เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 254 อาหารหลังเชือดหมู
ตอนที่ 254 อาหารหลังเชือดหมู
“โห คนเยอะแยะขนาดนี้เลยนะ!” เลขาเดินยกมือไพล่หลังเข้ามาในบ้าน
จ้าวเหวินเทาที่กำลังทักทายแขกเหรื่อรีบเข้ามาต้อนรับ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เลขามาแล้ว นี่ถ้าเลขายังไม่มาพวกผมคงได้กินเนื้อหมูจนไม่เหลือ!”
เชือดหมูในบ้านจะไม่เรียกเลขาได้อย่างไรกัน ดังนั้นก่อนที่จ้าวเหวินเทาจะเชือดหมูก็ได้ไปเชิญเลขาให้มารับประทานเนื้อหมูแล้ว
“ไม่เป็นไร กินหมดฉันก็ค่อยไปกินกระต่ายที่บ้านนายก็ได้!” เลขากล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาถอดรองเท้าขึ้นมานั่งบนเตียงร่วมกับคุณพ่อจ้าว
ไม่ว่าเลขาจะมีตำแหน่งเล็กหรือใหญ่แต่ก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ คุณพ่อจ้าวจึงแอบไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไรนัก เขาเรียกให้จ้าวเหวินเทารีบขึ้นมานั่งเป็นเพื่อน
จ้าวเหวินเทาหยิบเหล้ามารินให้เลขาจนเต็มแก้ว “เลขา ชิมดูหน่อยนะ นี่เป็นเหล้าเหล่าไป๋กานที่ผมซื้อมาจากในเมือง ดีกรีสูงมากเลย!”
“กินเนื้อก่อนนะคะ” คุณแม่จ้าวหั่นเนื้อหมูสามชั้นมาเสิร์ฟให้หนึ่งจานพลางกล่าว
“ใช่ ๆ เลขา รีบชิมเนื้อหมูนี้ดูว่าหอมไหม!” พี่สามจ้าวพูดอย่างเอาใจใส่
เลขาจึงคีบเนื้อหมูสามชั้นจิ้มกับกระเทียมบดแล้วใส่ปากไปหนึ่งคำ เขาพยักหน้า “อืม หอม! เนื้อหมูนี้หอมมากเลย!”
พี่สามจ้าวยิ้ม “เลขา รอปีหน้าถ้าผมเชือดหมูก็มาชิมอีกนะ!”
“เอาสิ เจ้าสามจ้าว ฉันได้ยินมาว่าเต้าหู้ของนายขายดีเชียวนะ คนในอำเภอก็ตั้งใจมาซื้อกับนายโดยเฉพาะ คงได้เงินมาไม่น้อยเลยสิท่า? ทำไมปีนี้ไม่เชือดหมูสักตัวล่ะ?”
พี่สามจ้าวส่ายหน้า “เลขา ต่อให้ผมได้เงินเยอะกว่านี้ก็สู้น้องชายคนนี้ไม่ได้หรอก ปีนี้สร้างบ้านเป็นหนี้ก้อนโตเลย หมูสองร้อยกว่าชั่ง ทำใจกินไม่ลงหรอก ผมเลยเอาไปขายเอาเงินไปจ่ายหนี้แล้ว”
พี่รองจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างก็เข้าอกเข้าใจในคำพูดนี้ ถึงจะไม่ใช่เพื่อนำไปจ่ายหนี้ แต่การรับประทานเนื้อหมูสักคำก็รู้สึกว่าฟุ่มเฟือยอยู่ดี ถึงอย่างไรการใช้ชีวิตก็มาจากการประหยัดสิ่งที่เอาเข้าปากแต่ละคำ ดังนั้นทุกคนจึงเลือกที่จะนำไปขายทั้งหมด ข้ามปีชั่งเนื้อหมูสักสามสี่ชั่งก็พอแล้ว ใครจะไปเหมือนจ้าวเหวินเทา หมอนี่เชือดหมูทั้งตัวเพื่อนำมารับประทานเลยนะ!
