เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 216 ความคิดล้ำยุค
ตอนที่ 216 ความคิดล้ำยุค
เย่หมิงเป่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ที่ว่ามีเหตุผลมันก็มีอยู่แหละ แต่ทำหนังมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรือเปล่าครับ?”
โจวหมิ่นยิ้ม “ยากตรงไหนกันคะ ไม่ต้องทำให้เป็นเหมือนหนังที่พวกเราดูแบบนั้นก็ได้ ทำฉากหลังแบบง่าย ๆ หาช่างถ่ายวิดีโอมาสักคน อัดลงม้วนฟิล์มก็ส่งขายออกไปข้างนอกได้แล้ว อีกอย่างนี่ก็ทำในอำเภอด้วย พวกเขามีทรัพยากรพร้อม เหวินเทาไม่ต้องจ่ายอะไรก็สามารถโฆษณากระต่ายเขาได้แบบฟรี ๆ เลย”
“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” เย่หมิงเป่ยไม่กล้าแม้แต่จะเชื่อ
“มันจะยากอะไรกันคะ หลังจากนี้จะง่ายกว่านี้อีก” โจวหมิ่นคิดคำนวณเวลา อีกประมาณสิบปีให้หลัง ก็จะกลายเป็นแผ่นซีดีแล้ว ถึงเวลานั้นยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวหมิ่นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหวินเทาเกิดมาเพื่อทำธุรกิจ คนที่เกิดอยู่ในชนบทตั้งแต่เล็ก แต่สามารถคิดถึงเรื่องการทำโฆษณาได้ นับว่าสุดยอดจริง ๆ”
เย่หมิงเป่ยก็ยิ้ม “เขาเองก็โชคดีด้วยนะ ถ้าหัวหน้าคณะละครคนนั้นไม่ฟังสิ่งที่เขาหลอกล่อไว้จะทำยังไง?”
“โชคมันก็เหมือนกับความแข็งแกร่งนั่นแหละ” โจวหมิ่นกล่าว “ถ้าเขาคิดเรื่องนี้ไม่ได้ ต่อให้โชคดีกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์”
“มันก็จริง” เย่หมิงเป่ยกล่าว
โจวหมิ่นกลอกตา “เหวินเทารู้จักโฆษณาเพื่อขายกระต่ายของเขา งั้นพวกเราก็ต้องทำอะไรสักหน่อยนะคะ”
เย่หมิงเป่ยไม่อยากรบกวนโจวหมิ่น เขารีบพูด “ตอนนี้คุณยังอยู่ไฟอยู่เลยนะ จะเจ็บป่วยไม่ได้”
“เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อีกอย่างฉันก็แค่ขยับปาก คุณนั่นแหละที่ออกไปทำ” โจวหมิ่นกล่าว
เย่หมิงเป่ยไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงแค่เออออตามภรรยา “คุณว่ามาเถอะว่าอยากทำอะไร?”
โจวหมิ่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หล่อนพูดพลางมองไปยังเย่หมิงเป่ย “หานักข่าวมาสักสองคน สัมภาษณ์คนที่เล่นเรื่องแฟชั่นสักสามสี่คน จ่ายเงินให้พวกหล่อนพูดถึงเสื้อผ้าของพวกเรา จากนั้นก็ไต่ขึ้นไปอยู่บนนิตยสารแฟชั่น แล้วก็หาหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับแฟชั่นพูดคุยถึงเสื้อผ้าของพวกเราสักหน่อย แล้วก็ ทำข่าวเพิ่มอีกสักหน่อยด้วยก็ได้”
เย่หมิงเป่ยถูกมองจนแอบรู้สึกขนลุก “ภรรยา ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ?”
โจวหมิ่นนึกถึงก็แอบเสียใจ สามีของหล่อนทำไม่ได้หรอก เขาเป็นคนซื่อตรงเกินไป ไม่เช่นนั้นก็จะเหมารวมสามีตนเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวชนบทที่ยากจนเดินทางมาที่เมืองหลวงแล้ว
เป็นเพราะต้องการเหมารวม คนที่ถูกเหมารวมก็ต้องเสแสร้งแกล้งปั้นเป็นด้วย ก่อนอื่นต้องขายความน่าสงสารและบีบน้ำตากับความยากจน จากนั้นค่อยตอบโต้ด้วยเรื่องของแฟชั่นชั้นนำ มาในภาพลักษณ์ของประธานที่น่ายำเกรง รับรองได้เลยว่าสาวน้อยเหล่านั้นต้องส่งเสียงร้องกรี๊ดพุ่งตัวเข้ามา แล้วอย่างไรต่อ ก็ซื้อเสื้อผ้าน่ะสิ
แต่ก็เป็นเพราะหล่อนเห็นว่าสามีของหล่อนเป็นคนซื่อตรงไม่ใช่เหรอ?
