เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 97 เจ้านายของเขาเก่งกาจเพียงใดกัน ?
ตอนที่ 97 เจ้านายของเขาเก่งกาจเพียงใดกัน ?
พี่ต้นไม้ที่ราชันทมิฬเอ่ยถึง ก็คือต้นหลิวในลานบ้านของเย่ฉางชิงต้นนั้นนั่นเอง
พูดให้ถูกคือเริ่มแรกนั้นต้นหลิวต้นนี้เป็นเพียงไม้ที่ถูกฟ้าผ่าต้นหนึ่งเท่านั้น
มีเรื่องหนึ่งที่จนถึงทุกวันนี้ราชันทมิฬก็ยังคงจำมันได้ดี
ค่ำคืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
คืนนั้นมีพายุฝนฟ้าคะนอง
ตอนนั้นเย่ฉางชิงนอนหลับอยู่บนเตียง ส่วนราชันทมิฬที่หมอบอยู่ที่หน้าประตู ก็ตกใจตื่นขึ้นเพราะอสนีบาตเส้นหนึ่ง
ตอนนั้นราชันทมิฬได้เริ่มฝึกตนจากการเรียนรู้ภาพราชันทมิฬแล้ว
เขาสัมผัสได้ถึงไอพลังเต๋าที่ปั่นป่วนนอกเมืองเสี่ยวฉือ และพลังฟ้าดินที่พลุ่งพล่านได้อย่างชัดเจน
ด้วยความแปลกใจเขาจึงฝ่าพายุฝนออกไปด้านนอกเมืองเสี่ยวฉือ
สุดท้ายเขาได้เห็นภาพที่เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อใดก็อดมิได้ที่จะขนลุกชัน
ภาพตรงหน้ามีหมอกล่องลอยอยู่ไกล ๆ ต้นหลิวต้นหนึ่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ แผ่กิ่งก้านเต็มไปด้วยสีเขียวสด มีสายฝนโปรยปรายโดยรอบ และตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
รอบต้นหลิวต้นนั้นเกิดรอยแตกร้าวขึ้นในอากาศ สัญลักษณ์โบราณลอยวนเวียน พลังปั่นป่วนรุนแรง และเกิดอสนีบาตขึ้นเป็นครั้งคราว ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
“เปรี้ยง ! ”
หมู่เมฆลอยต่ำพลันเกิดเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นทันใด
ในชั่วพริบตา แสงอสนีบาตสีขาวแสบตาที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง ได้ทะลวงผ่านหมู่เมฆ ทำลายความว่างเปล่า และฟาดลงมาเพื่อจะผ่าใส่ต้นหลิวต้นนั้น
แต่ตอนนั้นเองจู่ ๆ ก็เกิดไอพลังชีวิตมหาศาลปกคลุมไปทั่วรัศมีร้อยลี้ ใบไม้ทุกใบบนต้นหลิวต้นนั้นส่องประกายแสงสีทอง ก่อนที่จะถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง
มินานกิ่งหลิวสีทองนับหมื่นก็ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ราวกับหอกทองคำที่ห่อหุ้มไว้ด้วยพลังทำลายล้าง ต้องการที่จะเป็นอิสระจากอัสนีบาตพิฆาตนั้น
“เปรี้ยง ! ”
เพียงพริบตากิ่งหลิวสีทองนับหมื่นก็ปะทะเข้ากับอสนีบาตพิฆาต ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ทันใดนั้นราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลาย
ประกายไฟพุ่งกระเซ็นไปทั่ว เกิดรอยร้าวขึ้นในอากาศ พลังปราณปั่นป่วนขึ้นอย่างมิหยุดยั้ง
จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
หลังจากอสนีบาตพิฆาตฟาดลงมาติดต่อกันถึงสองสาย ก็จบลงโดยต้นหลิวต้นนั้นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป
ราชันทมิฬรู้ว่าการที่สิ่งต้องห้ามเช่นนี้ ฝืนกฎแห่งธรรมชาติเพื่อเอาชีวิตรอด มิใช่สิ่งที่เขาจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้
เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอกเมืองเสี่ยวฉือเช่นนั้นอยู่นาน แต่สุดท้ายก็มิได้เข้าไปดูใกล้ ๆ
แต่ต่อมานายท่านกลับหอบเอาท่อนไม้ที่ไหม้เกรียมท่อนหนึ่งกลับมาด้วย ก่อนจะฝังไม้ท่อนนั้นไว้กลางลานบ้าน
เห็นได้ชัดว่าท่อนไม้ที่ไหม้เกรียมท่อนนั้นก็คือร่างแปลงของต้นหลิวต้นนั้นนั่นเอง
ตอนนั้นในที่สุดราชันทมิฬก็เข้าใจว่าความจริงแล้ว นายท่านสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้านนอกนั้นตั้งนานแล้ว
ทั้งยังยื่นมือเข้าช่วยต้นหลิวน่ากลัวต้นนั้นไว้โดยที่เขามิรู้ตัวอีกด้วย
ผ่านไปมินานต้นหลิวที่แปลงร่างเป็นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าก็ผลิใบใหม่อีกครั้ง ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะได้รับไอพลังแห่งเต๋า
และเพราะได้เห็นมากับตาว่าต้นหลิวต้นนี้ท้าทายเบื้องบนเพียงใด เช่นนั้นราชันทมิฬได้เรียกต้นหลิวต้นนี้ว่าพี่ต้นไม้เรื่อยมา
แน่นอนว่าอีกเหตุผลก็คือ เขาเป็นสัตว์เลี้ยงของนายท่าน ส่วนต้นหลิวนั่นก็ได้รับการช่วยเหลือเอาไว้ เช่นนั้นความอาวุโสก็นับว่าเทียบเท่ากัน
……………………………
เวลานี้ใบหลิวสีทองใบนั้นกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงหล่นลงมาอย่างช้า ๆ
สุดท้ายใบหลิวสีทองลึกลับใบนั้น ก็ได้ลอยอยู่ตรงหน้าของราชันทมิฬ
“ราชันทมิฬ ขอบใจที่หลายปีมานี้เจ้าคอยดูแลข้า ตอนนี้ข้าตื่นขึ้นมาแล้ว”
เสียงลึกลับที่แยกมิออกว่าเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี แต่กลับทำให้ภายในใจเกิดความสงบราวกับเสียงของเทพเซียนก็ดังขึ้น
มิเพียงราชันทมิฬเท่านั้นที่กำลังตะลึงงัน แม้แต่ถูสือซานที่อยู่ข้าง ๆ ดวงตาถึงกับเบิกโพลง ท่าทางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อเช่นกัน
‘ต้องเก่งกาจเพียงใดกัน เพียงแค่ใบหลิวใบเดียวยังอัศจรรย์ได้ถึงเพียงนี้ ! ’
‘เช่นนั้น ! ’
‘เช่นนั้น… ยอดฝีมือท่านนั้นจะเก่งกาจสักเพียงใดนะ ? ! ’
มินานราชันทมิฬก็ได้สติ ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “พี่ต้นไม้ ตอนนั้นข้าเห็นมากับตาว่าท่านต่อสู้กับอสนีบาตพิฆาตเช่นไร ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ ข้าจะมิให้เกียรติท่านได้อย่างไรกัน ? ”
“เป็นข้าที่ประมาทเคราะห์สวรรค์นั่นเกินไป หากมิได้นายท่านช่วยเอาไว้ เกรงว่าคงมิอาจตื่นขึ้นได้อีกชั่วนิรันดร์”
เสียงลึกลับนั่นดังขึ้นกลางอากาศอีกครา
‘เคราะห์สวรรค์ ? ’
ราชันทมิฬและถูสือซานตกตะลึงอีกครั้ง
ต้นไม้ต้นนี้ช่างกล้าหาญยิ่งนัก !
