เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 15 กระต่ายน้ำแดง
ตอนที่ 15 กระต่ายน้ำแดง
แต่การแยกบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังอยู่ในช่วงฤดูกาลนี้ด้วย
เพียงพริบตาเดียวก็จะถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตประจำฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้แล้ว ฝักข้าวโพดในท้องทุ่งก็สุกแก่พร้อมเก็บ
นี่ไม่ใช่โครงการขนาดเล็กเลย เย่ฉูฉู่เองก็ออกไปกับทุกคนตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนออกไป จ้าวเหวินเทาได้กระซิบบอกเป็นการส่วนตัวกับภรรยาซื่อบื่อคนนี้ว่าอย่าปล่อยให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป เพราะผลงานที่เขาอุตส่าห์ขยันทำมาตลอดครึ่งเดือนคงจะอยู่ในท้องของเธอแล้ว
คำพูดนี้ทำให้เย่ฉูฉู่อายจนทนไม่ไหว เพราะตลอดครึ่งเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมา จ้าวเหวินเทาก็สะกิดเธอไม่น้อยจริง ๆ ตอนกินก็กินปกติ แต่ไม่รู้ว่าเขาไปเอาพลังงานมาจากที่ไหน
แน่นอนว่าเย่ฉูฉู่เองก็เพลิดเพลินอย่างมากเช่นกัน เพราะเหวินเทาอ่อนโยนกับเธอเป็นอย่างมาก ถึงขั้นทำให้เธอจมดิ่งอยู่ในนั้นอย่างไม่อาจถอดถอน
ไม่ต้องให้เหวินเทาเตือน เธอก็พอจะรู้ดีอยู่แก่ใจ เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนรอบเดือนของเธอเพิ่งจะหมด ถึงก่อนหน้านี้ไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่ครั้งนี้เธอเองก็ไม่มั่นใจจริงๆ
สามเดือนแรกมักเจอปัญหาได้ง่ายมาก ดังนั้นเธอจึงระมัดระวังตัว แต่ความเร็วในการทำงานก็ไม่ได้ช้าลง
แม้จะไม่ได้รวดเร็วขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวถ่วง
“น้องสะใภ้เธอคนนั้นช่างสำออยจริงเชียว คนไม่รู้คงคิดว่าเป็นคุณหนูเจ้าของที่ดิน ท่าทางดูอ่อนแอบอบบางเหลือเกิน” เธอไม่ได้เป็นตัวถ่วงใครก็จริง แต่มีบางคนที่ไม่อาจทนดูได้ จึงมีคนแอบไปกระซิบข้างหูพี่สะใภ้รองจ้าว
พี่สะใภ้รองจ้าวมองเย่ฉูฉู่ที่กำลังเก็บฝักข้าวโพด ทั้งยังแบกตะกร้าข้าวโพดไว้บนหลังตัวเองอย่างแข็งขัน แล้วหล่อนก็พูดว่า “หล่อนก็ทำได้ดีไม่ใช่เหรอ”
สำหรับน้องสะใภ้เย่ฉูฉู่คนนี้ หล่อนไม่มีอะไรต้องพูด เพราะเธอก็ออกมาทำงานทุกวันไม่ได้แอบอู้งาน แม้ตอนที่รอบเดือนมาจะนอนอยู่กับบ้านไม่ได้ออกมาทำงาน แต่เธอก็ยังทำงานบ้าน หล่อนแค่ไม่พอใจน้องสามีคนเล็กก็เท่านั้น
ก็ยังคงเป็นคำพูดนั้น ว่าหากแยกบ้านจะดีขนาดไหนกันนะ?
