เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 105 ชามข้าวเหล็ก มีหน้ามีตาในสังคม
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 105 ชามข้าวเหล็ก มีหน้ามีตาในสังคม
ตอนที่ 105 ชามข้าวเหล็ก มีหน้ามีตาในสังคม
“ด้านนอกมีอะไรดี?” เลขากล่าว “ทำนาต่างหากล่ะคือการทำงานที่จริงจัง เจ้าลูกคนนั้นของฉัน ฉันไม่อยากให้เขาเรียนเลย แถมยังสอบเข้ามหาลัยอีก สอบเข้ามหาลัยอะไรกัน ของพวกนั้นมันมีประโยชน์ตรงไหน? ไม่มีคนทำนาไม่ได้หรอกนะ!”
จ้าวเหวินเทามองเลขาด้วยท่าทางชะงักงัน ไม่ใช่มั้ง ดูถูกเขาที่ทำค้าขายว่าเชื่อถือไม่ได้ เขายังพอเข้าใจอยู่
แต่บอกว่าการอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่มีประโยชน์ คิดอะไรของเขาเนี่ย?
“เลขา คุณพูดจริงเหรอ คุณเรียกลูกชายของคุณกลับมาทำนา?” จ้าวเหวินเทาเอ่ยถาม
ลูกชายคนอื่น ๆ ของเลขาโตกันหมดแล้ว ยังเหลือลูกชายคนเล็กที่ยังเรียนชั้นมัธยมอยู่ และกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
“จะโกหกไปทำไมล่ะ แต่เขาก็ยังไม่ยอม ถึงไม่ยอมก็ไม่ได้” เลขากล่าว
“ใช่ ๆ เลขาพูดถูก ไม่มีคนทำนาไม่ได้หรอก!” หัวหน้าคีบไส้กรอกเลือดส่งให้เลขา
ฝ่ายบัญชีฉลาดยิ่งกว่า เขาไม่ได้พูดอะไร เพราะอันที่จริงเขาให้ความสำคัญกับการศึกษามากกว่า
คนอื่น ๆ ต่างก็พูดสมทบ ความหมายทั้งหมดก็คือเลขาฉลาดปราดเปรื่องเกินไปแล้ว
จ้าวเหวินเทาได้ยินก็แอบสงสัยว่าคนเหล่านี้จงใจหรือเปล่านะ?
เรียนหนังสือไม่มีประโยชน์?
ถ้าเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์ ดูอย่างจ้าวเหวินจื้อสิ แค่ได้ยินว่าตัวเขาทำการค้า ก็พูดว่าดีแล้ว!
ไหนจะโจวหมิ่นอีก อีกฝ่ายเป็นนักศึกษาของเมืองหลวง ไม่เพียงแค่พูดว่าดี ยังนำเงินออกมาสนับสนุนด้วย
การพัฒนาเศรษฐกิจหลังจากนี้ ใครจะพูดความจริงยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็พูดได้ ยิ่งคนพูดเป็นคนมีการศึกษาด้วยก็จะพูดได้น่าเชื่อถือมาก ดังนั้นจ้าวเหวินเทาจึงเชื่อจ้าวเหวินจื้อและโจวหมิ่นมากกว่า
แม้จ้าวเหวินเทาจะอ่านหนังสือมาไม่มาก แต่เขากลับให้ความสำคัญกับคนที่มีการศึกษา เขารู้สึกว่าเมื่ออ่านหนังสือเยอะ ๆ ก็จะมองได้ไกล โลกที่อยู่ในหนังสือไม่มีทางที่สถานที่เท่าฝ่ามืออย่างในหมู่บ้านจะเทียบชั้นได้
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเลขาหมู่บ้านจะพูดว่าเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์ ทั้งยังไม่คิดจะให้ลูกชายไปเรียนหนังสืออีก เขาเป็นถึงเลขาหมู่บ้านเชียวนะ!
