เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 73 ยอดฝีมือเป็นแน่
ตอนที่ 73 ยอดฝีมือเป็นแน่
แม้สายตาของหนานกงเสวียนจีจะเห็นเพียงข้าวของที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ และมีภาพอักษรพู่กันและภาพวาดทิวทัศน์แขวนอยู่
แต่ด้วยตบะในการบำเพ็ญเพียรของเขา จึงทำให้รู้ได้ว่าพลังมากมายที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งมาจากภาพอักษรพู่กันและภาพวาดทิวทัศน์เหล่านี้นี่เอง
สิ่งนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ?
หมายความว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสที่ดูหนุ่มแน่นตรงหน้าปรารถนานั้น มิใช่การไปอยู่จุดสูงสุดในวิถีเต๋า แต่เป็นการนำพลังแห่งเต๋าซึมซับเข้าไปภายในภาพอักษรพู่กันและภาพวาด
เช่นนั้น… คนผู้นี้แท้จริงแล้วเก่งกาจเพียงใดกันแน่ !
หนานกงเสวียนจีคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกราวกับจะหายใจมิออก
เพราะด้วยฝีมือของเขาในตอนนี้ ต่อให้อีกแสนปีเขาก็คงมิอาจมีพลังเช่นนี้ได้
“ไปกันเถิด เข้าไปดื่มชาที่ลานด้านหลังกัน”
เย่ฉางชิงมองตามสายตาของหนานกงเสวียนจีแล้วก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ
และก็เป็นไปอย่างที่เขาคิดเอาไว้มิมีผิด
หนานกงเสวียนจีผู้นี้เป็นผู้ที่ชื่นชอบในอักษรพู่กันหรือภาพวาดทิวทัศน์จริง ๆ ด้วย
มิเช่นนั้นคงมิมีท่าทางหลงใหลราวกับต้องมนต์ทันทีที่เห็นผลงานของเขาเป็นแน่
“ขอบคุณผู้อาวุโส”
หนานกงเสวียนจียิ้มออกมาอย่างพออกพอใจหลังจากได้สติอีกครั้ง
ขณะเดียวกันสีหน้ายิ่งดูเลื่อมใสมากขึ้นไปอีก
เย่ฉางชิงพยักหน้าก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปด้านในร้าน
หนานกงเสวียนจีเดินตามหลังมาติด ๆ แต่วินาทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป กลับมีไอพลังมหาศาลซัดเข้าใส่ในทันที
วินาทีนี้ราวกับเขาแช่อยู่ในน้ำพุร้อน ร่างกายผ่อนคลายจนยากจะอธิบายได้ พลังวิญญาณภายในร่างกายจู่ ๆ ก็เกิดการไหลเวียนขึ้นมา
‘ยอดเยี่ยม ! ’
‘ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ! ’
‘ที่นี่คือแดนเซียนที่หาได้ยากยิ่งนัก ! ’
ทันใดนั้นสายลมก็พัดจนผมของหนานกงเสวียนจีปลิวไสว ชุดคลุมสีดำโบกสะบัดไปมา ราวกับมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นมาในทันใด
มินานทั้งสองก็เดินมาถึงลานด้านหลัง อันเป็นที่พำนักของเย่ฉางชิง
หลังจากได้เห็นภาพตรงหน้าหนานกงเสวียนจีก็ใจสั่นขึ้นมาอย่างอดมิได้
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
ทุกสิ่งทุกอย่างภายในลานแห่งนี้ล้วนแผ่คลื่นปราณบริสุทธิ์ออกมา มิเว้นแม้แต่ใบไม้ต้นหญ้าที่มีพลังชีวิตมหาศาล โดยเฉพาะต้นหลิวที่ดูเก่าแก่ต้นนั้น ลำต้นแข็งแรง เปลือกไม้มีรอยย่นลึกลงไป กิ่งทุกกิ่ง ใบทุกใบล้วนแต่มีสีเขียวขจีไร้ตำหนิ และแผ่ไอจาง ๆ ของพลังชีวิตออกมามหาศาล
‘นี่มันมิถูกต้อง ! ’
หนานกงเสวียนจีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ราวกับรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ต้นหลิวต้นนี้มิเพียงมีจิตรับรู้เท่านั้น แต่อาจเป็นปีศาจด้วยก็ได้
ต้นไม้เก่าแก่ที่กลายเป็นปีศาจเช่นนี้ ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามโบราณ มีฝีมือแข็งแกร่งที่แม้แต่เขาในตอนนี้ก็ยากที่จะรับมือได้ แต่ต้นไม้ต้นนี้กลับมาเติบโตอยู่ในที่แห่งนี่ได้
ทว่าพอมาอยู่ที่นี่ราวกับต้นไม้ต้นนี้ตั้งใจจะเก็บงำปราณปีศาจ ทำให้ดูเหมือนต้นไม้เก่าแก่ธรรมดาต้นหนึ่งเท่านั้น
แต่มินานหนานกงเสวียนจีก็ได้เข้าใจ
ความน่ากลัวของผู้อาวุโสท่านนี้ อย่าว่าแต่ต้นไม้ที่กลายเป็นปีศาจเลย ต่อให้เป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้ ก็คงมิอาจทำอะไรเขาได้อยู่ดี
หนานกงเสวียนจีถอดถอนใจออกมา ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
จากนั้นหนานกงเสวียนจีก็ค่อย ๆ กวาดตามองทุกสิ่งที่อยู่ในลานแห่งนี้อย่างละเอียด
เพียงชั่วอึดใจ สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังกระดานหมากล้อมแกะสลักจากไม้โบราณที่อยู่บนโต๊ะหิน
‘กลเทพ ! ’
ด้านล่างของกระดานสลักอักษรสองคำนี้เอาไว้อย่างฉวัดเฉวียน
‘คาดมิถึงว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะมีของวิเศษเช่นนี้ ทั้งยังเป็นกระดานหมากล้อมอีกด้วย’
‘เอามาวางไว้เช่นนี้ หรือว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะกำลังฝึกฝนหมากล้อมอยู่ ? ’
ตอนนั้นเอง เย่ฉางชิงที่เหลือบเห็นสายตาของหนานกงเสวียนจีที่จับจ้องกระดานหมากล้อมอย่างมิวางตา จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านก็ชอบเดินหมากเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าพอรู้อยู่บ้างขอรับ”
หนานกงเสวียนจีกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ อย่างหวาดเกรง
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรวิถีหมากล้อมเช่นเขา เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งที่มิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ เขาคือคนที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพแห่งหมากล้อม
แต่การอยู่ต่อหน้ายอดปรมาจารย์ที่เขามิสามารถคาดเดาตบะบำเพ็ญเพียรท่านนี้
เทพแห่งหมากเช่นเขาช่างดูอ่อนด้อยยิ่งนัก
ชั่วขณะหนึ่งเขาก็รู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา มิรู้ความแตกฉานในวิถีหมากของตน สำหรับผู้อาวุโสท่านนี้จะยังถือว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวิถีหมากอยู่หรือไม่ ?
