เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 241 อ่านจดหมาย
ตอนที่ 241 อ่านจดหมาย
การตัดกุยช่ายไม่ใช่สิ่งที่จะตัดได้ตามใจชอบ เงื่อนไขพื้นฐานที่สุดก็คือการสะสมของเดิม เมื่อโจวหมิ่นนึกถึงเรื่องนี้ก็หอมเย่หมิงเป่ย “ฉันจะไปเขียนจดหมายหาฉูฉู่ คุณอยากฝากข้อความอะไรไหมคะ?”
เย่หมิงเป่ยตกตะลึงกับความคิดที่เปลี่ยนปุบปับราวกับก้าวกระโดดของโจวหมิ่น แต่ก็เออออตามความคิดของหล่อน “เอาสิ ผมไม่มีอะไรจะฝาก คุณลองไปถามแม่ดูแล้วกันว่าอยากจะฝากข้อความอะไรหรือเปล่า”
“ตกลง งั้นคุณนอนก่อนก็แล้วกันนะ” โจวหมิ่นลุกขึ้นเพื่อไปหากระดาษและปากกา จากนั้นก็นั่งลงตรงหน้าโต๊ะเพื่อเขียนจดหมาย
“หมินหมิ่น คุณก็อย่าเขียนจนดึกดื่นล่ะ รีบเข้านอนเร็ว ๆ นะ” เย่หมิงเป่ยหยิบผ้าห่มมาคลุมให้โจวหมิ่น
“ฉันรู้แล้ว แป๊บเดียวก็เขียนเสร็จแล้ว” โจวหมิ่นพูดไปพลางก็จรดปากกาลงบนกระดาษเขียนว่า ‘สวัสดีฉูฉู่’ แล้ว
เย่หมิงเป่ยส่ายหน้า เขาทราบดีว่าภรรยาของเขาเป็นคนใจร้อน เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เมื่อเห็นลูกสาวนอนหลับปุ๋ยจึงเอนตัวนอน
ตอนที่เย่ฉูฉู่ได้รับจดหมายจากโจวหมิ่นก็เป็นช่วงวันที่ยี่สิบกว่า ๆ ของเดือนธันวาคมแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังยุ่งพอดี
ก่อนหน้านี้การข้ามปีเรียกว่า ‘ปิดปี’ สามารถพูดได้ว่าวันข้ามปีก็เหมือนกับการข้ามผ่าน ผู้คนต่างหวาดกลัวกับการข้ามปี ส่วนเด็ก ๆ ต่างก็รอคอยที่จะได้รับประทานของอร่อย ๆ ในช่วงข้ามปีกันตาแป๋ว ใครที่ติดหนี้ไว้ก็ต้องคืนให้เจ้าหนี้ก่อนจะข้ามปี ขณะที่เหล่าภรรยาต่างเหนื่อยมาทั้งปี เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ต้องซื้อเสื้อใหม่ให้ ไหนจะดูแลคนเฒ่าคนแก่ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว ปีนี้ไม่เหมือนกับปีก่อน ๆ เพราะต้องทำงานเอง แม้จะพูดว่ารายได้ไม่สามารถเทียบกับสิบกว่าปีหลังจากนี้ได้ แต่ก็นับว่ามากกว่าปีก่อน ๆ อยู่มาก อย่างน้อย ๆ นอกจากเติมเต็มเงื่อนไขข้างบนแล้วก็ยังมีส่วนที่เหลืออยู่อีกนิดหน่อยด้วย นี่เป็นสิ่งที่ปีก่อน ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะคิด ถึงอย่างนั้นทุกคนต่างก็มีความสุข แม้เป็นปีที่ยุ่งแต่ก็เต็มไปด้วยพลังงานเปี่ยมล้น!
