เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 87 มีคนเช่นนี้บนโลกด้วยหรือ ?
ตอนที่ 87 มีคนเช่นนี้บนโลกด้วยหรือ ?
ราชันทมิฬลูบปลายคางของตน พลางมองสตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณที่บอบบางอ้อนแอ้นราวกับเทพธิดาตรงหน้าอย่างใช้ความคิด
เขากำลังหาวิธีที่จะทำให้สตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณผู้นี้ ยอมไปจงหยวนกับเขาแต่โดยดี
แน่นอนว่าด้วยตบะบารมีของเขาในยามนี้ การจะพาสตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณผู้นี้ไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นมิใช่เรื่องยาก
แต่ยอดฝีมือและคนที่สุภาพเช่นนายท่าน หากทราบว่าสตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณผู้นี้ถูกเขาจับตัวไปล่ะก็ มิรู้ว่าจะจัดการเขาเช่นไรบ้าง เช่นนั้นเขาจึงต้องคิดหาแผนการที่ดีที่สุดเสียก่อน
“เจ้าคือ… ราชันทมิฬที่มิกี่เดือนก่อนถูกราชาปีศาจทั้งเจ็ดรุมสังหารใช่หรือไม่ ? ”
ขณะที่ราชันทมิฬกำลังลูบปลายคาง พลางครุ่นคิดวางแผนอยู่นั้น พลันก็มีเสียงอันนุ่มนวลดังขึ้นตรงหน้าเขา
ราชันทมิฬได้ยินดังนั้นก็ได้สติขึ้นมาทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าพริ้มเพราปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
คิ้วโก่งเรียงตัวสวย ใบหน้างดงามไร้ที่ติ ผิวขาวเนียนราวกับหิมะ ผมยาวสลวยลู่ไปด้านหลังราวกับเกลียวคลื่น
โดยเฉพาะดวงตากลมโตสุกใส ที่เปล่งประกายแสงอันน่าพิศวงคู่นั้น
‘งามยิ่งนัก ! ’
‘ช่างงดงามยิ่งนัก ! ’
ราชันทมิฬถึงกับนิ่งงัน ก่อนที่มุมปากจะโค้งขึ้น หลังจากกระแอมเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “ถูกต้อง เป็นข้าเอง”
สตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณหัวเราะขึ้นมาอย่างอดมิได้ หลังจากปรายตามองกางเกงลายดอกน่าขันของราชันทมิฬ ก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้าก็มาร่วมงานแต่งด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ราชันทมิฬชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้ารับ “ได้ยินว่าองค์หญิงสิบสามเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของพวกเจ้างดงามถึงขั้นมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา แต่กลับต้องมาแต่งกลับเศษสวะเช่นเจ้าแมวดำตัวนั้น ข้ารู้สึกแปลกใจจึงต้องมาดูให้เห็นกับตา”
‘เจ้าแมวดำ ? ’
สตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณได้ยินคำเรียกขาน ก็พลันหัวเราะคิกคักขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้าเคยพบองค์หญิงสิบสามมาก่อนหรือไม่”
“ยังมิเคย”
ราชันทมิฬส่ายศีรษะ พลางถามสตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณว่า “จริงสิ แล้วเจ้าเป็นผู้ใดกัน เวลานี้เผ่าจิ้งจอกวิญญาณต่างก็กำลังวุ่นวายกันอยู่ เจ้ายังมีกะใจมาเดินเล่นอยู่ตรงนี้อีกหรือ ? ”
ดวงตาดำขลับของสตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณที่งดงามราวกับเทพธิดาผู้นี้กะพริบปริบ ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัยว่า “เจ้าลองทายดูสิว่าข้าเป็นใคร ? ”
ราชันทมิฬขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปว่า “หากเดามิผิดเจ้าคงเป็นองค์หญิงสักองค์หนึ่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณใช่หรือไม่ ? ”
สตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณดวงตาเป็นประกาย พร้อมเอ่ยชื่นชมออกมา “มิเสียทีที่เป็นถึงราชันทมิฬ เมื่อก่อนเคยได้ยินคนในเผ่าพูดถึงเจ้า วันนี้ได้พบมิเพียงมีพลังแข็งแกร่ง ทั้งยังไหวพริบดีอีกด้วย”
ราชันทมิฬพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม คำพูดเช่นนี้เป็นที่น่าพอใจของเขายิ่งนัก
แต่ประโยคถัดมาของสตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณผู้นี้ กลับทำให้ราชันทมิฬตกตะลึงมิน้อย
“ข้ามิเพียงเป็นองค์หญิงของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณ แต่ยังเป็นองค์หญิงสิบสามที่เจ้าเอ่ยถึงเมื่อครู่ว่ากำลังจะแต่งกับเจ้าแมวดำตัวนั้น และข้ามีนามว่า ถูสือซาน”
สตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางสงบนิ่ง พร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย และเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
‘ว่าเยี่ยงไรนะ ! ’
‘องค์หญิงสิบสาม ! ’
‘องค์หญิงสิบสามของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณ ! ’
‘ถูสือซาน ! ’
ทันใดนั้นดวงตาของราชันทมิฬก็เบิกโพลง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ พลางมองถูสือซานด้วยความประหลาดใจ
เขาเคยได้ยินเรื่องความงามของถูสือซานมานาน แต่คาดมิถึงว่าสตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณตรงหน้าจะเป็นถูสือซาน ผู้นั้นจริง ๆ
‘สิบปากว่ามิเท่าตาเห็น ! ’
และเพราะสตรีเผ่าจิ้งจอกวิญญาณตรงหน้าคือถูสือซาน จึงทำให้แผนการก่อนหน้าของราชันทมิฬเกิดการสั่นคลอนไปด้วย
เพราะหากพาตัวถูสือซานไปจากเขาดอกท้อ มิเพียงเขาจะล่วงเกินเผ่าจิ้งจอกวิญญาณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเผ่าพยัคฆ์ดำที่มีนิสัยมุทะลุอีกด้วย
‘เดิมเขาก็พอเดาได้ว่าถูสือซานผู้นี้มีฐานะที่มิธรรมดา’
‘ตามแผนการที่วางเอาไว้ ต่อให้เป็นองค์หญิงที่สูงส่งเพียงใด รอจนพิธีแต่งงานเริ่มขึ้นแล้ว การจะพานางไปอย่างไร้ร่องรอยก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด’
‘แต่ถูสือซานกลับเป็นตัวเอกของงานแต่งในวันนี้ แล้วจะพานางไปเยี่ยงไรเล่า ? ’
คิดถึงตรงนี้ราชันทมิฬก็ได้แต่ทอดถอนใจ และส่ายศีรษะไปมา “องค์หญิงสิบสาม เช่นนั้นเราลากันตรงนี้ก็แล้วกัน ตัวข้าเพิ่งเคยมาเขาดอกท้อเป็นคราแรก ข้าขอเดินชมทิวทัศน์เขาดอกท้อของพวกเจ้าอีกหน่อยก็แล้วกัน”
ถูสือซานยกมือขึ้นขวางราชันทมิฬเอาไว้ พลางเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น “ข้ามิมีธุระอันใด มิสู้ให้ข้านำทางท่านจะดีกว่า”
ราชันทมิฬปรายตามองถูสือซาน แล้วถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “เจ้าจะมิเข้าร่วมพิธีแต่งงานเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้ามิยอมแต่งกับคนของเผ่าพยัคฆ์ดำหรอก”
ถูสือซานเอ่ยขึ้นอย่างแง่งอน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “อีกอย่างข้ามิเคยคิดที่จะแต่งกับคนพรรค์นั้นด้วย”
“มิแต่ง ? ”
ราชันทมิฬดวงตาหรี่ลง พร้อมด้วยท่าทางประหลาดใจ
“ใช่แล้ว”
ถูสือซานยักไหล่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมดวงตาที่เปล่งประกายและใบหน้าชื่นชม “คนที่ข้าถูสือซานจะแต่งงานด้วย จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีตบะบารมีแก่กล้าและเป็นผู้ที่สุภาพ มิเช่นนั้นต่อให้ข้าต้องทำลายตบะของตนเองและคืนสู่ร่างเดิม ข้าก็จะมิแต่งอย่างเด็ดขาด ! ”
