เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 2 อ่อนปวกเปียก
ตอนที่ 2 อ่อนปวกเปียก
จะว่าไปแล้วที่เย่ฉูฉู่สลบไปในครั้งนี้ สาเหตุก็เป็นเพราะโสมป่าที่จ้าวเหวินเทาพูดถึงนี่แหละ
นี่คือสิ่งที่จ้าวเหวินเทาพบบนภูเขาโดยบังเอิญ เขาจึงขุดออกมา ครั้นนำกลับมาที่บ้านให้เจ้าของร่างเดิมดู เจ้าของร่างเดิมเห็นก็ดีใจจนปลื้มปริ่ม
ทั้งสองคนพลันแอบคำนวณราคากันอย่างเงียบ ๆ
เดิมทีวันนี้ต้องออกไปทำงาน แต่เจ้าของร่างเดิมแสร้งทำเป็นไม่สบายท้อง บางทีอาจจะตั้งครรภ์แล้ว จึงอยากเข้าไปตรวจในตัวเมืองสักหน่อย!
ตอนนี้เป็นช่วงเดือนสิงหาคมแล้ว อีกไม่นานก็จะเริ่มเข้าสู่การเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หัวหน้าหมู่บ้านก็รังเกียจที่สองสามีภรรยาคู่นี้ขี้เกียจตัวเป็นขน จึงออกใบรับรองให้พร้อมกำชับให้รีบไปรีบกลับ อย่าให้การเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงเกิดความล่าช้า!
แต่เป็นเพราะไม่มีเกวียนลาเกวียนวัวไปด้วย หากต้องออกแรงเดินด้วยเท้าเปล่าคงไม่ได้เร็วขนาดนั้น สองสามีภรรยาจึงเดินทางกันตั้งแต่รุ่งสาง เดินเท้ามาถึงในเมืองก็เป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว
แต่ไม่ว่าระยะทางจะไกลเพียงใด ทว่าพวกเขาทั้งสองต่างก็ยังรู้สึกตื่นเต้นจนใจสั่นอยู่ดี
จ้าวเหวินเทานำโสมป่าไปขายที่ตลาดมืด หลังจากต่อรองราคากันไปได้สักพัก ท้ายที่สุดจึงขายออกไปได้ในราคา 31 หยวน ไม่ได้มีแค่เท่านี้ เขายังขอคูปองข้าว คูปองเนื้อและคูปองอื่น ๆ ด้วย หลังจากได้เงินแล้วสองสามีภรรยาจึงเข้าไปด้านในร้านอาหาร เพื่อรับประทานเกี๊ยวหมูกุยช่ายไปหนึ่งมื้อ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรสชาติเลย เมื่อใดที่นึกถึงก็มีอันต้องน้ำลายสอทุกที
นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีแค่เกี๊ยวหมูกุยช่ายเท่านั้น พวกเขายังซื้อแผ่นไข่ทอดอีกสองสามแผ่นมากินระหว่างเดินทางกลับบ้านด้วย
สองสามีภรรยาวางแผนไว้อย่างดิบดี ระหว่างกลับบ้านก็กินแผ่นไข่ทอดไปพลาง ๆ โดยไม่คิดจะเจียดเงินนี้ไปให้กับรถสาธารณะ เพราะอยากใช้เวลาอยู่ในเมืองที่นาน ๆ ทีถึงจะได้มาสักหน่อย
แต่ระหว่างทางกลับบ้าน ดันถูกปล้นกลางทางเสียอย่างนั้น
ด้านหน้าพวกเขา เพิ่งจะมีสหายหญิงคนหนึ่งถูกปล้นกลางทาง เขาจึงเห็นว่าโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาคงหนีไม่พ้น เขาวิ่งหนีทันก็จริง แต่ภรรยาของเขาวิ่งหนีอีกฝ่ายไม่ทันแน่นอน
จ้าวเหวินเทาจะทำอะไรได้อีก? ก็ต้องต่อสู้น่ะสิ!
เรื่องต่อสู้ในวัยเด็กไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่เขาก็สู้กับคนอื่นในหมู่บ้านไปไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงในหมู่บ้านหรอก แม้แต่หมู่บ้านข้าง ๆ ของหมู่บ้านข้าง ๆ เขาก็เคยสู้แบบโดนรุมหมู่มาแล้ว
ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายมี 3-4 คน แต่จ้าวเหวินเทาก็เลือกที่จะทำมันอยู่ดี!