เพื่อนคนนี้ของสะใภ้รองจ้าวพูดเสียงเบา “ตระกูลจ้าวของพวกเธอไม่คิดจะแยกบ้านเหรอ? ตอนนี้ในหมู่บ้านเหลือพวกเธอแค่ไม่กี่ครอบครัวแล้วนะที่ยังไม่แยกบ้าน”
“คุณพ่อกับคุณแม่ฉันไม่ได้มีความคิดแบบนั้นน่ะสิ” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดขณะทำงานไปด้วย
“ต้องเป็นเพราะลำเอียงไปทางลูกคนเล็กสินะ?” เพื่อนของหล่อนพูดฉับพลัน
สะใภ้รองจ้าวไม่อยากพูดเรื่องในบ้าน จึงพูดว่า “รีบทำงานเถอะ วันนี้ได้แต้มค่าแรงตั้งเก้าแต้มเลยนะ”
การเก็บข้าวโพดไม่ใช่งานง่ายจริง ๆ ดังนั้นการทำงานแบบนี้จึงทำให้เย่ฉูฉู่เหนื่อยจนทนไม่ไหว และเนื่องจากต้องรีบเก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงฤดูใบไม้ร่วงให้เร็ว ดังนั้นคนในบ้านจึงต้องนำอาหารกลางวันมาส่ง และไม่ได้กลับไปที่บ้าน
จ้าวเหวินเทามักแอบอู้งานในเวลาอื่นก็จริง แต่ในช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงเขาไม่ได้แอบอู้งานเลย เพราะทุกคนต่างก็ต้องรีบเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงนี้
ไม่เช่นนั้นหากเทพเจ้าเกิดความขุ่นเคืองใจ ปล่อยฝนเทลงมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง คงได้ถูกคนนับพันชี้หน้ารุมสาปแช่งเป็นแน่
ดังนั้นจ้าวเหวินเทาจึงขยันมาก และสองสามีภรรยาก็มานั่งรับประทานอาหารด้วยกัน
อาหารมื้อนี้ไม่มีของอะไรอร่อยหรอก มีแค่แผ่นแป้งจี่เท่านั้น แต่คุณแม่จ้าวก็ยอมเสียสละใส่บะหมี่ไว้ข้างในด้วย ระหว่างที่รับประทานสิ่งนี้ก็ดื่มน้ำไปพลาง นี่นับว่าเป็นอาหารเที่ยงแล้ว
หากเป็นเมื่อก่อน อาหารเที่ยงแบบนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ทั้งยังมีบะหมี่อยู่ด้านในด้วย แต่ตอนนี้จ้าวเหวินเทาเห็นอาหารของตระกูลเฉินที่อยู่ข้าง ๆ บ้านนี้ไม่กลัวเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนอื่นแม้แต่น้อย ของที่กินคือหมั่นโถวแป้งขาว แค่นี้ยังไม่พอ ยังมีไข่คนซีอิ๊ว(1)เป็นเครื่องเคียงด้วย!
ไม่ได้มีแค่ตระกูลเฉินเท่านั้น ยังมีหลี่เฉียจื่ออีกคน หมอนี่กำลังกินแผ่นไข่ทอด(2)!
ความโชคร้ายของตระกูลอื่นอีกหลายตระกูลจึงดูไม่เลวนักไปถนัดตา เมื่อเทียบกับรสชาติอันเลวร้ายของแป้งจี่ห่อบะหมี่จากบ้านเขา
“ภรรยา ทำให้คุณต้องน้อยใจแล้ว” จ้าวเหวินเทามองดูด้วยความรู้สึกค่อนข้างแย่
แม่ม่ายหม่าที่อยู่กับหลี่เฉียจื่อยังได้กินแผ่นไข่ทอด แต่ภรรยาที่งดงามดุจบุปผาและหยกของเขากลับทำได้แค่นั่งแทะแป้งจี่กับเขา จะให้รู้สึกดีได้อย่างไรกัน?
เย่ฉูฉู่ไม่เคยลำบากที่ไหนกัน? ชาติก่อนที่ถูกเนรเทศได้กินแป้งจี่แบบนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ อาหารของฝ่ายนั้นก็ดีจริง ๆ นั่นแหละ
อีกอย่างฝ่ายนั้นก็กล้าต่อสู้ถึงที่สุด เทียบกับครอบครัวสามีของเธอที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ขนาดบ้านพ่อแม่ของเธอยังเลี้ยงไก่ไว้สิบกว่าตัว ในหมู่บ้านก็มีหลายครอบครัวที่เลี้ยงไก่ไว้เยอะเช่นกัน แต่ในบ้านสามีกลับมีไม่มาก
แน่นอนว่าอาหารการกินก็แย่กว่าไม่ใช่น้อย ๆ
ดังนั้นเธอจึงได้แค่มองจ้าวเหวินเทาด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
ทว่าจ้าวเหวินเทากลับรู้สึกเจ็บปวดใจ เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่กัดแป้งจี่หนึ่งคำแล้วดื่มน้ำตาม
รอให้การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้นไปก่อน ถึงเวลานั้นก็จะได้แยกบ้านและทำให้ภรรยาของเขาอยู่ดีกินดีให้ได้!
หลายบ้านที่ได้กินของดีก็ทำให้คนอิจฉาตาร้อน แต่ก็มีหลายคนที่แอบกระซิบกระซาบกันเป็นการส่วนตัว
การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่งานสบาย ข้าวโพดที่สุกงอมเป็นแค่แตรส่งสัญญาณของการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง เพราะหลังจากนี้ยังมีพืชผลที่สุกแก่ตามมามากขึ้นอีก
เย่ฉูฉู่เองก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงผลัดเวรกับพวกพี่สะใภ้อยู่บ้านทำกับข้าวและพักผ่อนไปในตัว
กระต่ายตัวนั้นถูกกินจนหมดแล้วเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งบ้านจึงหวังว่าจ้าวเหวินเทาจะจับกระต่ายได้เหมือนกับปีก่อน ๆ
จ้าวเหวินเทาไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ตอนที่เขากำลังเดินกลับบ้านพร้อมกับพวกพี่ ๆ ในช่วงโพล้เพล้ เขาก็หิ้วกระต่ายสีเทาตัวอ้วนกลับมาได้หนึ่งตัว
“แม่ เอาไปทำกระต่ายน้ำแดงเลยครับ!” ทันทีที่เดินเข้าบ้าน จ้าวเหวินเทาก็ตักน้ำเย็นสองกระบวยดับกระหาย ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ได้สิ คืนนี้พวกเรากินเนื้อกระต่ายน้ำแดงก็แล้วกัน!” คุณแม่จ้าวยิ้มตาหยี
เจ้าหกช่างโชคดีแบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต!