“หมิงเป่ย ฉันรักคุณจังค่ะ” โจวหมิ่นพูดด้วยความรู้สึก หล่อนยื่นแขนออกไปกอดเย่หมิงเป่ยด้วยท่าทางออดอ้อนและหอมเขา
ผู้ชายแข็งกระด้างคนนี้ทำให้หล่อนรักเขามากขนาดนี้เลยทีเดียว!
เย่หมิงเป่ยแอบสับสนนิดหน่อย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีคนพูดถึงเรื่องที่ผู้หญิงหลังจากคลอดลูกแล้วจะกลายเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย ภรรยาของเขาตอนนี้อาจจะอยู่ในสถานการณ์นี้ จึงกอดตอบหล่อนเช่นกัน
“หมินหมิ่น ผมเองก็รักคุณเหมือนกัน” เย่หมิงเป่ยพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ หัวใจของเขาแอบเต้นแรง ทั้งยังเกิดอารมณ์อ่อนไหวด้วย
คุณแม่เย่อยู่ข้างนอกกำลังคุยกับน้าพี่เลี้ยงเรื่องลูกเขยอยู่ แต่เมื่อเหลือบมองเข้ามาในห้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็พบว่าลูกชายและลูกสะใภ้กำลังกอดกันอยู่ นางทั้งมีความสุขและทำอะไรไม่ถูก
ประตูยังไม่ปิดก็กอดกันเสียแล้ว ดีที่อยู่ในเมือง ถ้าอยู่ในชนบทคงได้ถูกเพ่งเล็งตายเลย!
โจวหมิ่นอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเย่หมิงเป่ย “ถึงเวลานั้นค่อยหาคนที่รู้เรื่องแฟชั่นเข้ามาวิจารณ์เรื่องที่เสื้อผ้าของพวกเราไม่ดี จากนั้นก็ให้พวกเขาทะเลาะกัน แบบนี้ก็จะทำให้ประชาชนเกิดการแสดงความคิดเห็น และต้องเป็นที่นิยมก่อนที่จะถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ วิธีนี้ช่วยสร้างแบรนด์ให้เสื้อผ้าของเราได้แล้ว ถ้าแบรนด์ดังขึ้นมา หลังจากนี้ก็ทำได้สบาย ๆ เลย”
เย่หมิงเป่ยถึงกับตกใจ สร้างแบรนด์ด้วยวิธีแบบนี้ก็ได้เหรอ?
เขาเป็นคนหัวโบราณ คิดมาโดยตลอดว่าแบรนด์จะรุ่งโรจน์ได้ก็มาจากขั้นตอนการผลิตไปจนถึงการขาย คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีการดำเนินการแบบนี้ด้วย
โจวหมิ่นได้ยินคำพูดของเขาก็หลุดขำ “ของเหล่านั้นเป็นการหลอกลวง แต่จะพูดว่าหลอกลวงไม่ได้หรอก มันเป็นกลยุทธ์การตลาด อันที่จริงแบรนด์ก็คือการสร้างกระแสนั่นแหละ จากนั้นขอแค่รักษาคุณภาพและความน่าเชื่อถือไว้ได้ก็สามารถเป็นแบรนด์อยู่ตลอด ถ้าไม่สามารถรักษาคุณภาพและความน่าเชื่อถือได้ ต่อให้เป็นสินค้าแบรนด์ก็ล้มอยู่ดี”
เย่หมิงเป่ยได้รับประสบการณ์เพิ่มอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายของโจวหมิ่นจึงกล่าวอีกประโยคว่า “แบรนด์ของพวกเรารักษาคุณภาพและความน่าเชื่อถือได้แน่นอน!”
โจวหมิ่นเงยหน้ามองสามี หล่อนยื่นมือออกไปลูบแก้มเขา “แน่นอนอยู่แล้ว ขอแค่มีคุณอยู่ แบรนด์ของพวกเราจะแข็งแกร่งตลอดไป!”
เย่หมิงเป่ยรู้สึกร้อนผ่าวภายในใจ เป็นเรื่องยากที่ภรรยาจะเชื่อใจเขาแบบนี้ เขาต้องทำให้ดี
ส่วนภายในบ้านทางฝั่งนี้ จ้าวเหวินเทากลับถึงบ้านในตอนดึก หลังจากรับประทานอาหารเขาก็คุยกับเย่ฉูฉู่เกี่ยวกับเรื่องภาพยนตร์
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเย่ฉูฉู่ถึงกับประหลาดใจ สามีของเธอใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็ผลิตภาพยนตร์ได้แล้ว?
