เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 152 ฉูฉู่หญิงร้ายกาจ
พี่รองจ้าวและพี่สามจ้าวใช้วิธีค้างจ่ายในการใช้รถขุดดิน โดยการทำสัญญากู้ยืมเงิน
แต่ถึงเวลานี้แล้ว พี่รองจ้าวและพี่สามจ้าวก็ไม่ได้สนใจมากมายขนาดนั้น ต่อให้ติดหนี้มากกว่านี้ก็คือการติดหนี้ ดังนั้นติดไปเถอะ
เรื่องนี้สมควรจะพูดประโยคนั้นจริง ๆ ว่าเหามีมากก็ไม่คัน หนี้มีเยอะก็ไม่กังวลแล้ว
เมื่อมีรถขุดดินก็ทำงานได้เร็วขึ้นจริง ๆ
ช่วงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างก็ทันขึ้นคานบ้านแล้ว ทั้งสองครอบครัวขึ้นคานบ้านพร้อมกัน ดังนั้นงานเลี้ยงจึงจ่ายกันคนละครึ่ง ระหว่างนั้นก็ฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างไปด้วยเลย
สถานการณ์แบบนี้คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวในฐานะที่เป็นพ่อแม่ ก็ต้องเข้าร่วมอยู่แล้ว
อีกอย่างก็เป็นการฉลองเทศกาลไปด้วย จ้าวเหวินเทาจึงนำของมาแสดงความกตัญญูต่อพ่อและแม่ ของนี้แน่นอนว่าต้องกินในงานเลี้ยง ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูหนาว อะไรก็เก็บไว้ไม่ได้ทั้งนั้น
“สองบ้านนี้ไล่ตามเก่งจริง ๆ!” พี่สะใภ้สี่จ้าวกระซิบกับพี่สี่จ้าว “ฉันเห็นแล้ว น้องสามีเล็กหิ้วปลามาหนึ่งตัว แถมยังมีไก่อีกตัวหนึ่งด้วย นี่เป็นของดีทั้งนั้นเลยนะ แม่ยังเก็บไว้ไม่ยอมกินอีก แบบนั้นไม่เหม็นแย่เลยเหรอ? แล้วดูสองบ้านนั้นสิเอาอะไรมา ต้นหอม ผักชีฝรั่ง บวมเหลี่ยม แล้วยังมีอะไรจากในไร่อีก? ถั่วฝักยาวแห้งหั่นฝอย ของแบบนั้นไว้กินตอนฤดูหนาวไม่ใช่เหรอ กินตอนนี้ติดฟันตายเลย!”
“คุณไม่กินก็ไม่ติดฟันแล้วไม่ใช่เหรอ?” พี่สี่จ้าวกล่าว
“ทำไมฉันจะไม่กิน สามีของฉันก็ทำงานให้พวกเขาเหมือนกัน!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์
การขึ้นคานบ้านนี้พี่สี่จ้าวในฐานะที่เป็นน้องชายแท้ ๆ ก็ต้องช่วยเหลือ พี่สะใภ้สี่จ้าวคิดว่าสามีของหล่อนออกแรงแล้ว ทำไมหล่อนถึงจะไปกินไม่ได้ ไม่เพียงแต่ต้องไป ลูกของหล่อนก็ต้องไปด้วย!
เหมือนกับตอนที่จ้าวเหวินเทาขึ้นคานบ้านครั้งนั้น ได้กินของดี ๆ ตั้งหนึ่งมื้อ!
พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดถูก ปลาและไก่ที่จ้าวเหวินเทาแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ ก็ต้องทำออกมาตุ๋นช่วงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง หากไม่นำมาตุ๋นก็จะส่งกลิ่นเหม็น แบบนั้นก็เสียของแย่สิ?