ตอนนี้สถานที่แห่งนี้ยังปลูกข้าวสาลีอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ทุกคนต่างก็ใช้แป้งบัควีทไปแลกกับแป้งขาว เมื่อแลกมาได้สิบกว่าชั่ง ก็นำไปนึ่งเป็นหมั่นโถวสองสามหม้อ ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้ห่อเกี๊ยวในวันส่งท้ายปีเก่า ผู้คนต่างก็วางแผนไว้อย่างดีแล้ว ถึงเวลาแล้วจะใช้แป้งขาวทั้งหมดเพื่อจะได้รับประทานของดี ๆ หนึ่งมื้อ!
นอกจากหมั่นโถว ฟองเต้าหู้ ขนมเข่ง เต้าหู้ที่เตรียมไว้อย่างดีแล้ว อาหารแห้งที่ถูกนึ่งไว้หากไม่ได้ใส่ไว้ในโอ่งใบใหญ่ ก็จะนำแขวนไว้ที่บนหลังคาของโรงเก็บของ สามารถรับประทานได้หนึ่งเดือน
คนแก่ ผู้หญิง เด็กเล็ก ถ้าฐานะดีหน่อยก็จะใส่เสื้อใหม่ทั้งชุด แต่ถ้าฐานะไม่ค่อยดีก็จะได้ใส่แบบหนึ่งชุด เด็กผู้หญิงจะมีผ้าโพกศีรษะลายดอกไม้ กิ๊บติดผม ยางมัดผมสีแดง มงกุฎเส้นเล็ก ๆ ที่ทำมาจากหญ้าแห้ง ทุกอย่างถูกตระเตรียมไว้ แต่ตอนนี้ต่างก็ถูกพ่อแม่เก็บไว้ให้แล้ว รอถึงวันสิ้นปีถึงจะนำออกมาได้ สิ่งนี้ทำให้พวกเด็ก ๆ รีบร้อน อยากให้ถึงวันข้ามปีจนแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว
ภายในใจมีแผนไว้แล้ว จึงไม่ได้กระวนกระวายอะไร เจ้าบ้านชายและหญิงต่างก็เริ่มสนใจพิธีรีตองของเทศกาลข้ามปี บ้านเมื่อปีที่แล้วแค่ใช้ไม้กวาดกวาดฝุ่นออกไปก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่ปีนี้แตกต่างกัน ไม่เพียงแค่ทำความสะอาดหนึ่งรอบ แต่ยังซื้อกระดาษมาแปะกำแพงด้วย
กระดาษนี้มีทั้งกระดาษที่เป็นหนังสือพิมพ์เก่า มีทั้งกระดาษสีขาว และมีแบบที่มีความประณีตด้วยการซื้อกระดาษติดฝาผนังโดยเฉพาะด้วย กระดาษติดฝาผนังนี้แตกต่างจากกระดาษติดฝาผนังในช่วงสิบกว่าปีให้หลัง เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม บางอันก็เป็นลายดอกไม้ บางอันก็เป็นรูปทรงเรขาคณิต ประสบการณ์ทางธุรกิจของจ้าวเหวินเทาสุดยอดมาก เขามองเห็นโอกาสด้านนี้มานานแล้ว กระดาษติดฝาผนังถูกนำเข้ามาหนึ่งชุด แทบจะถูกคนในหมู่บ้านเหมาเกลี้ยง บางคนก็แนะนำญาติและหมู่บ้านอื่น ๆ ด้วย
เย่ฉูฉู่ช่วยขายไปด้วยอ่านจดหมายจากโจวหมิ่นไปด้วย เมื่อเห็นโจวหมิ่นบอกว่าจ้าวเหวินเทาเกิดมาเพื่อเป็นนักธุรกิจ ก็อดยิ้มไม่ได้ คำพูดนี้พูดไว้ไม่ผิดเลยจริง ๆ ยกตัวอย่างเช่นกระดาษแปะกำแพงนี้ ปีที่แล้วสามีของเธอยังไม่นำเข้ามา และปีที่แล้วก็ไม่มีใครซื้อด้วย ไม่มีแม้แต่คนจะถาม แต่ปีนี้นำเข้ามาแล้ว ก็มีคนมาซื้อ เธอไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้มาก่อนเลย
“กระดาษติดฝาผนังลายดอกอันนี้ขายดีจริง ๆ” จ้าวเหวินเทาหยิบปากกาขึ้นมาจดบัญชี ก็พบว่ากระดาษติดฝาผนังลายดอกไม้ไม่เหลือแม้แต่แผ่นเดียว
เย่ฉูฉู่ตอบแค่ ‘อืม’ โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง ยังคงตั้งใจอ่านจดหมายของโจวหมิ่นต่อไป
จ้าวเหวินเทาแอบรู้สึกหึงหวง “ภรรยา ถ้าคนไม่รู้คงคิดว่าคุณกำลังอ่านจดหมายรักอยู่นะ พี่สะใภ้สามของคุณเขียนอะไรมาเหรอถึงได้อ่านด้วยท่าทางหลงใหลขนาดนี้”
เย่ฉูฉู่จึงเงยหน้าขึ้นมากลอกตาใส่เขาปราดหนึ่ง “ชมคุณไง!”