ดังนั้นหลังจากที่คนอื่น ๆ ได้ ‘อวดความมั่งคั่ง’ ด้วยการกินเนื้อแล้ว ตระกูลจ้าวก็มีเนื้อให้กินเช่นเดียวกัน
จากประสบการณ์หลายปีของคุณแม่จ้าว นางจึงทราบว่าหลังจากนี้ก็ยังมีเนื้อกระต่ายให้กินอีก ดังนั้นจึงไม่ได้ประหยัดแม้แต่น้อย เนื้อกระต่ายที่มีน้ำหนักสามชั่งกว่า ๆ ถูกนำมาผัดน้ำแดงจนหมด
ซึ่งก็ถูกแบ่งไปให้พี่น้องของคุณพ่อจ้าวส่วนหนึ่งด้วย มีไม่เยอะแต่ก็ต้องแบ่งไปส่วนหนึ่ง
ส่วนที่เหลือทุกคนก็เริ่มรับประทานกัน!
คนในบ้านรับประทานกันด้วยความรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
หลังจากรับประทานและดื่มจนอิ่มก็มีแรงนั่งพูดคุย เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงพี่สะใภ้สี่พูด
บอกว่าหลังจากที่แม่ม่ายหม่าแต่งงานไปได้สามปี ในที่สุดก็ตั้งครรภ์ หลี่เฉียจื่อจึงตุ๋นไก่เพื่อบำรุงร่างกายหล่อน!
ความหอมนั้นทำให้เพื่อนบ้านซ้ายขวาต่างพากันอิจฉาจนแทบแย่
พี่สะใภ้สี่จ้าวเองก็แอบอิจฉาเหมือนกัน เพราะหล่อนไม่เคยได้กินไก่ทั้งตัวเลย คิดไม่ถึงว่าแม่ม่ายหม่าจะมีความสามารถ ได้กินมันแล้ว!
อีกอย่างฝ่ายนั้นเพิ่งจะตั้งครรภ์แค่ไม่กี่เดือนก็ได้กินไก่แล้ว หลังจากคลอดล่ะ? ได้ยินมาว่าในบ้านของหลี่เฉียจื่อเลี้ยงไก่ไว้ตั้งหลายสิบตัว นี่ก็ทำให้มีกินแล้ว
คนที่อิจฉาเหมือนกับพี่สะใภ้สี่จ้าวยังมีพี่สะใภ้รองจ้าวและพี่สะใภ้สามจ้าวด้วย ใครจะไม่อิจฉาบ้างล่ะ? แต่แม่ม่ายหม่าไม่ต้องอยู่กับแม่สามี อยู่กับหลี่เฉียจื่อแค่สองคนเท่านั้น ในบ้านนั้นหล่อนจึงกลายเป็นใหญ่ ก่อนหน้านี้หลี่เฉียจื่อก็ดีกับหล่อนอยู่แล้ว เพราะหวังว่าหล่อนจะคลอดลูกให้ตนเอง
พอหล่อนตั้งครรภ์ก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ต้องบำรุงอย่างหนักแน่นอน
จ้าวเหวินเทาเองก็ได้ยินเช่นกัน
จะว่าไปแล้วอย่างไรก็ต้องแยกบ้าน แยกแล้วอยากจะกินอะไรก็ได้กิน เขาชักไม่อยากให้ภรรยาของเขาตั้งครรภ์เสียแล้วสิ เพราะถึงเวลานั้นคงสู้แม่มีายหม่าไม่ได้!
เขาสบโอกาสตอนออกมาลานตากข้าวเพื่อเฝ้าข้าวกับคุณพ่อจ้าว พูดเรื่องที่จะแยกบ้านกับพ่อของเขาอย่างเงียบ ๆ
……………………………………………………………………………………………………………………
ซอสที่กินเคียงกับหมั่นโถวและบะหมี่อย่างหนึ่งของคนจีนภาคเหนือ ทำจากไข่คนปรุงรสใส่ต้นหอม ซีอิ๊วและน้ำมันงา
อาหารทำมาจากแผ่นไข่ผสมแป้งแล้วนำไปจี่ในกระทะ
สารจากผู้แปล
เห็นคนอื่นได้กินของดี ๆ ขณะที่เมียตัวเองต้องลำบากแล้วมันเกิดไฟฮึดสินะพี่เทา ขอให้ได้แยกบ้านอย่างเป็นทางการนะคะ
ไหหม่า(海馬)