ส่วนผักนั้นพี่รองจ้าวและพี่สามจ้าวเป็นคนหามา พี่สะใภ้สามจ้าวใจกว้าง ของที่หล่อนสามารถนำออกมาได้ก็นำออกมาหมด ทั้งผักแห้งและผักตามฤดูกาลที่ออกมาจากสวน
ส่วนพี่รองจ้าวก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่พี่สะใภ้รองจ้าวเองก็นำเนื้อแดงรมควันออกมาส่วนหนึ่งด้วย
เป็นเพราะตรงกับช่วงเทศกาล และทั้งสองครอบครัวขึ้นคานบ้านได้ทันเวลา ตระกูลจ้าวจึงรับประทานอาหารร่วมกัน
คุณแม่จ้าวใช้ไก่ของจ้าวเหวินเทามาตุ๋นเป็นน้ำแกงไก่ ลูกสะใภ้ทั้งสองคนที่ตั้งครรภ์จึงได้รับประทานคนละสองถ้วยใหญ่ แต่เมื่อมีจำนวนมากก็รับประทานไม่ไหวแล้ว
ส่วนคนแก่และเด็กในตระกูลจ้าวที่เหลือก็ได้รับประทานคนละถ้วย เนื้อไก่และถั่วฝักยาวแห้งหั่นฝอยที่เหลืออยู่นำมาผัดด้วยกัน ทำเป็นอาหารหนึ่งจาน
ส่วนปลาก็นำมาตุ๋นเป็นน้ำแกง ปลาและเต้าหู้ที่เหลืออยู่นำมาทำอาหารอีกหนึ่งจาน
พี่สามจ้าวครั้งนี้เลือดไหลซิบ ๆ แล้ว เป็นหนึ่งครั้งที่เขาแสดงความใจกว้าง ด้วยการทำเต้าหู้สองหม้อ
นี่เป็นอาหารชั้นยอดสองอย่าง ส่วนที่เหลือก็เป็นผักใบเขียวตามฤดูกาลคู่กับเต้าหู้ และก้อนผักดองเค็มคู่กับเต้าหู้
ข้าวที่รับประทานคือบ๊ะจ่าง เป็นข้าวฟ่างและข้าวโพดที่นำมาผสมห่อเข้าด้วยกัน
ครั้งนี้พี่สาวใหญ่จ้าวก็กลับมาฉลองเทศกาลเช่นกัน ทั้งยังพาลูกชายและลูกสาวคนเล็กกลับมาด้วย นอกจากนี้ยังมีเนื้อและไข่ไก่ติดไม้ติดมือมาอีกนิดหน่อย โดยรวมแล้วงานเลี้ยงถือว่าไม่เลวเลย
พี่สะใภ้สี่จ้าวยังคงรับประทานอาหารร่วมกับเย่ฉูฉู่ ระหว่างที่รับประทานก็คุยไปเรื่อยเปื่อย “น้องสะใภ้หก เธอดูงานเลี้ยงนี้สิ สองบ้านจัดร่วมกัน ยังสู้อาหารตอนที่ขึ้นคานบ้านของพวกเธอไม่ได้เลย!”
พี่สะใภ้สี่จ้าวคนนี้ชื่นชอบการยุยงปลุกปั่นให้เกิดปัญหา ชอบจนเป็นนิสัยกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แค่อ้าปากพูดก็เป็นเรื่อง พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นหล่อนก็เป็นผู้ชมยืนเกาะติดสนาม ทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์
เย่ฉูฉู่รู้มานานแล้วว่าหล่อนเป็นคนอย่างไร จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ก็ยังมีเนื้อมีผัก ในฤดูกาลแบบนี้ถือว่าไม่เลวแล้วค่ะ แม่กับพี่สาวใหญ่ก็ทำอาหารอร่อยมากด้วย”
“อันนี้มันก็ดีอยู่หรอก แถมยังอร่อยมากด้วย แต่ก็ยังสู้อาหารตอนที่พวกเธอขึ้นคานบ้านไม่ได้อยู่ดี!” พี่สะใภ้สี่จ้าวเงยหน้ามองเย่ฉูฉู่ปราดหนึ่ง และเน้นย้ำอีกครั้ง
เย่ฉูฉู่กล่าวเนิบช้า “พี่สะใภ้สี่มีรสนิยมดีขนาดนี้ อนาคตถ้าจัดงานเลี้ยงขึ้นคานบ้านต้องดีกว่าพวกเราแน่นอน จริงสิ พี่สะใภ้สี่ พวกพี่จะสร้างบ้านกันตอนไหนเหรอคะ ตอนนี้ก็เหลือแค่พวกพี่แล้วนะ”
พี่สะใภ้สี่จ้าวสีหน้าแข็งค้างไป ก่อนจะพูดค่อนไปทางไม่พอใจว่า “แหม ฉันสู้พวกเธอไม่ได้หรอก น้องสามีเล็กทำการค้าขายใหญ่โต เงินทองหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย!”
