เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 107 กลายเป็นเรื่องขบขัน
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 107 กลายเป็นเรื่องขบขัน
ตอนที่ 107 กลายเป็นเรื่องขบขัน
พี่สามจ้าวเองก็แอบรู้สึกเสียดาย เนื้อในทีมไม่รับประทานก็เท่ากับเสียเปล่า ตอนนั้นเขาคิดอะไรอยู่นะ ทำไมถึงไม่ให้พวกลูก ๆ ไปกินให้มากหน่อย?
อันที่จริงชาจูฉ่ายนี้ไม่ใช่ว่าใครจะไปรับประทานก็ได้ คนที่ไปต่างก็เป็นคนที่มีหน้ามีตาในหมู่บ้านกันทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นพวกเด็ก ๆ ก็สามารถวิ่งไปขอรับประทานนิดหน่อยได้
เฮ้อ คำนวณผิดไปเสียแล้วสิ
“เนื้อแค่นี้เก็บไว้ห่อเกี๊ยวกินตอนปีใหม่เถอะ พวกลูกก็ตั้งใจบดถั่วให้ดี รอให้ขายเต้าหู้ออกไปเมื่อไร พ่อจะให้พวกลูกกินเนื้อเป็นสิบ ๆ ชั่ง กินให้หนำใจกันไปเลย!” พี่สามจ้าวรับปากกับพวกลูก ๆ
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือไม่ว่าจะหม่าต้านหรือเอ้อร์หยาต่างเบือนหน้าหนีทั้งคู่
“คำพูดนี้พ่อพูดมาตั้งกี่รอบแล้ว!” หม่าต้านกล่าว
“นั่นสิ ไม่เห็นจะซื้อสักครั้งเลย ใครจะไปเชื่อ!” เอ้อร์หยากล่าว
“ไอ้เด็กเวร ยอกย้อนเหรอ!” พี่สามจ้าวด่าเปิง “ที่ฉันไม่ซื้อเนื้อก็เพราะฉันต้องเก็บเงินไว้ให้พวกแกใช้ตอนโตไม่ใช่เหรอ? หลังจากนี้พอแกแต่งงานแกจะไม่ใช้เงินหรือไง? แต่งงานไม่มีค่าสินสอดทองหมั้นเหรอ? วันๆ รู้จักแต่กินๆๆ อยู่นั่นแหละ รอให้ถึงวันที่ไม่มีจะกินก่อนเถอะได้อดอยากปากแห้งกันแน่!”
เด็กทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร พวกเขาไม่มีวันพูดชนะพ่อของพวกเขาหรอก
แต่พวกเขาอยากกินเนื้อจริง ๆ นะ
พี่สะใภ้สามจ้าวรักลูกของหล่อน “แม่จะไปนวดเส้นเฉียวเมี่ยนให้ หั่นเนื้อนิดหน่อยเอาไปทำต้มเค็มให้กินนะ ส่วนที่เหลือเราจะเอาไปห่อเกี๊ยวไว้กินตอนปีใหม่ พวกลูกคิดเห็นยังไง?”
เอ้อร์หยาและหม่าต้านกระโดดตัวลอย “แม่ใจดีจริง ๆ เลย!”
พี่สามจ้าวบ่นพึมพำ “คุณมันพวกสุรุ่ยสุร่าย พอแบ่งเนื้อมาได้ง่าย ๆ หน่อยก็กินซะแล้ว!”
พี่สะใภ้สามจ้าวขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเขาแล้ว เธอนำเนื้อออกไปหั่นหนึ่งชิ้น จากนั้นหั่นเป็นลูกเต๋า หั่นผักดองและเต้าหู้เพื่อทำเป็นซอสต้มเค็ม
“ทำไมคุณถึงหั่นเต้าหู้ลงไปล่ะ นั่นเป็นเงินทั้งนั้นเลยนะ!” พี่สามจ้าวปวดใจมาก
พี่สะใภ้สามจ้าวรับไม่ได้กับท่าทางนั้นของเขา “อันนี้ก็เสียดายอันนั้นก็เสียดาย เก่งจริงคุณก็บีบคอฉันไปเลยสิ จะประหยัดอะไรนักหนา!”
“ดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือ[1] ก็ได้นะครับ ตอนนี้ด้านนอกเป็นลมตะวันตกเฉียงเหนือทั้งนั้นเลย พ่อรีบออกไปสิ อ้าปากกว้าง ๆ หน่อยล่ะ!” หม่าต้านช่วยเสริม
“ถูกต้อง พ่อรีบออกไปดื่มหน่อยเถอะ ดื่มให้เยอะ ๆ หน่อยนะ อิ่มแล้วเดี๋ยวพวกเราช่วยประคองกลับมาเอง” เอ้อร์หยาก็กล่าว
พี่สามจ้าวจ้องมองอย่างโกรธเคือง เขาเป็นใหญ่ในบ้าน ทั้งยังเป็นกำลังแรงงานหลักของบ้าน หาเงินและเลี้ยงครอบครัวนะ แต่ทำไมทุกคนถึงได้มาทำให้เขาโมโหเป็นพิเศษ?
พี่สะใภ้สามจ้าวยิ้มขณะช่วยเสริม “ลูก ๆ พูดถูก อีกเดี๋ยวพวกเรากินข้าว ส่วนคุณก็ออกไปดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือข้างนอกก็แล้วกัน แบบนี้ก็ประหยัดข้าวไปได้หนึ่งมื้อแล้ว”
พี่สามจ้าวย่อมไม่อาจออกไปยืนอดอยากปากแห้งข้างนอกอยู่แล้ว ตอนที่รับประทานอาหาร เขาก็ถึงขั้นกินบะหมี่บัควีตไปถึงสามถ้วยใหญ่ติดต่อกัน ทั้งยังราดซอสต้มเค็มจนเต็มถ้วย รับประทานจนเหงื่อไหลทั้งหน้า พึงพอใจอย่างมากทีเดียว!
ในเวลาเดียวกัน พี่สะใภ้สี่จ้าวก็หั่นเนื้อหมูที่พี่สี่จ้าวแบ่งกลับมา ปากก็ยังบ่นไปว่า “เนื้อแค่นี้เอง จะพอให้ลูกชายของเรากินได้ยังไงเนี่ย!”
“กินแก้ขัดไปก่อนเถอะ มีให้กินนิดหน่อยก็ไม่เลวแล้ว” พี่สี่จ้าวกล่าว
พี่สะใภ้สี่จ้าวมองเนื้อเล็กน้อยนี้ หล่อนก็แบ่งมากกว่าครึ่งใส่ไว้ในขวดโหล ส่วนที่เหลืออีกนิดหน่อยหั่นเป็นเส้นบาง ๆ จากนั้นหั่นผักดองอีกสองหัว นำไปผัดกับข้าวหนึ่งจาน ส่วนข้าวใช้เป็นข้าวฟ่าง
“หมูเป็นหมูที่ทุกคนช่วยกันเลี้ยง เนื้อก็เป็นของทุกคน ไม่แบ่งแล้วจะเก็บไว้ให้ใคร!” พี่สะใภ้สี่จ้าวบ่นเสียงเบา
พี่สี่จ้าวไม่ได้กล่าวสิ่งใด
พี่สะใภ้สี่จ้าวบ่นจู้จี้จุกจิกไปครึ่งค่อนวัน จากนั้นก็นำกับข้าวที่ทำเสร็จมาวาง ลูกสาวทั้งสองคนมองเนื้อจนน้ำลายสอแล้ว
“แม่ หนูกินหมูเส้นนี้ได้ไหมคะ?”
“แม่ หนูเองก็ขอกินหมูเส้นนี้ด้วยได้หรือเปล่าคะ?”
สองสาวมองแม่ของพวกเธอด้วยท่าทางน่าสงสาร
คนที่ไปขอรับประทานเนื้อในทีมเป็นเด็กผู้ชายทั้งหมด เด็กผู้หญิงหน้าบางจึงรู้สึกอาย ต่อให้ไม่อายก็สู้เด็กผู้ชายไม่ได้อยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างพวกเธอสองคน ดังนั้นจึงไม่กล้าไป
“นี่เป็นของไว้ให้พวกเธอกินเหรอ นี่ไว้ให้น้องชายกินต่างหากล่ะ!” พี่สะใภ้สี่จ้าวแผดเสียง
ทำเอาเด็กสาวทั้งสองคนตกใจจนต้องก้มหน้าเขี่ยข้าว แม้แต่กับข้าวก็ไม่กล้าตัก
พี่สี่จ้าวทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว “ทำอะไรของคุณ ตกใจแทบแย่!”
