เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 225 ถูกกระตุ้น
ตอนที่ 225 ถูกกระตุ้น
พี่สะใภ้รองจ้าวไปขุดหัวผักกาดหวานในไร่แล้ว หล่อนไม่ได้ปลูกไว้มากมาย ปลูกไว้แค่หมู่เดียวเท่านั้น หัวผักกาดหวานนี้เก็บเกี่ยวหลังจากเก็บข้าวโพด ใบของมันสามารถนำไปทำเป็นอาหารหมูได้ ส่วนรากนำไปขายเพื่อต้มเป็นน้ำตาล แต่ก่อนที่จะนำไปขายก็ต้องล้างให้สะอาด ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครอยากซื้อ หากไม่ใช่เพราะราคาของมันสูงกว่าธัญพืชนิดหน่อย หล่อนก็คงไม่ปลูกเหมือนกัน เวลาในการเก็บเกี่ยวพืชประเภทนี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวพอดี ทั้งยังต้องใช้มีดจัดการกับมัน ซึ่งทรมานมาก
พี่สะใภ้รองจ้าวใช้รถเข็นคันเล็กบรรทุกหัวผักกาดหวานกลับมาและกองไว้ในลานบ้าน หลังจากเข้ามาในห้องก็พบว่าพี่รองจ้าวกำลังนอนอยู่บนเตียง หล่อนจึงกระตุกขาของเขา “เป็นอะไร?”
“เปล่า กลับมาแล้วเหรอ?”
พี่สะใภ้รองจ้าวเห็นว่าบนผ้านวมมีรอยบุ๋มลงไปเพราะมีคนนั่ง จึงเอ่ยถาม “ใครมาเหรอคะ?”
“เจ้าสามน่ะ คุณจัดการหัวผักกาดหวานเสร็จแล้วเหรอ?” พี่รองจ้าวลุกขึ้นมานั่ง
“เสร็จแล้ว!” พี่สะใภ้รองจ้าวถอดผ้าโพกศีรษะไปแขวนไว้บนตะปูที่ตอกอยู่บนกำแพง “อาหารหนาวขึ้นเรื่อย ๆ เลย พรุ่งนี้ก็ยังต้องเก็บอีก ดีนะที่ปลูกไว้ไม่เยอะ ถ้าปลูกเหมือนกับบ้านอื่นที่ปลูกไว้หลายสิบหมู่ คงได้เก็บกันจนแข็งตายแน่!”
เมื่อได้ยินพี่สะใภ้รองจ้าวบ่น พี่รองจ้าวจึงพูดว่า “ผมไม่ได้บอกให้คุณปลูกสักหน่อย เป็นเพราะคุณอยากปลูกเองต่างหาก ผักประเภทนี้เปลืองแรงจะตาย!”
“ก็มีคนบอกว่าหัวผักกาดหวานขายได้ราคาไม่ใช่เหรอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวออกไปหยิบถ้วยจากด้านนอกและรินน้ำร้อนกลับเข้ามาหนึ่งถ้วย
“หัวผักกาดหวานแค่หมู่เดียว ต่อให้มีราคามากกว่านี้จะขายได้สักเท่าไรกันเชียว?” พี่รองจ้าวกล่าว
“ปลูกครั้งแรกคุณจะกล้าปลูกไว้เยอะ ๆ เหรอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พอเถอะ งานนี้ไม่ได้ให้คุณจัดการสักหน่อย คุณจะบ่นไปทำไมเนี่ย!”
พี่รองจ้าวไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาไม่ได้อยากจะปลูกหัวผักกาดหวานหนึ่งหมู่นี้ รายได้ที่ได้มาจากการปลูกเขาก็ไม่ได้สนใจ
พี่สะใภ้รองจ้าวจิบน้ำร้อนเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น จากนั้นจึงถามอีกว่า “แล้วเจ้าสามมาทำอะไร?”
“เขามายังจะมีเรื่องอะไรอีกล่ะ!” พี่รองจ้าวแค่นเสียงจากลำคอ
พี่สะใภ้รองจ้าวยิ้ม “เขามาก็เพราะอวดเรื่องเงินที่ขายเต้าหู้หรือไม่ก็กระต่ายสินะ?”