“พี่รองกับพี่สามก็ไม่ได้ทำมาค้าขายอะไร เงินก็ไม่ได้เข้าแบบไม่ขาดสาย แต่พวกเขาก็ยังสร้างบ้านกันเลยนี่คะ” เย่ฉูฉู่รับประทานผักใบเขียวไปพลางพูดอย่างช้า ๆ
พี่สะใภ้สี่จ้าวถึงกับสะอึก โชคดีที่ลูกของหล่อนเตะท้องเธอพอดี จึงหาเหตุผลได้ในทันที “ฉันก็ตั้งท้องอยู่นี่ไง จะมีเวลาสร้างบ้านได้ยังไงกันล่ะ!”
เย่ฉูฉู่พยักหน้า “จริงด้วย พี่สะใภ้สี่ท้องแล้ว คงไม่มีแรงจะจัดการเรื่องนี้ พี่สะใภ้สี่ดูรักพี่สี่จัง ไม่เหมือนกับฉัน ตั้งครรภ์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย เรื่องที่สร้างบ้านเหวินเทาก็ทำเองทั้งหมด แถมยังมีงานในไร่ในสวน เขาก็เหมาไปทำคนเดียว แต่ก็แหงแหละ สมาชิกในบ้านของเรามีน้อย ที่ดินก็น้อยนิด พี่สะใภ้สี่มีสมาชิกตั้งหลายคน ที่ดินเยอะกว่าพวกเราอีก พี่สี่ทำงานคนเดียวไม่ไหว ปีหน้าก็ควรจะสร้างบ้านแล้วสินะ ถึงเวลานั้นลูกก็โตแล้ว คงวางมือได้”
พี่สะใภ้สี่จ้าวถึงกับพูดไม่ออกเพราะคำพูดของเย่ฉูฉู่ที่พูดออกมาประโยคแล้วประโยคเล่า ภายในใจก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความโกรธเคือง
หล่อนพูดแค่ประโยคเดียว น้องสะใภ้คนนี้ก็พูดจาฉอด ๆ ยังเห็นหล่อนเป็นพี่สะใภ้อยู่หรือเปล่า!
ภายในใจก็เถียงกลับไป แต่เมื่อนึกถึงลูกชายในท้อง ไม่ได้ การทะเลาะกันจะกระทบต่อลูกชาย ท้ายที่สุดหล่อนจึงรับประทานอาหารมื้อนี้ด้วยความรู้สึกหายใจไม่ออกระคนกับไฟสุมทรวง
พี่สาวใหญ่จ้าวเดินมาหยิบของก็ได้ยินประโยคหลังพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน คิดไม่ถึงเลยว่าฝีปากของน้องสะใภ้หกคนนี้จะคล่องแคล่วขนาดนี้ ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ตอนกลับมาจึงเล่าให้คุณแม่จ้าวฟัง คุณแม่จ้าวส่งเสียงหึออกมาหนึ่งเสียง “ปากภรรยาของเจ้าสี่หายนะจะตายไป คนอื่นที่ไม่ได้มีประสบการณ์กับหล่อนคงคิดว่าหล่อนเป็นคนนิสัยไม่เลว สมน้ำหน้า!”