จ้าวเหวินเทาดีใจ “พี่สะใภ้สามของคุณชมผมด้วย พูดจริงพูดเล่นเนี่ย?”
“พี่สะใภ้สามมีความมั่นใจในตัวคุณมากเลยนะ คุณเองก็รู้” เย่ฉูฉู่พูดพลางอ่านหน้าต่อไป
จ้าวเหวินเทาหย่อนก้นนั่งลงข้าง ๆ เธอ เมื่อได้อ่านจดหมายในมือของเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงเกินจริง “เขียนเยอะขนาดนี้เลย!”
“อืม พี่สะใภ้สามเขียนถึงแฟชั่นวีคที่ผ่านพ้นไปแล้ว” เย่ฉูฉู่กล่าว
โจวหมิ่นยังแนบนิตยสารที่เกี่ยวกับแฟชั่นวีค หนังสือพิมพ์โฆษณาชวนเชื่อมาให้ด้วย ข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียดเกี่ยวกับแฟชั่นวีค ที่โจวหมิ่นทำแบบนี้ก็เพราะอยากให้เย่ฉูฉู่เข้าใจโลกภายนอก ให้เธอให้เข้าใจว่าทำไมเสื้อผ้าของเธอถึงได้เป็นที่นิยมมากและมีราคาแพงขนาดนั้น หากมั่นใจสถานการณ์เหล่านี้ก็จะออกแบบเสื้อผ้าออกมาได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นจึงเขียนอธิบายออกมาทั้งหมด และเขียนไว้ค่อนข้างมากด้วย แต่เย่ฉูฉู่กลับมีความสนใจเป็นอย่างมาก
จ้าวเหวินเทาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เขายื่นมือออกไปหยิบจดหมายที่เหลืออยู่ของเย่ฉูฉู่ คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อได้อ่าน เขาจะสิงเข้าไปอยู่ในนั้นอย่างรวดเร็ว
สองสามีภรรยาไม่พูดไม่จา พวกเขาอ่านจดหมายจนจบก็ถอนหายใจลากยาว จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความรู้สึกทึ่ง “แบบนี้ก็ได้ด้วย!”
เย่ฉูฉู่กล่าว “พี่สะใภ้สามสุดยอดจริง ๆ!”
“คนที่เรียนหนังสือนี่น่ากลัวนะ” จ้าวเหวินเทาพูดตาม
เย่ฉูฉู่ตีเขาไปหนึ่งทีอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดจาเหลวไหล พี่สะใภ้สามของฉันน่ากลัวยังไง?”