“อวดเงินจากเต้าหู้นั่นแหละ” พี่รองจ้าวพูดคลุมเครือ
เขาไม่คิดจะพูดเรื่องที่พี่สามจ้าวมาขอให้เขาช่วยเหลือกับภรรยาของตนเอง จากนิสัยของพี่สะใภ้รองจ้าวก็ต้องทำอยู่แล้ว
พี่สะใภ้รองจ้าวไม่ได้สงสัยอะไร หลังจากคุยสองสามประโยคก็ออกไปทำอาหาร
แต่พี่รองจ้าวกลับคิดไม่ถึง มีคนแบบน้องสะใภ้สี่อยู่ มีหรือที่ภรรยาของเขาจะไม่รู้?
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพียงไม่นานพี่สะใภ้สี่จ้าวก็เดินทางมาที่นี่ ทั้งยังบอกให้พี่สะใภ้รองจ้าวฟังไปอีกหนึ่งรอบ พี่สะใภ้รองจ้าวจึงมาคุยกับพี่รองจ้าว
“น้องสามมาหาคุณเพื่อให้ช่วยทำเต้าหู้ทำไมคุณถึงไม่ทำล่ะ?” พี่สะใภ้สามจ้าวถามด้วยความสงสัย “เขาไม่ได้ให้คุณทำฟรี ๆ สักหน่อย คุณไม่รู้หรือไงว่าบ้านเราเป็นหนี้ก้อนโตขนาดไหน?”
พี่รองจ้าวพูดด้วยความโมโห “จ้างคนมันเป็นวิถีของสังคมยุคเก่า ให้พี่น้องตัวเองเป็นคนงานระยะยาวแบบนี้ คุณคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ดีเหรอ?”
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าจะดีหรือเปล่า แต่ฉันรู้แค่ว่ามันทำเงินได้!” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว
“เงิน ๆ ๆ คุณนี่มันรู้จักแค่เงินจริง ๆ เลยนะ! งั้นคุณก็ไปใช้ชีวิตกับเงินเลยสิ!” พี่รองจ้าวขึ้นเสียงสูง
พี่สะใภ้รองจ้าวมองพี่รองจ้าวราวกับไม่อยากเชื่อ “สมองของคุณถูกสูบหมดแล้วสินะ? ยังมีหน้ามาพูดอีกว่าฉันรู้จักแต่เงิน ไม่มีเงินแล้วจะใช้ชีวิตยังไง เกิดไม่มีเงิน ถ้าคนมาทวงเงินคืนก็ทำอะไรไม่ได้! คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร เป็นเทพเซียนเหรอ ไม่กินไม่ดื่มงั้นสิ? แล้วครอบครัวล่ะ มีใครบ้างไม่ต้องใช้เงิน!”
พี่รองจ้าวสู้พี่สะใภ้รองจ้าวไม่ได้จึงกระแทกประตูเดินออกไป
พี่สะใภ้รองจ้าวโกรธจนถึงขั้นกระทืบเท้า ทำไมหล่อนถึงหาสามีแบบนี้นะ โง่ยิ่งกว่าหมูเสียอีก!
