เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 203 เทียบกันจนเหนื่อยใจ
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 203 เทียบกันจนเหนื่อยใจ
พี่สามจ้าวพูด “อันนั้นเมียฉันเป็นคนถักไว้ แต่เธอรู้ได้ยังไงว่าเจ้าหกเป็นคนคิดอยากจะเหมาภาพยนตร์นั่น?”
เจ้าสามจ้าวไม่ได้ชอบภรรยาของเหล่าหวังสาม คนโดยทั่วไปก็ไม่มีใครชอบพวกปากมากอยู่แล้ว
แต่คนจำนวนมากต่างก็หนีไม่พ้นคนปากมาก เรื่องนินทาเอย ข่าวเอย โดยพื้นฐานแล้วจะไม่ให้มีคนปากมากก็ไม่ได้
“ฉันเพิ่งกลับมาจากทีมใหญ่ ก็เลยได้ยินจ้าวเสี่ยวลิ่วคุยกับเลขา แถมยังมีจ้าวเหวินอู่จากตระกูลของนายที่มาจากหมู่บ้านตะวันออกด้วยนะ พวกเขาสองคนมาด้วยกัน พอสองคนนี้ไปหาเลขาก็ประกาศเรื่องที่จะเหมาหนังเหมางิ้วเลย นี่ก็เป็นความผิดของพวกเขาไม่ใช่เหรอ?” ภรรยาของเหล่าหวังสามกล่าว
“ไม่แน่เลขาอาจจะอยากดูเองก็ได้!” พี่สามจ้าวแค่นเสียงออกจากลำคอ
“เลขาเป็นคนยังไง คนในหมู่บ้านยังไม่รู้จักเขาดีอีกเหรอ?” ภรรยาเหล่าหวังสามหัวเราะ จากนั้นก็เริ่มหาเรื่องอีกครั้ง “เจ้าสามจ้าว ถ้าจะเหมาหนังมาดู นายจะออกเงินเท่าไรล่ะ?”
ครั้นเจ้าสามจ้าวได้ยินว่าต้องจ่ายเงินก็นึกปวดใจขึ้นมาจริง ๆ
แค่ติดตั้งไฟฟ้าก็จ่ายเงินก้อนโตแล้ว เต้าหู้เพิ่งจะขายออกไป ยังไม่ได้เงินกลับมาเลย นี่ยังต้องเอาเงินจ่ายออกไปอีก ยังอยากให้เขามีชีวิตต่อไปหรือเปล่า?!
“ไม่มีเงิน แม้แต่เฟินเดียวก็ไม่จ่าย!” เจ้าสามจ้าวแค่นเสียงเย็นเสร็จก็เดินเข้าบ้านไป “เมียของฉันไม่อยู่บ้าน เธอก็ไม่ต้องเข้ามานะ กลับบ้านไปเถอะ”
เจ้าสามจ้าวไม่ได้เกรงใจภรรยาของเหล่าหวังสามเลย
ภรรยาของเหล่าหวังสามเบ้ปาก “น่าไม่อาย!” ระหว่างที่พูดก็เดินกอดอกออกไป
พี่รองจ้าวและพี่สะใภ้รองจ้าวขนฟืนกลับมาหนึ่งคันรถ และได้ยินคนในหมู่บ้านพูดว่าจะเหมาภาพยนตร์และงิ้ว ทั้งยังทราบว่าเป็นเรื่องที่จ้าวเหวินเทาเสนอ
หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ใช้เวลาไม่กี่นาทีคนจากทั้งหมู่บ้านก็ทราบแล้ว โดยเฉพาะเรื่องไหนที่เกี่ยวกับจ้าวเหวินเทาก็จะยิ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
พี่รองจ้าวได้ยินว่าทางหมู่บ้านจะเหมาภาพยนตร์และงิ้ว ความรู้สึกแรกคือเป็นเรื่องที่ดี
ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าเขาชอบฟังเพลง ภาพยนตร์ก็ชอบดู โดยเฉพาะหนังสงครามที่ใช้ปืน นี่เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่มีไม่มากของเขาเลยล่ะ