พี่สาวใหญ่จ้าวหัวเราะพลางกล่าว “เรื่องนี้คงทำให้หล่อนจำไปอีกนาน คงไม่พูดจาเหลวไหลแล้วล่ะค่ะ”
“สมองนั่นของหล่อนรู้จักหลาบจำด้วยเหรอ นี่ก็หลายปีแล้วไม่รู้ว่าแม่ตีวัวกระทบคราดยัยนั่นไปตั้งเท่าไร แต่ก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ไม่ใช่เหรอ? แต่ฉูฉู่นี่แม่ดูไม่ออกเลยนะว่าจะยั่วโมโหคนเป็นด้วย” คุณแม่เย่กล่าว “ตอนนั้นที่เพิ่งแต่งเข้ามาได้ก็ทะเลาะกับเหวินเทาเกือบทุกวี่ทุกวัน ตอนหลังก็ไม่ทะเลาะกันแล้ว ดีสุด ๆ เลย นิสัยก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนด้วย แม่คิดว่าคนหนุ่มสาวนิสัยยังไม่แน่นอน ตอนนี้มาดู ๆ แล้ว ไม่แน่นอนอะไรกัน นั่นคือหญิงร้ายกาจเลยล่ะ!”
“หญิงร้ายกาจ?” พี่สาวใหญ่จ้าวมองแม่ของหล่อนด้วยความประหลาดใจ
คุณแม่จ้าวหัวเราะ “นี่เป็นฉายาของแม่ฉูฉู่ตอนสาว ๆ แม่เองก็เคยได้ยินคนพูดเหมือนกัน”
พี่สาวใหญ่จ้าวก็หัวเราะออกมา
การสร้างคานบ้านก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรตอนนี้ภายในหมู่บ้านก็ไม่ได้สนใจกับการตกแต่งเท่าไรนัก ติดตั้งหน้าต่างและประตู ติดตั้งเตียงเตา วางหม้อเสร็จก็เข้าไปอยู่ได้เลย
พี่รองจ้าวและพี่สามจ้าวดำเนินการขั้นตอนนี้ได้อย่างรวดเร็วปานลมกรด วันที่หนึ่งมิถุนายนก็ย้ายเข้าไปอยู่ได้แล้ว
สิ่งนี้ทำให้พวกเขามีความสุขยิ่งกว่าจ้าวเหวินเทา เพราะตอนนี้จ้าวเหวินเทายังคงเก็บงานให้เรียบร้อยอยู่
“ภรรยาคุณไม่ต้องรีบร้อนนะ พวกเราทำให้ดีสักหน่อยแล้วค่อยย้ายเข้าไป” จ้าวเหวินเทาปลอบใจภรรยา
เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่รีบ คุณทำไปเถอะ ถึงยังไงแค่เสร็จก่อนฉันคลอดก็พอแล้วค่ะ”
จ้าวเหวินเทายื่นหน้าเข้าไปจูบภรรยาและกล่าวว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ภรรยาไม่ต้องเป็นห่วงนะ!”
“เหนื่อยไหม?” เย่ฉูฉู่มองเขา ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเธอก็พูดกับเขาด้วยความเป็นกังวล
ช่วงนี้จ้าวเหวินเทาใช้ชีวิตไม่ง่ายเลยจริง ๆ เขาต้องตื่นเช้ากลับดึก ไม่มีเวลาได้หยุดพักเลย ตอนนี้ท้องของเธอก็ใหญ่ขึ้นทุกวันแล้ว จึงพึ่งพาไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าอะไรเขาก็ต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด
“ไม่เหนื่อยเลย ภรรยา ถ้าผมเหนื่อยผมต้องพักแน่นอน” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้งานค้าขายที่เขาทำค่อนข้างจะซับซ้อนนิดหน่อย
ฤดูร้อนมาถึงแล้ว โดยพื้นฐานแล้วคนในชนบทต่างก็พึ่งพาตัวเอง ของที่สามารถค้าขายได้จึงมีค่อนข้างน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนมีสมองว่องไว คงทำการค้าขายไม่ได้ …………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ไม่อยากนึกถึงตอนใช้หนี้ของพี่รองกับพี่สามเลย พี่สามยังพอถูไถไปได้ แต่พี่รองนี่เมื่อไหร่จะใช้หมด
ร้ายกาจ เป็นไงล่ะไปแซะฉูฉู่ โดนแม่เสือสาวตะปบกลับมาเลือดซิบเลยไหมพี่สะใภ้สี่
ไหหม่า(海馬)