“พี่สะใภ้สามของคุณยังไม่น่ากลัวอีกเหรอ? ขายเสื้อผ้าออกไปด้วยราคาที่มากกว่าต้นทุนถึงห้าเท่า แถมยังทำให้คนยินดีที่จะซื้ออีก ถ้าไม่เรียกว่าน่ากลัวแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?” จ้าวเหวินเทาพูดจบก็พูดต่อไปอีกว่า “แต่ความน่ากลัวแบบนี้ผมคงต้องเรียนรู้ไว้ ไม่ได้การล่ะ ผมต้องอ่านอีกรอบ” ระหว่างที่พูดเขาก็หยิบจดหมายขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดอีกรอบ
เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม เธอไม่ได้สนใจเขา หลังจากเห็นว่าลูกชายยังนอนหลับปุ๋ย จึงลงจากเตียงเพื่อไปทำอาหาร
ช่วงค่ำทำอาหารเป็นโจ๊กแบบง่าย ๆ คู่กับยำหัวไชเท้าหั่นฝอย และอุ่นหมั่นโถวอีกสองสามลูก
“กับข้าวเสร็จแล้ว รีบกินเถอะค่ะ จดหมายไม่หนีไปไหนหรอก กินเสร็จค่อยอ่านต่อก็ได้” เย่ฉูฉู่หยิบถ้วยและตะเกียบพลางกล่าว
จ้าวเหวินเทาอ่านจบแล้วเช่นกัน เขาวางจดหมายลงด้วยอารมณ์ที่ค้างคา “ภรรยา จิตวิทยาอะไรนั่นที่พี่สะใภ้สามของคุณบอกไว้ ผมเองก็มีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งเหมือนกันนะ ตอนที่ไปในเมือง พอได้เห็นคนในเมืองใช้ของและสวมใส่เสื้อผ้าก็รู้สึกอิจฉามากเหมือนกัน ผมเองก็คิดว่าเมื่อไรพวกเราจะทำแบบนั้นได้บ้าง ไหนจะโฆษณาที่อยู่บนหนังสือพิมพ์นั่นอีก ผมเองก็เชื่อนะ คิดไม่ถึงเลยว่านี่คือวิธีการในการขาย”
เย่ฉูฉู่พยักหน้า “ใช่แล้ว ตอนที่ไปตลาด ฉันเองก็ชอบของที่มีสีสันพวกนั้น ฉันเห็นแผงลอยที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนมาก คนที่ขายของพวกนั้นพูดคล่องไหลลื่น ไม่ว่าจะอะไรก็ขายจนหมดเกลี้ยงเลย ถ้ายังไม่ยอมซื้อของก็หมดแล้ว ฉันเองก็เคยรู้สึกรีบร้อนเหมือนกัน แต่พอได้เห็นจดหมายที่พี่สะใภ้สามเขียนไว้ ที่แท้นี่ก็เป็นวาทศาสตร์ทางจิตวิทยาที่มีต่อผู้ซื้อนี่เอง”
เย่ฉูฉู่ได้เรียนรู้ก็นำมาใช้งานจริง คำศัพท์ก็ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
จ้าวเหวินเทาพยักหน้า “ผมว่าแล้วเชียว ความรู้ในการขายของเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ แถมยังคิดว่าการขายของเป็นเรื่องง่ายอีก คุณดูสิ วิธีนี้ของพี่สะใภ้สามขั้นสูงขนาดไหน เขียนเรียงความสองสามข้อเพื่อหลอกให้คนอื่นซื้อเสื้อผ้าของคุณ ผมลองพลิกนิตยสารนั้นดูแล้ว นั่นมันเสื้อผ้าอะไรกัน ครึ่งบนแทบจะโป๊เปลือยอยู่แล้ว แต่ท่อนล่างยังลากพื้นอีก จะเอาไว้กวาดถนนเหรอ? ไหนจะตัวที่มีแขนเสื้อยาวนั่น กับตัวที่ไม่มีแขนเสื้ออีก ไม่มีความสมมาตรเลย ผมไม่เห็นว่ามันจะสวยตรงไหน แต่ราคานั่น คุณพระคุณเจ้า ตั้งหลายพัน! หลอกลวง หลอกลวงจริง ๆ วัสดุแค่นั้น ผ้าขาด ๆ แค่ไม่กี่ชิ้น สมองของคนในเมืองมีแต่ขี้เลื่อยเหรอ?”
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มันคือแฟชั่นอะเหวินเทา คนที่อยู่ในวงการก็เห็นว่ามันสวยน่ะสิ
ไหหม่า(海馬)