พี่สะใภ้รองจ้าวก็ชอบเช่นกัน ในปีนี้ไม่มีใครไม่ชอบดูสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งแรกที่หล่อนนึกถึงคือเรื่องเงิน
“แล้วแต่ละบ้านต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ล่ะ?” พี่สะใภ้รองจ้าวถาม
คนในหมู่บ้านไม่ได้ตอบ ตอนนี้ยังไม่ทราบ นี่ก็เห็นได้ชัดว่าต้องไปถามศูนย์วัฒนธรรมในอำเภอก่อนถึงจะสามารถสรุปได้
“อันที่จริงก็ไม่ใช่ความคิดที่จ้าวเสี่ยวลิ่วคิดหรอก” มีคนพูดแก้ “แต่เป็นจ้าวเหวินอู่ในหมู่บ้านตะวันตกต่างหากล่ะ คนที่ขุดวัตถุโบราณนั่นแหละ”
“เขาเป็นคนเสนอแล้วมาที่หมู่บ้านเราทำไม หมู่บ้านตะวันตกของเขาอยากเหมาหนังกี่รอบก็เหมาไปสิ!” มีคนอดไม่ได้ที่จะพูด
“นั่นน่ะสิ ผลผลิตก็ยังไม่ได้ขายเลย ในมือไม่มีเงินแม้แต่เฟินเดียว จะเอาที่ไหนไปเหมาหนังกับงิ้ว!” คนที่ทำใจไม่ได้กับการต้องจ่ายเงินกล่าว
“พูดอย่างกับว่าเธอขายผลผลิตออกไปแล้วจะมีเงิน ไม่ขาดแคลนเงินอย่างนั้นแหละ?” เพื่อนบ้านหัวเราะเยาะ
“ก็ใช่ไง ยังไม่ได้ใช้หนี้ความขัดสนนี้เลย จะมีเงินเอาไปดูหนังฟังเพลงได้ยังไง เลขานี่หาเรื่องชะมัด!” คนที่เป็นหนี้กล่าว
ต้องขอบคุณจ้าวเหวินเทา ที่ทำให้หมู่บ้านตะวันตกถึงขั้นขัดสนกันไม่น้อยเลยจริง ๆ
“จ้าวเหวินอู่ขุดสุสานโบราณไม่ใช่เหรอ ก็ต้องมีเงินอยู่แล้ว บอกให้เขาออกเงินสิ แล้วก็จ้าวเสี่ยวลิ่วอีกคน เขาก็มีเงินเหมือนกัน พวกเขาสองคนพี่น้องจ่ายเงินเองสิ ถึงยังไงพวกเขาก็อยากดูอยู่แล้วนี่” มีคนอิจฉาตาร้อน
“เรียกจ้าวเสี่ยวลิ่วได้ไง จ้าวเสี่ยวลิ่วเป็นชื่อที่เลขาเรียกนะ เขาชื่อจ้าวเหวินเทา เธอยังจะไปเรียกตามเลขาอีก?” จู่ ๆ ก็มีคนพูดออกมา
ทุกคนถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง
พี่สะใภ้รองจ้าวได้ยินก็แอบรู้สึกสับสน รู้ตัวอีกทีน้องสามีก็กลายเป็นคนมีชื่อเสียงในหมู่บ้านแล้ว ชื่อเล่นก็เรียกไม่ได้แล้ว ต้องเรียกชื่อจริงของเขา
สองสามีภรรยารีบขนฟืนหนึ่งคันรถกลับมาที่บ้าน เมื่อขนลงจากรถ พี่รองจ้าวก็เห็นว่าภรรยาไม่พูดไม่จา จึงเอ่ยถาม “คุณเป็นอะไร?”
“เป็นอะไรคืออะไรคะ?” พี่สะใภ้สามจ้าวก้มหน้ามองกองฟืน
“ทำไมไม่พูดอะไรเลย?” พี่รองจ้าวถามต่อ
“จะให้พูดอะไรล่ะคะ?” น้ำเสียงของพี่สะใภ้รองจ้าวฟังดูฉุนเฉียวเล็กน้อย
“พูดอะไร คุณยังจะถามว่าพูดอะไรอีก ก็เรื่องที่ดูหนังฟังงิ้วไง ต้องจ่ายเงินเท่าไร?” พี่รองจ้าวเอ่ย
“จ่ายเท่าไรเป็นเรื่องที่พวกเราตัดสินใจได้เหรอคะ?” น้ำเสียงของพี่สะใภ้รองจ้าวฟังดูย่ำแย่ “เขาบอกให้เราจ่ายเท่าไรก็ต้องจ่ายเท่านั้นแหละ!”