พี่รองจ้าวเดินออกมาด้วยความโกรธ ตอนนี้มืดแล้ว อากาศก็หนาวมากด้วย เดิมทีเขาอยากจะไปบ้านพ่อกับแม่ แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้วครอบครัวเจ้าสี่ก็อยู่ที่นั่น คืนนี้ที่เขาและพี่สะใภ้รองจ้าวทะเลาะกันก็เป็นเพราะสะใภ้สี่ อีกอย่างก่อนหน้านี้ตอนที่จะสร้างบ้าน พ่อกับแม่ก็ห้ามไว้ แต่เขาคิดว่าพ่อกับแม่ดูถูกเขา กลับไปตอนนี้ก็แอบอายอยู่เหมือนกัน ท้ายที่สุดจึงเดินไปเดินมา ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่บ้านจ้าวเหวินเทา
จ้าวเหวินเทากำลังกล่อมเสี่ยวไป๋หยางอยู่ ส่วนเย่ฉูฉู่กำลังนำอาหารมาตั้งที่โต๊ะ เมื่อเห็นพี่รองจ้าวเดินเข้ามาด้านในลานบ้านก็ประหลาดใจมาก เพราะตั้งแต่ย้ายออกมาจากบ้านเก่าก็มีแค่พี่สามจ้าวที่ขยันมาหาที่นี่ ส่วนพี่รองจ้าวกับพี่สี่จ้าวมาน้อยครั้งมาก โดยเฉพาะพี่รองจ้าว เคยมาแค่ตอนที่บ้านเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ เท่านั้น
“พี่รอง รีบเข้ามาในบ้านเถอะค่ะ!” เย่ฉูฉู่เดินออกมาจากบ้านเพื่อเรียกให้พี่รองจ้าวเข้ามาด้านใน
ความกระตือรือร้นของเย่ฉูฉู่ทำให้พี่รองจ้าวรู้สึกสบายใจขึ้น “เจ้าหกอยู่บ้านใช่ไหม?”
“อยู่ค่ะ กำลังกล่อมลูกอยู่ พวกเรายังไม่ได้กินข้าวเลย พี่รองกินข้าวหรือยังคะ?” เย่ฉูฉู่พูดพลางหันไปตะโกนเรียกจ้าวเหวินเทาในบ้าน
จ้าวเหวินเทาอุ้มเสี่ยวไป๋หยางออกมาจากห้องฝั่งตะวันออก เมื่อเห็นพี่รองจ้าวก็แอบรู้สึกเหนือความคาดหมาย “พี่รองมาแล้วเหรอครับ รีบเข้ามาสิ”
พี่รองจ้าวตอบ ‘อืม’ หลังจากเข้ามาในบ้านก็นั่งลงที่ขอบเตียง
เมื่อสักครู่ตอนที่เข้ามาในบ้านเขาก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นแล้ว แอบรำพึงในใจว่าบ้านของเจ้าหกอบอุ่นกว่าบ้านของเขาเยอะเลย! ครั้นดูผนังบ้านสีขาว และหลอดไฟที่สว่างจ้า เขาก็รู้สึกว่าหลอดไฟไม่กี่ดวงที่บ้านของเขาแทบจะไม่ใช่หลอดไฟแล้ว?
“พี่รอง ยังไม่กินข้าวใช่ไหม กินด้วยกันสิคะ” เย่ฉูฉู่หยิบถ้วยและตะเกียบมาเพิ่มอีกชุด
พี่รองจ้าวมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะ มีไข่คนหนึ่งจาน ยำผักโขมลวกเปรี้ยวหวานหนึ่งจานที่โรยหน้าด้วยถั่วลิสงนิดหน่อย หัวผักกาดหั่นฝอยหนึ่งจานที่หั่นจนบางเฉียบและโรยหน้าด้วยต้นหอมสีเขียว และยังมียำแตงกวาอีกหนึ่งจานด้วย ซึ่งเขาถึงกับตกตะลึง อยู่กันแค่สองคน รับประทานกันเอง แต่กลับทำอาหารไว้เต็มโตราวกับมีแขกเนี่ยนะ?