จ้าวเหวินเทาแอบผิดหวัง คนที่มีวิสัยทัศน์แบบนี้มาเป็นเลขา เป็นผู้นำคนอื่น จะทำให้ชาวบ้านล้าหลังหมดหรือเปล่านะ?
“เลขา อย่างอื่นผมขอไม่พูดนะ แต่เรื่องการศึกษา ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี น้องชายอยากเรียนหนังสือก็ให้เขาเรียนไปเถอะ หลังจากนี้เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยและออกมาแล้วจะอยู่ระดับไหนกัน? เขาสามารถถือชามข้าวเหล็ก[1] ของประเทศได้โดยตรงเลยนะ มีหน้าตาในสังคมจนไม่มีอะไรจะดีไปกว่านั้นอีกแล้ว ไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่พากันอิจฉาเขา?” จ้าวเหวินเทากล่าว
ฝ่ายบัญชีมองเหล่าจ้าวหกปราดหนึ่ง แอบหัวเราะภายในใจ คนคนนี้นับว่าเป็นคนที่มีความสมเหตุสมผลทีเดียว
เลขาเองก็ยิ้มให้จ้าวเหวินเทา กล่าวว่า “อย่าพูดเลย เจ้าหนูคนนั้นเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่กลับมา แถมยังพูดคล้ายกับนายอีก เขาคิดอยากจะถือชามข้าวเหล็กของประเทศนั่นแหละ แถมยังบอกว่าคะแนนสอบของเขาสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ พวกนายฟังดูสิ เรื่องมันยังไม่เกิดขึ้นเลย แต่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำ หลังจากนี้สอบไม่ติดขึ้นมาคงถูกหัวเราะตายเลย!”
เลขาเบี่ยงประเด็นอย่างรวดเร็วทำเอาทุกคนแอบไม่ทันได้คาดคิด
รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่การให้ลูกชายกลับมาทำนา แต่เป็นการนำออกมาโอ้อวดต่างหากล่ะ
คนเหล่านั้นที่พูดว่าทำนาเป็นเรื่องดีเมื่อครู่ ตอนนี้เป็นใบ้ไปหมดแล้ว หัวหน้ากลุ่มย่อยที่ประจบสอพลอเป็นคนแรกก็เช่นกัน
เลขามีความคิดอยู่ในใจแล้ว จึงตบบ่าจ้าวเหวินเทาด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวลิ่วจื่อ ตั้งใจทำงานนะ ทำงานอย่างจริงจัง ฉันเชื่อในตัวนาย!”
“แรงสนับสนุนจากเลขาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ มีแรงสนับสนุนจากเลขา ผมถึงจะเดินไปได้ไกล บินได้สูงขึ้นด้วย” จ้าวเหวินเทาเองก็ตอบสนองเช่นกัน กล่าวด้วยรอยยิ้ม
รำพึงในใจว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเลขาของหมู่บ้าน สุดท้ายแล้วก็ยังมีความสามารถอยู่บ้าง
ดูอุบายที่ทำให้สับสนนี้สิ ทำเอาภูตผีปีศาจขี้ประจบสอพลอที่ไม่พูดความจริงโผล่ออกมาตั้งไม่รู้เท่าไร?