ปีนี้ขายกระต่ายออกไปได้ส่วนหนึ่ง อาหารก็เก็บได้มากกว่าปีที่แล้ว แม้ว่าจะยังไม่ได้ขายออกไป แต่ก็ทราบได้ว่าปีนี้รายได้คงมากกว่าก่อนหน้านี้แน่นอน
แต่จิตใจของพี่สะใภ้รองจ้าวกลับไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย โดยเฉพาะตอนที่คิดถึงความขัดสนเหล่านั้น ทำให้หล่อนถึงกับนอนไม่หลับ
แปลกจริง ๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่พักอยู่ในห้องผุ ๆ พัง ๆ มื้อก่อนรับประทานข้าวโพดบดหยาบ มื้อต่อไปรับประทานเส้นผักดองเค็ม ตอนค่ำก็ยังนอนหลับได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ได้อยู่บ้านใหม่แล้ว มีหลอดไฟแล้ว ได้รับประทานบะหมี่บักวีตทำมือและเนื้อหมูตุ๋นอีกนิดหน่อยเป็นครั้งคราว ทำไมถึงนอนไม่หลับกันนะ?
เพราะขัดสนอย่างไรล่ะ!
พี่สะใภ้รองจ้าวสูดลมหายใจเข้าและพูดความรู้สึกที่อยู่ในใจออกมา
พี่รองจ้าวกลับไม่เห็นด้วย “คุณยังเหนื่อยน้อยนะ คุณดูผมสิ หัวถึงหมอนก็หลับแล้ว”
“เพราะคุณไม่มีหัวใจน่ะสิ!” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ขัดสนออกขนาดนั้น ถึงขายอาหารไปแล้วก็ยังจ่ายหนี้ไม่หมด นี่คิดจะเหมาหนังอีก เงินทั้งหมดที่มีก็ต้องจ่ายออกไปหมด!”
พี่รองจ้าวใช้ไม้กวาดกวาดฟืนที่อยู่บนรถคันเล็กพลางกล่าว “ก็เป็นเพราะคุณอยากสร้างบ้านนี้เอง ที่ขัดสนก็เป็นเพราะความต้องการของคุณ จะมาพูดตอนนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา”
พี่สะใภ้รองจ้าวถึงกับสะอึก ไม่ได้พูดอะไรอีก
พี่รองจ้าวพูดถูก หล่อนเป็นคนอยากสร้างบ้านเอง ทั้งยังยืนกรานว่าต้องสร้างให้ได้ นอกจกานี้ยังคิดจะสร้างบ้านแบบน้องสามีคนเล็กอีก เทียบตลอดหนึ่งปีมานี้มันช่างเหนื่อยใจจริง ๆ ที่สำคัญคือเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อย ๆ!
“น้องหกไม่กังวลว่าจะไม่มีปัญญาจ่ายคืนเลยหรือไง? หรือว่าเขาคืนหมดแล้ว?” พี่สะใภ้รองดูราวกับผีเข้าอย่างไรอย่างนั้น ถึงได้เอาแต่สนใจชีวิตของจ้าวเหวินเทา
พี่รองจ้าวชินเสียแล้ว เขากล่าวเสียงเรียบ “ใครจะไปรู้ล่ะ ไปเถอะ นี่ยังเช้าอยู่ พวกเรายังขนฟืนได้อีกสองสามรอบ”
พี่สะใภ้รองจ้าวถอนหายใจ ก่อนจะขึ้นรถ
พี่รองจ้าวก็รีบขับรถออกจากหมู่บ้าน
หลังจากขับผ่านประตูบ้านของจ้าวเหวินเทา พี่สะใภ้รองจ้าวก็เห็นเรือนทั้งสองฝั่งนั้น บ้านที่มุงหลังคากระเบื้องทั้งสูงและใหญ่ได้กระตุ้นจิตวิญญาณของหล่อนอีกครั้ง
ไม่ได้การแล้ว ทำไมหล่อนถึงทำไม่ได้ หล่อนต้องมีชีวิตที่ดีกว่าพวกเขาให้ได้
พี่สะใภ้สี่จ้าวทราบเรื่องที่จะดูภาพยนตร์แล้ว จึงบ่นกับพี่สี่จ้าว “เงินของน้องหกไม่ใช่ว่ามีเยอะเกินไปจนไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้อะไรใช่ไหม ไม่รู้จะเอาไปใช้ที่ไหนก็เอามาให้พวกเราสิ จะเอาไปดูหนังฟังงิ้วเนี่ยนะ จะทำให้ได้เห็นเนื้อเยอะขึ้นหรือไง!”