เย่ฉางชิงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
‘หนานกงเสวียนจีผู้นี้ ท่าทางดูภูมิฐานกว่าเหอฉางเสวียนและหลิวฉางเหอมากทีเดียว’
‘การพูดเช่นนี้คงเป็นการถ่อมตัวอย่างแน่นอน ข้าอยากหาคนขัดเกลาฝีมือการเดินหมาก สุดท้ายฟ้าก็ส่งคนผู้นั้นมาจนได้’
คิดได้ดังนั้นเย่ฉางชิงจึงเอ่ยปากว่า “หากท่านสนใจ เรามาเล่นกันสักตาดีหรือไม่ ? ”
‘เดินหมากเยี่ยงนั้นหรือ?’
หนานกงเสวียนจีกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำเชิญของเย่ฉางชิง
สำหรับเขานั้น เขามิได้เจอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสีมาเกือบห้าร้อยปีแล้ว
แม้เขาจะรู้ดีว่าฝีมือของตนตอนนี้มิอาจเทียบเคียงกับท่านผู้อาวุโสได้ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังห้ามใจมิไหวอยู่ดี
นอกจากนี้เขายังติดอยู่ในขั้นสูงสุดมาเกือบพันปีแล้ว มิอาจหาทางบรรลุขั้นต่อไปได้ บางทีการเดินหมากกับท่านผู้อาวุโสอาจทำให้เขาสามารถพัฒนาตนเองขึ้นไปอีกก็เป็นได้
แม้ภายในใจจะรู้สึกยินดีหนักหนา แต่หนานกงเสวียนจีก็ยังอดที่จะเอ่ยถามเย่ฉางชิงอย่างนอบน้อมขึ้นมามิได้ว่า “ผู้อาวุโส ข้าเดินหมากกับท่านได้หรือขอรับ ? ”
เย่ฉางชิงยิ้มอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะหิน และผายมือเป็นการเชิญหนานกงเสวียนจี
หนานกงเสวียนจีเหลือบตามองเย่ฉางชิงที่ใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงสูดลมหายใจเรียกความกล้า ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเย่ฉางชิง
“ผู้อาวุโส ต้องการทายหมากเริ่มเดินก่อนหรือไม่ขอรับ ? ”
อาจเพราะมารยาทและการให้เกียรติ รวมทั้งความเย่อหยิ่งภายในใจทำให้หนานกงเสวียนจีเอ่ยถามเย่ฉางชิงออกมาเช่นนั้นหลังจากที่นั่งลงแล้ว
‘ทายหมากก่อนเริ่มเดิน ? ’
เย่ฉางชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำถามของหนานกงเสวียนจี ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างยินดี
ทายหมากก่อนเริ่มเดินเป็นกติการก่อนการเดินหมาก เพื่อเป็นการตัดสินว่าหมากฝั่งไหนจะได้เริ่มเดินก่อน
ก่อนหน้านี้เวลาเย่ฉางชิงเดินหมากกับคนอื่น อีกฝ่ายล้วนคว้าโอกาสเดินหมากก่อนทันที
แต่หนานกงเสวียนจีกลับคำนึงถึงเรื่องนี้กับเขาก่อนการเดินหมาก
เช่นนี้ก็แสดงว่าหนานกงเสวียนจีผู้นี้มิเพียงแต่เดินหมากเป็น ทั้งยังมีความแตกฉานมิน้อยอีกด้วย
เช่นนั้นหลังจากหนานกงเสวียนจีเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น เย่ฉางชิงมิเพียงรู้สึกแปลกใจเท่านั้น ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความยินดี
เพราะหลายปีมานี้เขาเฝ้ารอคอยคนที่จะมาประลองหมากด้วยมาตลอด ในที่สุดวันนี้ก็สมปรารถนาแล้ว
‘ยอดฝีมือ ! ’
‘ต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน ! ’