ครั้นพระอาทิตย์ตกดินลาลับขอบฟ้า ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
จ้าวเหวินเทานำเนื้อได้เป็นส่วนแบ่งของตนเองสองสามขีด รวมถึงไส้กรอกเลือดหนึ่งท่อนกลับบ้านพร้อมกับคุณพ่อจ้าว
“พ่อ เนื้อนี้พ่อเอากลับไปกินกับแม่นะ ส่วนไส้กรอกเลือดผมจะเก็บไว้” จ้าวเหวินเทานำเนื้อหมูให้พ่อของเขา บ้านเขาไม่ได้ขาดแคลนเนื้อหมู แต่ไส้กรอกเลือดจะได้รับประทานปีละครั้ง จึงต้องนำกลับไปให้ภรรยาของเขาชิมสักหน่อย
เพราะแยกบ้านแล้ว คุณพ่อจ้าวจึงได้รับส่วนแบ่งเนื้อสองสามขีดด้วย นอกจากนี้ยังได้กระดูกหมูติดเนื้อไม่มากอีกหนึ่งชิ้น
ครั้นเห็นลูกชายคนเล็กเป็นกังวลพ่อแม่ของตัวเองแบบนี้ ภายในใจของคุณพ่อจ้าวจึงเกิดความสุข และทราบดีว่าในบ้านของลูกชายคนเล็กไม่ได้ขาดแคลนเนื้อ เขาจึงรับเนื้อมา หลังจากมองซ้ายแลขวา จึงกระซิบถามลูกชายคนเล็ก “ขาดแคลนเงินจริง ๆ เหรอ?”
“พ่อ พ่อเองก็ถามคำถามนี้กับเขาด้วยเหรอ?” จ้าวเหวินเทายิ้ม เขาหิ้วไส้กรอกเลือดกลับบ้าน “ไม่คุยแล้ว พ่อ ผมกลับห้องก่อนนะ”
“เจ้าเด็กบ้านี่” คุณพ่อจ้าวด่าทั้งรอยยิ้ม
เย่ฉูฉู่ทำอาหารเย็นไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอต้มโจ๊กข้าวฟ่างเคียงกับผักกาดขาวดองเค็มหนึ่งจาน สดชื่นและเหมาะกับรับประทานตอนกลางคืนมาก
“ภรรยา ผมกลับมาแล้ว ดูสิว่าผมเอาอะไรกลับมาให้คุณด้วย?” จ้าวเหวินเทายื่นไส้กรอกเลือดไปตรงหน้าเย่ฉูฉู่
ภายในห้องไฟค่อนข้างมืดสลัว เย่ฉูฉู่จึงมองเห็นไม่ชัดอยู่ครู่หนึ่ง “นี่คืออะไรเหรอ?”
“ไส้กรอกเลือด” จ้าวเหวินเทากล่าว “ข้างนอกหนาวเกินไปหน่อย มันก็เลยแข็งโป๊ก ผมจะเอาไปอุ่นให้ร้อนสักหน่อยแล้วหั่นให้คุณชิมดูนะ”
เย่ฉูฉู่มองไส้กรอกเลือดที่อยู่ในสภาพนั้นด้วยความรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก “ทำสะอาดหรือเปล่าคะ?”
เธอย่อมรู้ดีว่าไส้กรอกเลือดทำอย่างไร เงื่อนไขด้านสุขอนามัยนั้นทำให้เกิดความสงสัยจริง ๆ
จ้าวเหวินเทาสร้างความมั่นใจให้ภรรยา “ภรรยาจ๋า คุณสบายใจได้เต็มร้อยเลย ผมเห็นทุกขั้นตอน แถมยังลงมือทำเองด้วยนะ เพื่อให้ภรรยาได้กินสิ่งนี้ ผมให้พวกหล่อนล้างให้สะอาดเป็นพิเศษเลยล่ะ!”
เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นคุณหั่นมาสักครึ่งหนึ่งก็แล้วกันนะคะ ส่วนที่เหลือพรุ่งนี้ค่อยเอาไปทอดกิน ฉันจำได้ว่าคุณชอบกินไส้กรอกเลือดทอดที่สุด”
“ภรรยาคุณอย่าเอาแต่นึกถึงผมสิ คุณก็ต้องกินเองด้วยนะ” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม ระหว่างไปอุ่นไส้กรอกเลือด เขาก็เล่าเรื่องในวันนี้ให้ภรรยาฟังไปพลาง
เย่ฉูฉู่ได้ยินเขาบอกว่าถูกเลขาเรียกให้รับประทานอาหารโต๊ะเดียวกัน จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกับเลขาด้วยเหรอ? ฉันว่าคุณคงดื่มไปไม่น้อย แค่อ้าปากก็เหม็นกลิ่นเหล้าหึ่งเลย”
“ดื่มไปไม่เยอะหรอก เป็นเหล้าขวด แค่ยี่สิบกว่าดีกรีเอง ดื่มไปก็ไม่ได้แรงอะไร ผมดื่มมันเหมือนกับดื่มน้ำเย็นนั่นแหละ” จ้าวเหวินเทาแย้มยิ้ม
ตอนนี้มีลูกแล้ว จ้าวเหวินเทาจึงไม่ต้องงดแอลกอฮอล์
จ้าวเหวินเทาพูดต่อไปว่า “ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกว่าเลขาหมู่บ้านของพวกเราก็งั้น ๆ ไม่เคยทำอะไรเลยสักอย่าง แถมยังอนุรักษ์นิยมจัด แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าเขามีแผนอยู่ในใจ!”