บ้านของพวกเขาไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อน ถ้าไม่มีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยียน ก็จะรับประทานผักเส้นดองเค็มหรือไม่ก็ผักกาดขาวดองเค็มทั้งเช้าและค่ำ มากสุดช่วงเที่ยงก็อาจจะตุ๋นมันฝรั่งและผักกาดขาว หรือไม่ก็มันฝรั่งผักกาดดอง แต่ถ้ามีแขกมาก็จะจัดอาหารไว้สองอย่าง ดังนั้นเขาจึงกลืนคำพูดที่ว่า ‘ฉันกินข้าวมาแล้ว’ ลงคอ เปลี่ยนเป็น ‘ได้สิ ฉันออกมาจากบ้านก็ยังไม่ได้กินข้าวเลย’
“ดื่มเหล้าไหมพี่รอง?” จ้าวเหวินเทาถาม “ที่บ้านมีเหล้าด้วยนะ”
“ไม่ดื่มแล้ว กินข้าวนิดหน่อยก็พอ” พี่รองจ้าวไม่ชอบดื่มเหล้า และเขาก็ไม่ใช่คนคอแข็งด้วย
จ้าวเหวินเทามองออกว่าพี่รองจ้าวคงมีธุระ คิดว่าหากมีธุระแล้วดื่มเหล้าก็คงไม่ดี จึงบอกเย่ฉูฉู่ให้ตักอาหาร
ตอนค่ำเย่ฉูฉู่ทำบะหมี่จากแป้งขาว ราดน้ำซุปร้อน ๆ โรยด้วยต้นหอมและผักชี รวมถึงเส้นเนื้อหมูฉีกฝอย ดูมีสีสันและน่ารับประทานมาก พี่รองจ้าวเห็นก็แอบรู้สึกอยากจะร้องไห้ แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าการใช้ชีวิต
ทั้งสองพี่น้องต่างก็ยังไม่มีใครรับประทานอาหารก่อนหน้านี้ จึงก้มหน้าก้มตารับประทาน ระหว่างนั้นเย่ฉูฉู่ก็เติมข้าวให้พี่รองจ้าวอีกสองครั้งด้วย
ชามที่ใช้รับประทานเป็นชามกระเบื้องสีขาวขนาดใหญ่ หมายความว่าพี่รองจ้าวรับประทานบะหมี่ไปถึงสามถ้วยใหญ่! อาหารที่อยู่บนโต๊ะก็ถูกรับประทานจนหมดเกลี้ยง
จ้าวเหวินเทารับประทานไปหนึ่งถ้วย เย่ฉูฉู่รับประทานไปครึ่งถ้วย ทั้งสองคนคิดไม่ถึงว่าพี่รองจ้าวจะมาที่นี่ จึงทำอาหารไว้ไม่เยอะ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เย่ฉูฉู่ก็รินน้ำชาให้พวกเขาดื่ม ส่วนตนเองก็อุ้มเสี่ยวไป๋หยางกลับเข้าห้องฝั่งตะวันตก
“ห้องตะวันตกไม่หนาวเหรอ?” พี่รองจ้าวถาม
“ไม่หนาว อุ่นเตียงไว้แล้ว” จ้าวเหวินเทากล่าว
“นายไม่ได้เปิดเครื่องทำความร้อนไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงอบอุ่นขนาดนี้ล่ะ?” พี่รองจ้าวดื่มชาพลางเอ่ยถาม
“ยังไม่ได้เปิด ฉูฉู่กลัวว่าในห้องจะร้อนเกินไปเดี๋ยวลูกไม่สบาย แล้วก็กลัวว่าจะเป็นร้อนในด้วย รอให้หิมะตกค่อยเปิด ว่าแต่พี่รองมีธุระอะไรเหรอ?” จ้าวเหวินเทาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ไม่มีอะไรหรอก” พี่รองจ้าวไม่อยากพูด จึงถามต่อไปว่า “นายไม่ได้เปิดเครื่องทำความร้อน แต่ในบ้านทำไมถึงได้อบอุ่นขนาดนี้ล่ะ? ลมแถวตงเหลียงแรงมากเลยนะ”
“ตอนที่ผมสร้างบ้านก็เพิ่มความหนาของกำแพงเป็นพิเศษ แถมยังโบกกำแพงไปหลายชั้น เลยกันลมได้น่ะครับ” จ้าวเหวินเทาเห็นพี่รองจ้าวไม่อยากพูดจึงไม่ได้ถามอะไรอีก
“ฉันก็ว่าอยู่ ไม่หนาวสักนิดเลย” พี่รองจ้าวจึงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องบ้านขึ้นมา
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เดาว่าพี่รองจ้าวยังติดอยู่ในเซฟโซน แล้วก็กลัวความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจะไม่เหมือนเดิมแหละค่ะ ถึงไม่ยอมตกลงช่วยน้องสามทำเต้าหู้ แต่จริง ๆ พี่แกก็โหยหาชีวิตดี ๆ เหมือนกันนะ
ไหหม่า(海馬)