กระบวนการนี้ขอไม่พูดเยิ่นเย้อก็แล้วกัน แต่ตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะหวดไม้เข้าใส่เจ้าของร่างเดิม จ้าวเหวินเทาก็ใช้หลังของตัวเองรับไม้นี้ไว้
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เจ้าของร่างเดิมก็ยังตกใจจนสลบเหมือดอยู่ดี
ในเวลานี้เอง ผู้ชายและสหายของหญิงสาวผู้ร่วมชะตากรรมถูกปล้นกลางทางก็ขี่รถจักรยานกำลังจะกลับบ้านผ่านมาทางนี้พอดี หลังจากตะโกนไล่เสียงเกรี้ยวกราด โจรกลุ่มนั้นก็วิ่งเตลิดไป
สามีของหญิงสาวร่วมชะตากรรมคนนั้นมาส่งพวกเขาที่บ้าน ทั้งยังพูดว่าพรุ่งนี้จะเข้ามาขอบคุณถึงหน้าประตูอย่างจริงจังอีกครั้ง
นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
เย่ฉูฉู่เองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ พลันพูดว่า “ฉันขอดูหลังของคุณหน่อยค่ะ”
จ้าวเหวินเทาพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ “ผมไม่เป็นไร ตอนเด็ก ๆ ก็ถูกพ่อใช้ไม้ฟาดไปไม่น้อย ใช่ว่าจะไม่เคยถูกตีสักหน่อย”
พอพูดอย่างนี้ออกไป เขาก็พบว่าภรรยาของตัวเองมีขอบตาแดงก่ำ ทั้งยังมีน้ำตาไหลออกมาด้วย
จ้าวเหวินเทาตกใจจนสะดุ้งโหยง ภรรยาที่ดูเหมือนแมวเหมียวคนนี้ยังเป็นแม่เสือแก่ของเขาอยู่หรือเปล่าเนี่ย?
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเย่ฉูฉู่เจ็บปวดหัวใจเพราะได้ยินคำพูดนั้นของเขา
เย่ฉูฉู่ได้รับความทรงจำมาแล้ว ย่อมรู้ดีว่าครอบครัวของพวกเขามีสถานะยากจน และมีเงินไม่มากเท่าไรนัก กินอิ่มสักเจ็ดส่วนก็นับว่าดีมากแล้ว
สามีของนางรับประทานแต่โจ๊กปี้จิง*เท่านั้น อาหารชั้นเลิศจากทะเลหรือภูเขาก็ไม่ทำให้เขารับประทานมากขึ้นอีกหนึ่งคำได้ ชาตินี้เขากลับได้จุติมาอยู่ในครอบครัวที่แร้นแค้นเช่นนี้
* ปี้จิง (碧粳) คือข้าวคุณภาพสูง
“คุณอย่าร้องไห้สิ ผมทำให้คุณกลัวสินะ ได้ ๆๆ ผมให้คุณดูแล้วตกลงไหม” ระหว่างที่จ้าวเหวินเทาพูด เขาก็ถอดเสื้อออกและหันหลังให้
การกระทำอย่างฉับพลันของเขาทำให้เย่ฉูฉู่ตกตะลึง เดิมทีนางคิดจะหลับตาด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะความเขินอาย แต่นางกลับเห็นรอยแผลถูกฟาดที่แผ่นหลังของเขาเสียก่อน
จากนั้นจ้าวเหวินเทาก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง
“เรามีอะไรก็คุยกันดี ๆ สิครับ อย่าเอาแต่ร้องไห้แบบนี้เลย” จ้าวเหวินเทากล่าวอย่างจนใจ
“ที่คุณถูกทุบตีก็เป็นเพราะปกป้องฉัน” เย่ฉูฉู่พูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
นางไม่สนใจว่าตนเองจะเป็นวิญญาณโดดเดี่ยวที่เข้ามาครอบครองร่างนี้หรือไม่ นางคิดแต่ว่าตนเองคือเย่ฉูฉู่ในชาตินี้แล้ว ใครใช้ให้แม้แต่ชื่อก็ยังเหมือนกันล่ะ?
องค์ชายก็เช่นกัน นางจึงคิดว่านี่คือภพก่อนและภพปัจจุบันของนางและเขา
เพียงแต่ความทรงจำในอดีตชาติของนางถูกปลุกให้ตื่นเพราะไม้ที่ยังไม่หวดลงมาบนร่างกายของนาง ส่วนองค์ชายนั้นยังคงจำอะไรไม่ได้
จ้าวเหวินเทาได้ยินก็หัวเราะออกมาและพูดว่า “คุณเป็นผู้หญิงนะ ผมจะยืนดูคุณถูกคนอื่นทุบตีต่อหน้าต่อตาได้ยังไงกัน? ผมน่ะหนังเหนียวอยู่แล้ว จะทุบก็ทุบไปเถอะ”
อันที่จริงวันนี้เขาก็โดนทุบตีไปไม่น้อย ทว่าสองหมัดยากต้านทานสี่ฝ่ามือ คนหนึ่งคนจะสู้กับคนสี่คนได้อย่างไร? แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อมีเงินอยู่กับตัวแล้ว เขาก็ต้องสู้กลับสิ
ไม่เช่นนั้นหากเขาถูกขโมยเงินไป มันก็ไม่ต่างจากการหั่นเนื้อเขาเลย
เย่ฉูฉู่ซาบซึ้งใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในใจมีคำพูดนับพัน ทว่ากลั่นออกมาเป็นหนึ่งประโยคในท้ายที่สุด “หลังจากนี้ฉันจะใช้ชีวิตอยู่กับคุณอย่างมีความสุขดีไหมคะ?”