“ยัยเด็กสมควรตายพวกนี้ งานการก็ไม่ทำเอาแต่จะกิน!” พี่สะใภ้สี่จ้าวคีบเนื้อเข้าปากอย่างรวดเร็ว ก่อนกล่าวว่า “ลูกชายจ๋า รีบกินนะลูก กินให้อ้วน ๆ เลยนะ!”
พี่สี่จ้าวมองภรรยาปราดหนึ่ง ก่อนจะหันมองลูกสาวทั้งสองคน แล้วยื่นตะเกียบออกไปคีบหมูเส้นใส่ถ้วยให้พวกลูก ๆ คนละสองสามชิ้น
พี่สะใภ้สี่จ้าวถึงกับถลึงตามอง
พี่สี่จ้าวจึงบอก “หมอเขาบอกอยู่ว่าคนท้องห้ามโมโห โมโหแล้วลูกจะกลายเป็นลูกสาว”
พี่สะใภ้สี่จ้าวเกือบจะสำลัก “หมอคนไหนบอกคะ?”
“คุณจะไปสนใจทำไมว่าหมอคนไหน รีบกินเถอะ” พี่สี่จ้าวคีบผักกินคู่กับข้าวฟ่าง
พี่สะใภ้สี่มองลูกสาวทั้งสองคนปราดหนึ่ง แล้วพูดอย่างข่มโทสะ “กินเนื้อแค่นิดหน่อยก็พอ ห้ามกินอีก กินผักไปซะ!”
เด็กสาวทั้งสองพยักหน้ารัว ๆ จากนั้นก็คีบผักมารับประทาน ผักก็อร่อยเหมือนกัน มีกลิ่นเนื้อติดอยู่ด้วย
“น้องสามีคนเล็กได้เนื้อมาเท่าไร?” พี่สะใภ้สี่คิดอะไรบางอย่างขึ้นได้
“ไม่รู้ ตอนที่ผมไปแบ่งเนื้อก็เห็นเจ้าหกนั่งดื่มเหล้ากับเลขาแล้ว” พี่สี่จ้าวกล่าว
“ดื่มเหล้ากับเลขา แบบนั้นก็ต้องแบ่งเนื้อได้มากกว่าพวกเราน่ะสิ?” พี่สะใภ้สี่อดไม่ได้ที่จะพูด
“จะได้มากกว่าสักเท่าไรกันเชียว? เชือดหมูไปแค่สี่ตัว” พี่สี่จ้าวกล่าว
“ต่อให้ไม่มาก แต่น้องสามีคนเล็กได้ดื่มเหล้ากับเลขา ก็ถือว่าได้คลุกคลีด้วยกันแล้ว!” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว
พี่สี่จ้าวเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูด “คุณคิดว่ากับแกล้มมื้อนั้นได้กินดื่มอย่างเอร็ดอร่อยแค่นั้นเหรอ? เจ้าหกไปกินแล้ว แต่ก็ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเหมือนกัน”
“เกิดอะไรขึ้น?” พี่สะใภ้สี่จ้าวได้ยินคำพูดนี้ ก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาในทันที
อาศัยโอกาสตอนที่พ่อกับแม่กำลังคุยกัน ซานหยาก็แอบคีบหมูเส้นมารับประทานหนึ่งชิ้น จากนั้นก็แอบคีบให้น้องสาวของเธออีกหนึ่งชิ้น สองพี่น้องหันสบตากัน ก่อนจะยิ้มหวานออกมา
“ผมเองก็ได้ยินคนอื่นพูดกันอีกที ไม่ได้เข้าไปในห้องน่ะ” พี่สี่จ้าวจึงพูดเรื่องที่จ้าวเหวินเทาพูดว่าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องบ้าก่อนให้ฟัง
พี่สะใภ้สี่จ้าวถึงกับหัวเราะออกมา “ฉันว่าแล้วเชียวว่าเขาคงทำเงินได้ไม่มากขนาดนั้นหรอก เพิ่งจะเริ่มก็ซื้อจักรยานกลับมาแล้ว นี่เพิ่งจะไม่เท่าไหร่ก็ไปซื้อรถมาอีก จริงสิ รถคันนั้นไม่ใช่เงินของเขาด้วย แต่ใครออกเงินล่ะ เป็นหุ้นส่วนกันแล้ว เขาก็ต้องออกครึ่งหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ต่อให้เป็นครึ่งหนึ่งก็เป็นเงิน! ฟังดูสิ ขนาดจักรยานคันนั้นยังไม่คืนทุน แถมยังกินดีอยู่ดีทั้งวันอีก ต่อให้ได้เงินมานิดหน่อยจะเก็บได้สักเท่าไหร่กันเชียว? ครั้งก่อนตอนที่พี่สะใภ้รองโวยวายขึ้นมา น้องสามีคนเล็กพูดว่าอะไรแล้วนะ บอกว่าจะสร้างบ้านพาพ่อกับแม่ไปอยู่ด้วย แค่นี้? เรื่องคำพูดสวยหรูนี่ไม่มีใครสู้เขาได้เลยจริงๆ!”
พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันขั้นสุด ภายในใจก็รู้สึกสะใจจริง ๆ
สองสามีภรรยาคู่นั้นส่งกลิ่นเนื้อกับน้ำมันลอยออกมาทุกวัน ทำให้หล่อนรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่เปลือกนอก!
พี่สี่จ้าวทนดูหล่อนเยาะเย้ยน้องชายตัวเองแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เขาพูดมาหนึ่งประโยคโดยไม่เงยหน้า “อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องหิว ใครจะไปเหมือนคุณ ลูกสาวขอกินหมูเส้นนิดหน่อยก็ไม่ได้!”
“ฉัน…ฉันก็ทำเพื่อให้ลูกชายของพวกเราได้กินมากหน่อยไม่ใช่หรือไงคะ!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดด้วยความโกรธเคือง
ทางฝั่งคุณพ่อจ้าวก็กลับมาแล้ว เขาเล่าเรื่องที่ลูกชายคนเล็กไปพูดจาเหลวไหลให้คุณแม่จ้าวฟังด้วยความรู้สึกขบขันเล็ก ๆ
คุณแม่จ้าวกลับหัวเราะไม่ออก นางชะงักไปครู่หนึ่ง กระซิบว่า “ไม่ได้ขาดแคลนเงินจริง ๆ เหรอ?”
“ลูกชายของคุณ คุณยังไม่รู้จักเขาอีกเหรอ?” คุณพ่อจ้าวหัวเราะ
คุณแม่จ้าวจึงเบาใจ นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กบ้าคนนี้ไม่รู้ไปเหมือนใคร จิตใจอย่างกับรวงผึ้งมาตั้งแต่เด็ก ๆ พูดจาหลอกคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่า”
“คำพูดเหลวไหลพวกนั้นก็ใช้สำหรับคนนอกนั่นแหละ แต่เขาก็แสดงความกตัญญูกับพวกเราสองคนไปไม่น้อย คุณดูนี่สิ” คุณพ่อจ้าวยกเนื้อขึ้นมาพลางกล่าว
ลูกชายคนเล็กกลัวว่าพวกเขาจะรับประทานไม่อิ่ม จึงแสดงความกตัญญูด้วยการให้เนื้อมาหนึ่งชิ้น จนคุณแม่จ้าวยิ้มออกมา “เจ้าเด็กบ้าคนนี้นี่”
………………………………………………………………………………………………………………………
[1] เป็นสำนวน แปลว่าอดอยากไม่มีอะไรจะกิน
สารจากผู้แปล
พี่สามโดนลูกเมียรุมเล่นงานแล้ว ในขณะที่พี่สะใภ้สี่ก็โดนสามีด่าประโยคเดียวจอด
เหวินเทาก็โม้ไปอย่างนั้นแหละ จริง ๆ แล้วเป็นการปกป้องพวกขี้อิจฉาที่รอชุบมือเปิบต่างหาก
ไหหม่า(海馬)