“จ้าวเสี่ยวลิ่ว นายไม่มีหนี้แล้วใช่ไหม?” เลขาเปลี่ยนประเด็นกลับมาที่จ้าวเหวินเทา
จ้าวเหวินเทารับประทานอาหารไปพลางพูดไปพลาง “ตอนแรกก็ไม่มีแล้ว แต่ตอนนี้มีอีกแล้ว แถมยังเยอะกว่าก่อนหน้านี้ด้วย แต่ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนั้นแล้วล่ะ คนเรามันก็ติดหนี้กันไปติดหนี้กันมานั่นแหละ แบบนี้ถึงจะเรียกว่ารสชาติชีวิต”
“นายฟังสิ พวกนายฟังสิ เป็นคนที่ซื้อที่ดินในเมืองจริง ๆ คำพูดที่พูดออกมาแตกต่างกันเลย!” เลขาพูดด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา คุณพ่อจ้าวพูดถ่อมตนสองสามประโยค ส่วนพี่สามจ้าวก็กล่าวยกยอปอปั้น
พี่สามจ้าวยิ้มอย่างจริงใจ คนอื่น ๆ ก็พูดเออออไปด้วย
จ้าวเหวินเทากล่าว “นี่ผมก็ปลอบใจตัวเองอยู่นะ คุณคิดว่าคนคนหนึ่งจะมีความสามารถขนาดไหน ทำเรื่องใหญ่ได้มากขนาดไหนกันเชียว นี่ก็เป็นเพราะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการค้าขาย ต่างก็ต้องช่วยกันและกัน ดังนั้นเป็นหนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ผมก็คิดได้แล้วล่ะ”
เลขาพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “เหวินเทา นายซื้อที่ดินในหมู่บ้านมาเลี้ยงกระต่าย จะพึ่งพาได้จริง ๆ เหรอ? เลี้ยงกระต่ายมากขนาดนั้นจะขายออกเหรอ?”
จ้าวเหวินเทาได้ทำการเจรจาซื้อที่ดินแล้วก็จริง แต่เลขายังแอบเป็นกังวล พวกเขาต่างก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เขาเห็นจ้าวเหวินเทาเติบโตมาตั้งแต่เล็กจนกระทั่งก้าวหน้า ทั้งยังนำชื่อเสียงของข้าวซานถุนกระจายออกไปสู่ข้างนอก เขาจึงไม่อยากเห็นจ้าวเหวินเทาล้ม
“เลขา เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องขายของยังไงก็ขายออกอยู่แล้ว ปัญหาเดียวก็คือกลัวเรื่องโรคนี้แหละ ดังนั้นสถานที่ที่ผมซื้อต้องใหญ่สักหน่อย แบบนี้พวกมันก็จะได้มีพื้นที่กว้างขวาง ร่างกายก็จะดีขึ้นด้วย” จ้าวเหวินเทากล่าว
“แล้วคนที่อยู่ในเมืองกินกระต่ายกันทุกวัน ตอนนี้พวกเขามีเงินขนาดนี้เลยเหรอ?” เลขายังแอบไม่เชื่อเท่าไรนัก “ฉันจำได้ว่าคนในเมืองต่างก็ใช้คูปองอาหารแลกข้าวกินกัน ไม่มีใครได้กินอิ่มเลย ถึงกับต้องมาแลกอาหารที่ชนบทของพวกเรา นี่เพิ่งจะไม่กี่ปีเองนะ สามารถกินเนื้อได้แล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่กินเนื้อได้ แต่ต้องมีคนกินเนื้อมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน” จ้าวเหวินเทากล่าว
“แล้วนายจะติดตั้งโทรศัพท์ไปทำไม?” พี่สามจ้าวอดไม่ได้ที่จะถามแทรกขึ้นมา
คำถามนี้ค้างอยู่ภายในใจมานานมากแล้ว ที่ดินเขายังพอเข้าใจได้ เพราะนี่เป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่จะติดตั้งโทรศัพท์ไปทำไม เขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
เลขากล่าว “นั่นสิ นายซื้อที่ดินแล้วยังต้องทำรังกระต่าย เงินลงทุนเยอะมากเลยนะ ทำไมนายถึงคิดจะติดตั้งโทรศัพท์อีก ของแบบนั้นต้องจ่ายเงินค่ายเช่าทุกเดือนด้วยนะ!”
จ้าวเหวินเทากล่าวเสียงเรียบ “ติดตั้งโทรศัพท์ก็เพื่อความสะดวกสบาย มีธุระอะไรแค่กดก็โทรหาได้แล้ว ไม่งั้นคงทำให้ล่าช้าเกินไป! ก็เหมือนกับตอนที่ผมไปดำเนินเรื่องซื้อขายที่ดินในเมืองครั้งในไง ไม่กลับมาคืนเดียว ก็มีคนไปพูดว่าผมทะเลาะกับชาวบ้านจนถูกขังแล้ว แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ ผมเองก็ไม่ได้ไปสร้างความขุ่นเคืองให้ใคร มาพูดจาหยอกล้อผมแบบนี้ ทำให้ภรรยาของผมทั้งกังวลทั้งกลัว เลขา จะไม่ให้ผมติดตั้งโทรศัพท์อีกเหรอ? จะกล้าไม่ติดตั้งได้เหรอ? ถ้ายังไม่ติดตั้งโทรศัพท์ ครั้งหน้าก็คงพูดถึงผมไปในเรื่องอื่นอีก!”
เลขาย่อมได้ยินมาแล้ว เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร ถ้าจ้าวเหวินเทาทะเลาะกับคนอื่นจนถูกขังจริง ๆ สถานีตำรวจคงส่งคนมาแจ้งแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนในหมู่บ้านพูดจาซี้ซั้ว แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะพูดเหลวไหลจนออกทะเลแบบนั้น
“ใครใช้ให้แกพูดไม่ชัดเจนล่ะ!” คุณพ่อจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าแกพูดให้มันชัดเจน ใครจะพูดถึงแกแบบนั้น?”