“ผมไม่กล้าหวังที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหรอก คุณอย่าเอาแต่สั่งให้ผมไปทำงานก็พอ” จ้าวเหวินเทาพูด
“ในเมื่อต้องทำงานยากลำบากขนาดนั้น หลังจากนี้ฉันออกไปทำก็ได้ค่ะ แล้วให้คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้าน!” เย่ฉูฉู่พูดขณะก้าวลงจากเตียงเตา
จ้าวเหวินเทาจ้องมองเธอมากขึ้น
“ที่บ้านยังมียาดองอยู่ไหมคะ?” เย่ฉูฉู่มองซ้ายมองขวาขณะเอ่ยถาม
“คุณพ่อยังมีอยู่ แต่ใครเขาใช้ยาดองเช็ดกันล่ะครับ” จ้าวเหวินเทาพูด
ในเวลานี้เอง คุณแม่จ้าวก็เดินเข้ามาจากด้านนอก ทั้งยังมาพร้อมกับยาดองที่หยิบมาจากลานหน้าบ้าน
“ขอบคุณมากค่ะ…คุณแม่” ครั้นเย่ฉูฉู่เห็นยาดองแบบนี้ นางจึงพูดอย่างมีความสุข
“เช็ดให้เหวินเทาดี ๆ นะ แม่จะไปเตรียมอาหารค่ำก่อน ทุกคนกำลังจะเลิกงานกลับมากันแล้ว” คุณแม่จ้าวเห็นลูกสะใภ้มีอาการดีขึ้นแล้ว จึงพูดด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีเย่ฉูฉู่อยากจะพูดว่าช่วยทำอาหารบำรุงให้สามีนางสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงสถานะทางบ้านในตอนนี้ นางจึงทำได้เพียงแค่ตอบไปว่า “ค่ะ”
คุณแม่จ้าวออกไปแล้ว เย่ฉู่ฉู่จึงเริ่มใช้ยาดองเช็ดแผลให้จ้าวเหวินเทา
เมื่อมือของนางเช็ดลงบนผิวหนังบนแผ่นหลังของสามี ใบหน้าพลันแดงระเรื่อขึ้น ทว่านัยน์ตากลับฉายแววเจ็บปวดรวดร้าว
จ้าวเหวินเทามองไม่เห็นขณะที่นางเช็ดแผ่นหลังให้ แต่เมื่อเช็ดมาที่แขนของเขา เขาจึงมองเห็นท่าทางเจ็บปวดใจของภรรยาตนเอง
จ้าวเหวินเทาแอบแค่นเสียงในใจ ก็แค่เข้าไปรับไม้แทนเธอครั้งเดียว ผู้ชายทุกคนก็ต้องทำแบบนั้นกันทั้งนั้น แต่เขาคิดไม่ถึงว่ามันจะทำให้สิงโตเหอตง*ซาบซึ้งใจจนกลายเป็นคนอ่อนโยน
*คำที่ใช้เรียกแทนภรรยาผู้ดุร้าย
ที่สำคัญก็คือ ความรู้สึกนี้ก็ไม่เลวเลย
หลังจากที่เย่ฉูฉู่เช็ดยาดองให้เขาเรียบร้อยแล้ว จ้าวเหวินเทาจึงกระโดดลงจากเตียงอย่างว่องไว จากนั้นหยิบเงินที่ได้จากการขายโสมป่าในวันนี้ออกมาจากด้านในตู้
ไม่เพียงแต่เงินเท่านั้น แต่ยังมีคูปองด้วย แม้ว่าจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็นับว่าไม่น้อยเลย
“ภรรยา หากหักค่าใช้จ่ายที่พวกเราใช้ไปตอนที่อยู่ในเมืองวันนี้ เราก็มีเงินเหลืออยู่สามสิบหยวนยี่สิบสามเหมา ส่วนอันนี้คือคูปองเนื้อ คูปองข้าว แล้วก็คูปองน้ำตาลทรายแดง ทั้งหมดคือของล้ำค่า ผมให้คุณเก็บไว้ทั้งหมดเลยครับ” จ้าวเหวินเทาลงมือนับอีกครั้งพลางกระซิบบอก
“แล้วไม่ให้แม่ของพวกเราเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่พูดด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
รอให้ฉูฉู่ปรับตัวกับชีวิตในภพนี้ก่อนนะคะ นางเพิ่งมาเข้าร่าง ยังไม่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าของร่างดี
ไหหม่า(海馬)