ราชันทมิฬได้ยินดังนั้นก็แข็งค้างราวกับหิน ราวกับมีเสียง “วิ๊ง” เกิดขึ้นในโสตประสาท
‘หรือนี่จะเป็นสิ่งที่นายท่านเคยกล่าวเอาไว้ พรหมลิขิต ? ’
‘เดิมเราคิดที่จะพาถูสือซานกลับไปที่เมืองเสี่ยวฉือ นายท่านจะได้มีคู่ครองเสียที’
‘แต่สุดท้ายเจ้าสาวของงานแต่งคืนนี้กลับเป็นถูสือซาน ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้’
‘อีกทั้ง นี่ยังเป็นการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าจิ้งจอกวิญญาณและเผ่าพยัคฆ์ดำที่มีความสำคัญยิ่ง’
‘เพราะทั้งสองเผ่าถือเป็นเผ่าปีศาจโบราณที่มีสายเลือดชั้นสูงที่สืบทอดมานาน มิใช่สิ่งที่เผ่าธรรมดาจะมาเทียบเคียงได้’
‘เช่นนั้นหากพาตัวถูสือซานกลับไปด้วย ก็เท่ากับเป็นการทำลายงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองเผ่าลง เช่นนั้นตัวเราเองก็คงถูกผู้แข็งแกร่งของทั้งสองเผ่าตามล่าจนสุดหล้าฟ้าเขียวเป็นแน่’
‘อาจถึงขั้นทำลายสัญญาระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจที่มีมาหลายร้อยปี และบุกเข้าจงหยวนเป็นแน่’
‘แต่บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ถูสือซานมิต้องการแต่งกับเจ้าแมวดำตัวนั้นของเผ่าพยัคฆ์ดำ ถึงตอนนั้นสองเผ่าสืบสาวราวเรื่องขึ้นมา ข้าก็มีเหตุผลเพียงพอน่ะสิ’
‘อย่างมากก็บอกทั้งสองเผ่าไปว่า เราทำทั้งหมดลงไปด้วยความปรารถนาดี เพราะถูสือซานขอร้องจนมิอาจนิ่งดูดายได้ จึงตัดสินใจพานางไป…’
หลังจากไตร่ตรองดีแล้ว ราชันทมิฬจึงกระแอมขึ้นเบา ๆ และเอ่ยขึ้นอย่างมีลับลมคมนัยว่า “องค์หญิงสิบสาม ข้ารู้จักผู้แข็งแกร่งที่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ข้าคิดว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ตรงอย่างที่ใจท่านต้องการ”
“ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์งั้นหรือ ? ”
ถูสือซานขมวดคิ้วเล็กน้อย และเอ่ยถามราชันทมิฬด้วยความสงสัย “ราชันทมิฬ ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์มีคนเช่นนั้นอยู่จริง ๆ น่ะหรือ ? ”
ผ่านไปครู่หนึ่งราชันทมิฬยังมิทันเอ่ยสิ่งใด ถูสือซานก็เอ่ยถามต่อ “อีกอย่างเจ้าเป็นราชาปีศาจตนหนึ่งของเทือกเขาแดนใต้ เหตุใดถึงได้รู้จักผู้บำเพ็ญเพียรจากเผ่ามนุษย์ได้ ? ”
ราชันทมิฬยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พร้อมถามกลับว่า “องค์หญิงสิบสาม เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญเพียรจนถึงตอนนี้ข้าใช้เวลาทั้งหมดเท่าไร ? ”
ถูสือซานส่ายหน้าไปมา ใบหน้ารูปไข่อันงดงามยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
“ประมาณห้าปีได้กระมัง”
ราชันทมิฬมองถูสือซานที่ตะลึงงันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “เจ้าอย่าได้ตกใจไป ผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นเผ่ามนุษย์ที่ข้ารู้จักท่านนี้เป็นเจ้านายของข้าเอง และที่ข้ามีพลังแข็งแกร่งเช่นทุกวันนี้ได้ด้วยเวลาสั้น ๆ เพียงห้าปี นั่นก็เพราะนายท่านเป็นคนชี้แนะให้ข้า”
“เผ่ามนุษย์มีคนเช่นนั้นอยู่จริง ๆ น่ะหรือ ? ”
พลันดวงตาของถูสือซานก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที พลางจับจ้องราชันทมิฬราวกับกำลังเพ้อฝัน
มินานสมองของนางพลันก็ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งขึ้น…