมิถึง พร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี
เอ่ยจบชายชราก็ได้หายตัวไปอีกครั้ง
1 เหยียบจมูกขึ้นหน้า เป็นคำเปรียบเปรยหมายความว่า ฝ่ายหนึ่งให้เกียรติ แต่อีกฝ่ายมิเพียงมิใส่ใจ กลับยังมีท่าทีได้ใจ