“ที่เขาสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นอย่างมั่นคงก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้วค่ะ” เย่ฉูฉู่ยิ้ม
“ภรรยาจ๋า ลองชิมไส้กรอกเลือดดูก่อนสิ พ่อครัวใหญ่ของทีมเป็นคนทำเลยนะ ผมกินแล้วอร่อยมากเลย” จ้าวเหวินเทาอุ่นเรียบร้อยแล้ว จึงนำเข้ามาเสิร์ฟ
เย่ฉูฉู่ดมกลิ่นดูแล้วก็พบว่ายังพอไหว เธอจึงคีบเข้าปากไปหนึ่งชิ้นด้วยความลังเล ไม่ต้องพูดเลยว่ารสชาติไม่เลวจริง ๆ
การทำไส้กรอกเลือดไม่ใช่ว่าแค่กรอกเลือดเข้าไปในไส้กรอกแล้วจะเรียบร้อย ก่อนที่จะกรอกเข้าไปก็ต้องเพิ่มแป้งบัควีต กระเทียมสับ หัวหอมสับ ผงชูรส พริกฮวาเจียว เกลือ และน้ำมันลงไป
เติมเครื่องปรุงไปพลางชิมไปพลาง เมื่อผสมจนได้ที่และรู้สึกว่ารสชาติใช้ได้แล้วค่อยกรอกเข้าไปในไส้กรอก
อย่าได้ดูถูกขั้นตอนนี้เชียว ไส้กรอกเลือดจะอร่อยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการผสมว่าผสมอย่างไร หากผสมไม่ดีรสชาติก็จะไม่อร่อยแม้แต่นิดเดียว
เห็นได้ชัดว่าฝีมือไม่เลวเลย เพราะรสชาติยอดเยี่ยมมาก
“อร่อยใช่ไหมล่ะ?” จ้าวเหวินเทามองการแสดงออกของภรรยา
“ไม่เลวเลยค่ะ” เย่ฉูฉู่คีบอีกหนึ่งชิ้น สำหรับเธอแล้วไม่เลวเลยเป็นการประเมินที่สูงมาก
ลิ้นของเธอไม่มีอะไรที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน ตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชาย เขาพาเธอไปรับประทานอาหารอันโอชะมาหมดแล้ว
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปถามให้ว่ายังมีอีกหรือเปล่า ผมจะเอากลับมาให้คุณอีกชิ้นนะ” จ้าวเหวินเทาเห็นภรรยาของเขาชอบรับประทานขนาดนี้ก็แอบรู้สึกเสียดายที่นำกลับมาน้อยไปหน่อย
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] ชามข้าวเหล็ก (铁饭碗) หมายถึง อาชีพที่มั่นคง
สารจากผู้แปล
ตอนแรกยังรู้สึกอิหยังวะกับเลขาหมู่บ้านอยู่ แต่พอแปลไปเรื่อย ๆ ก็ร้องเอ๊ะ ที่แท้ลุงแกก็แผนสูงเหมือนกันนี่นา
ไส้กรอกเลือดในหม้อไฟตงเป่ยดูน่ากินมากๆ เลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)