เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 198 ซึ้งใจและประทับใจ
พี่เขยหลิวสุ่มหยิบต้นข้าวโพดขึ้นมา มันมีขนาดใหญ่และหนามากทุกอัน เมื่อลองชั่งดูก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่หนักอึ้งขณะสังเกตดูฝักข้าวโพดอื่น ๆ อย่างละเอียด จากนั้นจึงพยักหน้า “ไม่ต้องพูดถึงเลย นี่อาจจะถึงหนึ่งหมื่นชั่งจริง ๆ แล้วล่ะ”
“ถึงปุ๋ยจะแพง แต่มันใช้ดีมากจริง ๆ ถึงอย่างนั้นผมก็ได้ยินมาว่าปุ๋ยนี้ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้ดินแข็งตัว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” จ้าวเหวินเทากล่าว
พี่เขยหลิวคนนี้ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ ในยุคสมัยนี้ปุ๋ยเป็นของที่หาได้ยาก ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจ จึงเกิดความสงสัยและเป็นกังวลว่าจ่ายเงินไปแล้วจะใช้ไม่ได้ผล แต่ไม่ได้กังวลเรื่องผลข้างเคียง
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องข้าวโพดครู่หนึ่ง จากนั้นจ้าวเหวินเทาก็พาพี่เขยหลิวไปดูกระต่าย
จ้าวเหวินเทาเลี้ยงกระต่ายโดยทุ่มเทแรงกายและแรงใจอย่างเต็มที่ เก็บกวาดทุกเช้าเย็น ให้น้ำสะอาด หญ้าสะอาด พร้อมกับอาหารเสริมด้วย สิ่งเหล่านี้จึงทำให้กระต่ายโตพร้อมกับร่างกายที่อวบอ้วน
“พี่เขย นี่เป็นอุตสาหกรรมหลักของผมล่ะ” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยท่าทางเงียบสงบมาก
พี่เขยมองกรงกระต่ายที่วางเรียงเป็นแถวแล้วก็แอบรู้สึกตกตะลึงอยู่เหมือนกัน ตอนที่ป้ารองกลับไปนางก็เล่าให้เขาฟังว่าจ้าวเหวินเทาเลี้ยงกระต่าย ตอนแรกเขาคิดว่ามีไม่กี่สิบตัว คิดไม่ถึงเลยว่าจะเลี้ยงเยอะขนาดนี้!
“นายเลี้ยงไว้เยอะขนาดนี้ไม่กลัวว่ามันจะเป็นโรคเหรอ?” จ้าวเหวินเทาถาม
ในชนบทไม่กล้าทำการเพาะพันธุ์ สาเหตุที่ใหญ่ที่สุดก็เพราะกลัวว่าจะเป็นโรค ของพวกนี้ถ้าตายหนึ่งตัวแล้วก็จะตายเป็นกลุ่มใหญ่ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย
จ้าวเหวินเทากล่าว “ทำไมจะไม่กลัวล่ะ ผมถึงต้องทำความสะอาดทุกวันวันละสองครั้ง น้ำก็ต้องเอาไปต้มให้เดือด หญ้าก็ต้องตากให้แห้ง แถมผมยังไม่ได้เลี้ยงนานเกินไป พอโตได้ที่ก็เอาออกไปขาย จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่ป่วยเลยนะ เลี้ยงสัตว์พวกนี้หนักใจที่สุดเลย”
พี่เขยหลิวพยักหน้า “นายพูดถูก มีสัตว์อะไรบ้างที่เลี้ยงแล้วไม่หนักใจ”
“พี่เขย ป้ารองบอกผมว่าพี่อยากซื้อแม่หมูเอาไว้คลอดลูกหมู ผมไม่ปิดบังพี่นะ เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีเงินให้พี่ยืมหรอก พี่อย่ามองว่าบ้านของผมตอนนี้สว่างขนาดนี้เลย จริง ๆ แล้วผมเองก็อดอยากปากแห้ง หนี้ก่อนโตนั่นก็ยังโปะไม่หมด แต่พวกเราเป็นคนกันเองทั้งนั้น พี่อยากทำงานผมจะไม่สนับสนุนพี่ได้ไง? แต่ผมมีแค่กระต่ายเท่านั้นแหละ ถ้าพี่ยินดีก็เอากระต่ายกลับไปเลี้ยงก่อน ถ้าพี่คิดว่าอยากจะเลี้ยงต่อ ถึงเวลานั้นพี่ก็มาเอาไปเลี้ยงเพิ่มก็ได้ แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็ขายแล้วเอาเงินไปทำอย่างอื่น พี่เขยคิดว่าไง?” จ้าวเหวินเทาพูดไปตรง ๆ
พี่เขยเองก็เดาถูก ดูจากบ้านทั้งสองฝั่ง และดูบ้านหลังนี้ มาคิด ๆ ดูแล้วจ้าวเหวินเทาก็เพิ่งจะวิ่งค้าขายได้ไม่นาน แต่ก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร
แม่ยายของเขากลับไปก็พูดเรื่องนี้ให้เขาฟังแล้ว
คนในชนบทกว่าจะได้เงินมามันง่ายขนาดนั้นที่ไหน!