“ไม่ใช่ผมที่เป็นคนทำหรอก คนที่ทำคือคณะละครในอำเภอต่างหาก พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่ให้เงินผมแม้แต่เฟินเดียว ถึงยังไงก็ต้องให้สักหน่อย แต่ไม่รู้ว่าจะให้เท่าไร ถ้าให้เยอะ ผมก็สามารถนำไปเหมาฟาร์มกระต่ายตรงนั้นได้แล้ว” จ้าวเหวินเทากล่าว
เย่ฉูฉู่ทราบดีว่าสามีของเธอคิดถึงเรื่องฟาร์มกระต่ายภายในเมืองมาโดยตลอด จึงกล่าวว่า “ต่อให้พวกเขาไม่ให้เงินคุณ แต่ถ้าคุณอยากเหมา ก็สามารถใช้เงินจากการออกแบบเสื้อผ้าของฉันไปเหมาได้นะคะ พี่สะใภ้สามบอกว่าสิ้นปีนี้จะโอนมาให้ ถึงเวลานั้นก็พอดีเลย”
จ้าวเหวินเทากลับเป็นคนที่คิดว่าถ้าใช้เงินภรรยาก็เท่ากับว่าเขาไม่ใช่ลูกผู้ชาย เขาคิดแค่ว่าเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ไม่คุ้มค่าที่จะไปยุ่งกับเงินของภรรยา
เย่ฉูฉู่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็รู้สึกขบขัน “เรื่องนี้ยังบอกว่าเป็นเรื่องเล็กอีก ในสายตาของคุณอะไรคือเรื่องใหญ่เหรอคะ?”
จ้าวเหวินเทาหัวเราะหึๆ “ภรรยา ในสายตาของผมไม่เคยมีเรื่องใหญ่อยู่แล้ว คุณอย่าเพิ่งรีบร้อน ฟาร์มกระต่ายในเมืองเป็นของภาครัฐ ถ้าคิดจะซื้อจริง ๆ พนักงานมากขนาดนั้น ไหนจะครอบครัว ไหนจะสวัสดิการอีก พวกเขาคงได้เกิดการทะเลาะวิวาทแน่ ไม่ใช่เรื่องที่จะเหมากันได้ง่าย ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ หรอก”
“หัวหน้าแผนกเซี่ยคนนั้นบอกว่าสิ้นปีจะมีจดหมายมาไม่ใช่เหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ถาม
“เขาพูดแบบนั้นก็จริง แต่เขาไม่สามารถตัดสินอะไรได้ ครั้งนี้ที่ผมไปก็เปลี่ยนอีกแล้ว บอกว่าราคายังไม่สรุป ผมว่าจากประสิทธิภาพการจัดการเรื่องนั้น ได้ผลสรุปในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็ถือว่าไม่เลวแล้ว” จ้าวเหวินเทาส่ายหน้า
ครั้งนี้ที่เขาไป เขาก็เห็นทะเลความคิดมหาศาลเหนือศีรษะของหัวหน้าแผนกเซี่ย ไม่ต้องถามถึงรายละเอียดก็พอจะทราบได้ว่ามีปัญหามากขนาดไหน
“ผมคิดมาแล้ว พวกเราเหมาฟาร์มกระต่ายก็จริง แต่เราไม่ได้จะเหมาปัญหา พวกเขาต้องแก้ปัญหาทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อนถึงจะดี” จ้าวเหวินเทาไปมาหลายครั้ง เขาจึงพอจะเข้าใจสถานการณ์บางส่วน ความสัมพันธ์ภายในนั้นยุ่งเหยิงจนแค่คิดก็ปวดหัวแล้ว เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
เย่ฉูฉู่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นไม่ต้องเหมาดีกว่าไหมคะ? ฉันว่าพวกเราเลี้ยงที่บ้านก็ดีเหมือนกันนะ?”
จ้าวเหวินเทากล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ภรรยา คุณคิดจริง ๆ เหรอว่าผมเห็นความสำคัญของฟาร์มกระต่ายของพวกเขา?”
เย่ฉูฉู่เห็นเขาที่คล้ายกับจิ้งจอกกินไก่ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันรู้ค่ะ สิ่งที่คุณให้ความสำคัญก็คืออุปกรณ์เลี้ยงกระต่ายของพวกเขา”
“ภรรยานี่รู้ใจผมดีจังเลย” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความพึงพอใจ “แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นรองอยู่ดี สิ่งที่ผมต้องการที่จริงแล้วคือที่ดินต่างหากล่ะ”
เย่ฉูฉู่มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยความจริงจัง “ภรรยา สถานที่ภายในเมืองมีราคาสูงมาก ผมไปถามบ้านตรงนั้นมา ชาวบ้านเขาคิดตามตารางเมตร แม้ว่าฟาร์มกระต่ายจะไม่ได้อยู่ในเมือง แต่ในอนาคตถ้าที่ดินภายในเมืองมีไม่พอขึ้นมา ก็คงต้องสร้างบ้านกันนอกเมือง ถึงเวลานั้นสถานที่นอกเมืองก็จะมีราคา!”
เย่ฉูฉู่ถูกดึงดูดโดยความคิดที่น่าอัศจรรย์ของสามี “คนในเมืองเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดูความคิดของเหวินเทาแล้วก็ไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำมาค้าขายเก่ง เล่นคิดไปไกลเหนือคนอื่นหลายก้าวขนาดนี้จะไม่ให้รวยไงไหวคะ
ไหหม่า(海馬)