จ้าวเหวินเทากล่าว “ก็ผมไม่อยากทำตัวให้กลายเป็นจุดสนใจไง อีกอย่าง ถ้าผมพูดแบบนั้นจริง ๆ ก็ต้องมีคนบอกว่าผมโอ้อวดอีก”
มีความเป็นไปได้แบบนี้จริง ๆ เลขาแอบรำพึงในใจ เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เหวินเทา ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเรื่องเข้าใจผิด ผ่านเรื่องในครั้งนี้ไปแล้ว หลังจากนี้คงไม่มีอีกแล้วล่ะ ในหมู่บ้านก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น นายอย่าเก็บไปคิดเล็กคิดน้อยเลย”
“เลขาพูดขนาดนี้แล้ว ผมจะกล้าคิดเล็กคิดน้อยได้ยังไงกัน” จ้าวเหวินเทากล่าวเคล้ารอยยิ้ม
“เจ้าเด็กคนนี้มีอะไรไม่กล้าบ้าง?” เลขาดื่มเหล้าหนึ่งคำ “นายเลี้ยงกระต่ายมากขนาดนั้น เลี้ยงคนเดียวไหวเหรอ? นายมีแผนจะทำยังไงบ้าง?”
จ้าวเหวินเทาหัวเราะหึๆ “ขอบคุณเลขาที่เป็นห่วงผมนะ ผมวางแผนไว้อย่างดีแล้ว ว่าจะจ้างคนในหมู่บ้านสักสามสี่คน เรื่องเงินค่าจ้างก็คุยกันได้ ทำดีสิ้นปีก็มีรางวัลให้ด้วย คนแบบผมทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แล้ว ใจกว้าง ไม่เอาเปรียบคนอื่นแน่นอน”
คนที่กำลังฟังกันอย่างตั้งใจดวงตาเป็นประกาย จ้างคนในหมู่บ้าน นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ทั้งยังหาเงินได้จากหน้าบ้านด้วย!
จึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้จ้าวเหวินเทามาจ้างตนเอง
เลขาพึงพอใจอย่างมาก “เหวินเทา นายเป็นเด็กดีนะ ไม่ว่าในหมู่บ้านจะมองหรือพูดถึงนายยังไง นายก็ยังคิดอยากจะให้คนในหมู่บ้านได้ลืมตาอ้าปาก เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงหรอก ฉันขอเป็นตัวแทนขอบคุณนายแทนพวกผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ในหมู่บ้านแล้วกันนะ!”
ระหว่างที่พูด เลขาก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาเพื่อคารวะต่อจ้าวเหวินเทา
จ้าวเหวินเทาตื่นตระหนกจนต้องรีบยกแก้วเหล้าขึ้นมา ทั้งยังพูดอย่างรู้สึกเกรงใจว่า “เลขาเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไงผมก็เป็นคนของหมู่บ้านข้าวซานถุนนะ นี่เป็นบ้านของผม คนในหมู่บ้านก็เป็นญาติพี่น้องของผม ทำอาชีพถ้าไม่ดึงคนของตัวเองจะให้ไปดึงคนอื่นเหรอ นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว!”
“พูดจาเปิดเผยดีนะ! สมกับที่เป็นลูกผู้ชาย!” เลขาดื่มเหล้าหมดจอก
จ้าวเหวินเทาก็รีบดื่มจนหมดจอกเช่นกัน
พี่สามจ้าวได้ยินก็แอบชื่นชมอยู่ในใจ ฟังเข้าสิ คำพูดของเจ้าหกสวยงามขนาดไหน สามารถซื้อใจคนได้เลย เขาต้องเรียนรู้สักหน่อย
ชั่วขณะหนึ่งเขาเกิดความคิดอยากจะหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมาจด
หลังจากดื่มเหล้าสามรอบรับประทานอาหารห้ารส ทุกคนก็รู้สึกดีขึ้นมา พวกเขาเล่นเกมเป่ายิงฉุบใครแพ้ดื่มเหล้า จ้าวเหวินเทาและเลขาดื่มสลับกันไปมา เลขาก็ยอมแพ้ เขาโบกมือไม่เล่นแล้ว และบอกให้พวกเขาที่เป็นเด็กหนุ่มเล่นกันเอง ส่วนตนเองย้ายไปคุยกับคุณพ่อจ้าวแทน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เหวินเทาจะจ้างใครบ้างไม่รู้ ที่แน่ ๆ พวกเอาเหวินเทาไปนินทาลับหลังแล้วยังเผยแพร่ข่าวลือผิด ๆ นี่อย่าหวังว่าจะโดนจ้างเลย
ไหหม่า(海馬)