“เหวินเทา ตอนที่แม่กลับมาก็บอกฉันว่ามาคุยกับนายเรื่องยืมเงินแล้ว อันที่จริงฉันไม่ได้บอกให้แม่มายืมเงินหรอก ฉันจะใช้เงินเอง จะให้คนแก่มาเอ่ยปากพูดเองได้ไง? แต่แม่ได้ยินเรื่องที่ฉันกับพี่สาวของนายจะไปยืมเงินมาซื้อแม่หมู ถึงได้กลับมาขอยืมเงินนายนี่แหละ แม่คงเป็นกังวลเรื่องการใช้ชีวิตของพวกเรา” พี่เขยหลิวพูดอย่างจริงใจ
คำพูดนี้พูดได้ดีมาก จ้าวเหวินเทาพยักหน้าเงียบ ๆ ความประทับใจที่เขามีต่อพี่เขยหลิวนับว่าไม่เลวเลย
“พี่เขย แล้วพี่จะเอายังไงล่ะ?” จ้าวเหวินเทาถาม
พี่เขยหลิวมองกระต่ายพลางกล่าว “ก่อนหน้านี้ฉันเคยเลี้ยงหมูในทีม ดูแลแม่หมูอยู่สองสามคอก ก็เลยรู้ว่าต้องทำยังไง แต่ฉันไม่เคยเลี้ยงกระต่าย ก็เลยไม่มั่นใจ”
พี่เขยหลิวตัดสินใจว่าจะเลี้ยงแม่หมูก็เป็นเพราะเคยเลี้ยงมาก่อน และมีประสบการณ์แล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องเลือกทำในสิ่งที่ถนัด
“แต่ฉันลองดูได้ ฉันขอเอากลับไปสักสามสี่ตัวก่อน ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ฉันค่อยมาหานายอีกที?” ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
ตอนนี้เขาออกมาจากคุกแล้ว แต่เขารู้ดีว่าในหมู่บ้านยังมีคนเห็นคุณค่าของเขามีแค่ไม่กี่คน เขาจึงอยากจะทำอะไรสักอย่างจริง ๆ
จ้าวเหวินเทากล่าว “ตกลง! พี่เขย ผมกล้าพูดได้เลยว่าเลี้ยงกระต่ายดีกว่าเลี้ยงหมู มันโตเร็วมาก พี่ลองเลี้ยงดูก็รู้แล้ว ส่วนช่องทางการขายพี่ไม่ต้องเป็นกังวล ถึงเวลานั้นถ้าพี่มีช่องทางของตัวเอง ก็เอาไปขายได้ แต่ถ้าไม่มี ผมจะรับซื้อไว้ แค่พี่เลี้ยงมันให้ดีก็พอ”
ทั้งสองคนคุยกันครู่หนึ่ง เย่ฉูฉู่ก็ทำกับข้าวเสร็จพอดี
เย่ฉูฉู่ไปเรียกคุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวมาที่นี่ด้วย ทุกคนจึงร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกัน
ตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงที่หนาวจัด ผักใบเขียวแต่ละประเภทยังสามารถรับประทานได้ เย่ฉูฉู่จึงผัดกับข้าวไว้แปดอย่าง
มีเนื้อหมูผัดพริก หมูผัดผักกาดขาว ไข่ผัดวุ้นเส้น มะเขือชุบแป้งทอด ยำมันฝรั่งเส้น หัวไชเท้าเปรี้ยวหวาน ยำแตงกวา มะเขือเทศคลุกน้ำตาล แล้วก็ซุปไข่อีกหนึ่งถ้วย
มีทั้งเนื้อสัตว์และผัก ใช้ชุดจานสีขาว ชุดเหล้าเครื่องลายครามสีน้ำเงินตัดขาว โต๊ะสีไม้ดั้งเดิม เป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าพอใจจริง ๆ
คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวได้เห็นก็รู้สึกว่าภรรยาของเจ้าหกช่างให้เกียรติจริง ๆ
พี่เขยหลิวเห็นกับข้าวเหล่านี้ ก็รู้สึกซึ้งใจและประทับใจ
เขาคือคนที่เคยติดคุก ภรรยารอเขามานานถึงสิบปี ครอบครัวของภรรยากลับปฏิบัติต่อเขาอย่างดี ไม่ได้ดูถูกเขาเหมือนกับคนในหมู่บ้านตัวเอง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจ
เขาแอบตัดสินใจเงียบ ๆ จะต้องใช้ชีวิตให้ดีให้ได้!