ราชันทมิฬกลืนน้ำลายลงคอ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ต้นไม้ ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ ต่อไปน้องชายอย่างข้าคงต้องขอพึ่งพาท่านแล้ว”
เสียงลึกลับนั่นมิได้ตอบสิ่งใดกลับมาอีก
ในตอนนั้นเองถูซื่อที่ถอยออกไปหลายร้อยจั้ง เวลานี้ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พลันเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาท
“เด็กน้อย เห็นแก่ที่เจ้าบำเพ็ญเพียรมาอย่างยากลำบาก อีกทั้งยังมิได้เข้าไปรบกวนความสงบของนายท่าน ฉะนั้นจงกลับไปเสีย”
“มิเช่นนั้นข้าอาจจะทำให้เจ้ากลับคืนร่างเดิม และจองจำเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์”
ถูซื่อมีสีหน้าตื่นตระหนกและท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมาในพริบตา เหงื่อเม็ดใสผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
ตบะบารมีระดับจ้าวปีศาจเช่นนาง หากมีผู้ส่งกระแสเสียงมาให้นาง ด้วยความสามารถของนางแล้วง่ายมากที่จะสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย
แต่เสียงอันสงบและเรียบนิ่งนี้กลับมิมีสัญญาณใด ๆ
แม้จะเป็นน้ำเสียงราวกับผู้อาวุโสเอ่ยกับผู้เยาว์ แต่ขณะเดียวกันกลับเต็มไปด้วยการข่มขู่และเย็นชายิ่ง
เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง
ประการแรก ตบะบารมีของอีกฝ่ายสูงล้ำกว่านาง
ประการที่สอง เวลานี้นางอยู่ในดินแดนแห่งเต๋าของอีกฝ่าย
แต่มิว่าจะเป็นข้อไหน ถูซื่อก็คิดว่ามิมีทางที่ตนจะสามารถเอาชนะได้เลย ต่อให้เวลานี้นางจะมีสมบัติโบราณของเผ่าพยัคฆ์ดำชิ้นนั้นอยู่ภายในกาย ก็มิมีความคิดที่จะต่อต้านแต่อย่างใด
‘ช่างแข็งแกร่ง ! ’
‘ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ’
‘คนผู้นี้เก่งกาจเพียงใดกันแน่นะ ! ’
คิดถึงตรงนี้สีหน้าของถูซื่อก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอีกครา
ขณะเดียวกันแผ่นหลังก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬเย็นเหยียบด้วยความหวาดหวั่น
“ผู้น้อยเข้าใจแล้ว ผู้น้อยจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
เอ่ยจบถูซื่อก็ยืนขึ้นกลางอากาศ มือทั้งสองข้างประสานกัน ก่อนจะโค้งคำนับทันที
แม้จะมิรู้ว่าร่างของอีกฝ่ายอยู่ที่ใด แต่นางก็ยังลาอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
ทันทีที่เอ่ยจบ เสียงลึกลับก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“อีกอย่างสมบัติโบราณบนกายเจ้า คงจะเกี่ยวข้องกับคนที่ตามเจ้ามาทางด้านหลังใช่หรือไม่ ? ”
ถูซื่อลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “เรียนผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้มินานผู้น้อยเกิดทะลวงระดับล้มเหลว สุดท้ายจึงถูกพลังเต๋าครอบงำ ด้วยความจำเป็นจึงต้องนำสมบัติโบราณชิ้นนี้ติดกายเอาไว้เจ้าค่ะ”
“เอาเถิด ตอนนี้ข้าจะมิใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้”
เสียงลึกลับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แต่ว่าทางที่ดีก่อนเจ้าจะกลับไป พาปีศาจผู้มีนิสัยบุ่มบ่ามผู้นั้นกลับไปด้วยเสีย มิเช่นนั้นหากรบกวนความสงบของนายท่านเข้าแล้วล่ะก็ ผลที่จะตามมาเจ้าคงพอจะเดาได้สินะ”
“สูด ! ”
ถูซื่อได้ยินดังนั้นก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
เพราะในวินาทีที่เสียงนั้นหยุดลง นางก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารอันน่ากลัวได้อย่างชัดเจน
วินาทีนี้นางพึ่งจะรู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจเช่นนาง เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่มิควรแตะต้องเช่นนี้ นางก็มิต่างอะไรจากมดปลวกพวกนั้น
แล้วเจ้านายของสิ่งมีชีวิตที่มิควรแตะต้องผู้นี้เล่า เขาจะเป็นคนเช่นไรกันนะ ?
“สูด ! ”
ถูซื่อคิดถึงตรงนี้พลันรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา อย่างที่มิเคยสัมผัสมาก่อน