“คุณจะไม่จ่ายเงินก็ได้นะ” พี่สี่จ้าวกล่าว
“ไม่จ่ายเงินแล้วคนในหมู่บ้านจะมองพวกเรายังไง? อนาคตพวกเขาจะมองลูกชายของเรายังไงคะ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวกลับมาใช้ข้ออ้างเมื่อก่อนหน้านี้อีกครั้ง
พี่สี่จ้าวได้ยินจนเอือมระอาแล้ว จึงพูดอย่างหมดความอดทน “อยากจะมองยังไงก็มองไปสิ”
พี่สะใภ้สี่จ้าวเห็นท่าทางหมดความอดทนของสามี ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเวทนาตัวเองอีกครั้ง
ท่าทางของสามีที่มีต่อหล่อนในเวลานี้ดูแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะเห็นว่าหล่อนไม่มีลูกชายสินะ? ชีวิตของหล่อนทำไมถึงได้ขมขื่นแบบนี้ ขมขื่นกว่าหวงเหลียน [1] เสียอีก รอให้หล่อนมีลูกชายก่อนเถอะ…
คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวกลับคิดว่าปีนี้แบ่งที่ดินทำงานกันเองแล้ว การเหมาเพื่อดูภาพยนตร์ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ต้องเหมาเยอะ 1-2 วันก็ได้แล้ว นี่ก็ไม่ได้ดูมานานหลายปีแล้วด้วย
“ฉันจำได้ว่าพวกเราเคยไปดูหนังที่ฉายตรงเสี่ยวเหอตงใช่ไหม?” คุณแม่จ้าวพูดกับคุณพ่อจ้าว
“ใช่มั้ง ผมเองก็ลืมแล้วว่าตอนไหน” คุณพ่อจ้าวกล่าว “แต่จำได้ว่าตอนกลางคืนน้ำที่นั่นแรงมาก เกือบจะซัดพวกเราปลิวเลย”
ถ้าจะไปเสี่ยวเหอตงต้องข้ามแม่น้ำหนึ่งสาย ตอนนั้นเป็นฤดูร้อน ฤดูฝนเพิ่งจะผ่านพ้นไป น้ำจึงขึ้นสูงมาก สองสามีภรรยาข้ามแม่น้ำคลำทางท่ามกลางความมืด มีคนหนึ่งไม่ทันได้ระวังจึงล้มหน้าคะมำ ถ้าไม่ใช่เพราะในแม่น้ำมีต้นไม้ และจับได้ทันเวลา คงถูกน้ำพัดหายไปแล้ว
“ใช่ ตกใจแทบตายเลย!” คุณแม่จ้าวพูดเคล้ารอยยิ้ม
“แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคห้ามไม่ให้คุณไปดูนี่” คุณพ่อจ้าวพูดด้วยความขบขัน
“ฉันชอบดูหนัง น่าเสียดายที่หลายปีมานี้หมู่บ้านรอบ ๆ ไม่ได้ฉายแล้ว” คุณแม่จ้าวกล่าวด้วยความเสียดาย
ความบันเทิงทางจิตวิญญาณไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพียงแต่ในยุคนี้หาได้ยากมาก การได้ดูภาพยนตร์และฟังงิ้ว นับว่าเป็นเรื่องที่หรูหรามากแล้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] หวงเหลียน (黄连) เป็นหนึ่งในสมุนไพรแห้ง ที่มีฤทธิ์เย็นและขมที่สุด ในทางการแพทย์แผนจีนมักใช้สำหรับการรักษาไฟของตับและหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดไฟร้อนที่ ม้าม กระเพาะอาหาร และปอด มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย ทำให้มีประโยชน์ในการรักษาการติดเชื้อในลำไส้
สารจากผู้แปล
เหนื่อยใจแทนแต่ละบ้านจริง ๆ ค่ะ ถ้ายังไม่แยกบ้านก็คงบ้านแตกกันไปข้าง
สะใภ้สี่ สามีเขาเบื่อเธอไม่ใช่เพราะไม่มีลูกชายให้ แต่เบื่อเพราะเธอบ่นนู่นนี่นั่นไม่หยุดนี่แหละ คนฟังประสาทจะกินเอา
ไหหม่า(海馬)