จ้าวเหวินเทากลับทราบนิสัยของภรรยาเขาเป็นอย่างดี เขาทราบดีว่าที่ภรรยาทำแบบนี้เพราะแสดงให้เห็นถึงความสุภาพ ไม่ว่าก่อนหน้านี้พี่เขยจะทำอะไรมา แต่ก็เป็นครั้งแรกที่มาเยือนถึงบ้าน จะทำแบบขอไปทีไม่ได้ การให้เกียรติคนอื่นก็คือการให้เกียรติตัวเอง
ภรรยาของเขาเป็นคนใจกว้างแบบนี้แหละ!
ตอนที่รับประทานอาหาร พี่สะใภ้สี่จ้าวก็มาหาคุณแม่จ้าว
ที่สำคัญคือมาที่นี่เพื่อถามคุณแม่จ้าวว่าตอนบ่ายมีเวลาช่วยดูอู่หยาให้หรือไม่? หล่อนจะลงแปลงไปเก็บมันฝรั่ง หากให้ซานหยากับซื่อหยาดูให้แล้วหล่อนไม่สบายใจ
แต่เมื่อเห็นอาหารที่อยู่บนโต๊ะนี้ หล่อนก็ถึงกับตกตะลึง
หล่อนอาศัยอยู่กับคุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวย่อมทราบดีว่าพี่เขยหลิวมาหา และทราบด้วยว่าพี่เขยหลิวเพิ่งจะออกมาจากคุก หล่อนรังเกียจคนแบบนี้อย่างสุดซึ้ง คนที่นั่งอยู่ในคุกยังจะไปมาหาสู่ได้อีกเหรอ คนที่ทำความผิดยังมีเรื่องดี ๆ เหรอ? อัปมงคลจะตาย
ดังนั้นหล่อนจึงทักทายพี่เขยหลิวแบบขอไปที
แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามาถึงที่นี่จะได้เห็นเย่ฉูฉู่ทำอาหารเต็มโต๊ะขนาดนี้ หล่อนจึงคิดในใจว่าน้องสะใภ้คนนี้ยังไม่รู้ประวัติความเป็นมาของพี่เขยหลิวคนนี้เหรอ?
ไม่เช่นนั้นจะต้อนรับแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
หล่อนคิดว่าต้องเตือนน้องสะใภ้คนนี้สักหน่อย อย่าได้ทำตัวโง่ ๆ เชียว
“พี่สะใภ้สี่ กินข้าวหรือยังคะ ถ้ายังไม่กินก็กินด้วยกันเถอะ” เย่ฉูฉู่เห็นหล่อนมา จึงเอ่ยปากชวน
“ฉันกินแล้ว เพิ่งกินเสร็จ น้องสะใภ้หกมานี่หน่อยสิ ฉันมีเรื่องลูกอยากจะคุยกับเธอหน่อย” พี่สะใภ้สี่จ้าวดึงเย่ฉูฉู่มายืนที่ประตู จากนั้นจึงพูดว่า “น้องสะใภ้หก เธอรู้รึเปล่าว่าเขาเคยเข้าไปอยู่ในคุกมาก่อน?”
เย่ฉูฉู่ชะงัก เธอเข้าใจความหมายของพี่สะใภ้สี่จ้าว ท่าทางรังเกียจของพี่สะใภ้สี่จ้าวนั้นเห็นได้ชัดเกินไปแล้วจริง ๆ
“รู้สิคะ ตอนที่ป้ารองมาคราวก่อนก็เล่าให้ฟังแล้ว ก่อนหน้านี้แม่ก็เคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน” เย่ฉูฉู่พยักหน้า
“แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าเขาเข้าไปในคุกข้อหาอะไร?” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว “ฉันจะบอกให้ก็ได้ เขาติดการพนันแถมยังทุบตีคนอื่นด้วย ทำให้คู่กรณีถึงกับพิการเลยนะ ถึงได้ถูกตัดสินให้ติดคุกตั้งสิบปีแน่ะ!”
“ฉันรู้ค่ะ” เย่ฉูฉู่ไม่ทราบเรื่องในตอนนี้ จึงไม่สามารถที่จะแสดงความเห็น เธอเพียงแค่พูดว่า “คนเราต่างก็มีช่วงเวลาที่ทำผิดพลาดกันได้ นี่ก็ออกมาแล้ว เราควรให้โอกาสเขาได้เปลี่ยนตัวเองใหม่นะคะ อีกอย่างนี่ก็เป็นญาติด้วย”
“คำพูดนี้ไม่ผิดหรอก ถึงยังไงก็เป็นญาติ แต่ญาติแบบนี้มาหาจะไปมีประโยชน์อะไร? น้องสะใภ้หก เขามาที่นี่เพื่อยืมเงินใช่ไหม?” พี่สะใภ้สี่จ้าวทำท่าทางราวกับรู้ทุกเรื่อง
……………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
คนที่เคยทำผิดแต่คิดจะกลับตัวแล้วจริง ๆ มันก็น่าให้โอกาสสักครั้งถูกไหมคะ
อย่าถึงตาเธอบ้างนะสะใภ้สี่ เธอพลาดเรื่องลูกชายลูกสาวไปไม่ใช่หรือไง
ไหหม่า(海馬)