เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 257 เรื่องกวนใจของพี่สาวห้า
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 257 เรื่องกวนใจของพี่สาวห้า
ตอนที่ 257 เรื่องกวนใจของพี่สาวห้า
พี่สาวห้าจ้าวพยักหน้า “นั่นน่ะสิ ตอนนี้ข้างนอกเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย ทุกวันเวลาเข้างานกับเลิกงาน ก็รู้สึกได้ว่าเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน”
“ใช่ โดยเฉพาะตลาดในอำเภอ นี่เพิ่งจะปีเดียวเองนะ คึกคักกว่าตลาดของพวกเราอีก คึกคักทุกวันเลยด้วย! ฉันรู้สึกได้ว่าจู่ ๆ ผู้คนก็มีเงินขึ้นมา!” พี่สาวใหญ่จ้าวเอ่ย
“พี่สาวใหญ่ นี่พี่มีความคิดอะไรบางอย่างใช่ไหมคะ?” พี่สาวห้าจ้าวถาม
พี่สาวใหญ่จ้าวยิ้มด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ฉันจะมีความคิดอะไรได้ ฉันทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ให้ไปทำค้าขายก็ยังหน้าบางเลย”
“พี่ยังมีพี่เขยใหญ่อยู่ทั้งคนยังต้องทำอะไรอีก” พี่สาวห้าจ้าวกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
พี่สาวใหญ่จ้าว “ถึงยังไงเงินที่พี่เขยของเธอได้มาก็มีจำนวนจำกัด ลูก ๆ ก็โตขึ้นทุกวัน รายจ่ายก็มากขึ้นด้วย ฉันเองก็ร้อนใจ”
“ไม่ไปถามเหวินเทาดูล่ะ” คุณแม่จ้าวกล่าว “เขามีลู่ทางเยอะแยะ รู้จักคนก็เยอะ น่าจะช่วยออกความเห็นดี ๆ ให้แกได้นะ”
พี่สาวห้าจ้าวกล่าว “ไม่ต้องถามฉันก็รู้ว่าเหวินเทาจะให้พี่สาวใหญ่ของฉันไปทำอะไร ต้องเลี้ยงกระต่ายแน่นอน!”
พี่สาวใหญ่จ้าวส่ายหน้า “เลี้ยงกระต่ายไม่ได้หรอก บ้านฉันมีพื้นที่แค่นั้นเอง เลี้ยงน้อยก็ขายได้ไม่เท่าไร เลี้ยงมากไปก็ไม่มีที่ให้อยู่ กลิ่นก็แรงด้วย”
“แม่สามีของพี่ก็ตัดชุดให้คนอื่นไม่ใช่เหรอ พี่สาวใหญ่ก็ทำงานนี้ได้นี่” พี่สาวห้าจ้าวกล่าว
“มีงานไม่เยอะ แม่สามีฉันทำคนเดียวได้” พี่สาวใหญ่จ้าวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “อีกเดี๋ยวฉันจะไปถามฉูฉู่ดู ว่าหล่อนออกแบบเสื้อผ้ายังไง ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากลองดู”
พี่สาวห้าจ้าวกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “พี่สาวใหญ่ ฉันรู้อยู่แล้วว่าพี่ชอบงานของฉูฉู่”
“ได้เงินมากขนาดนั้น ใครจะไม่ใจเต้นบ้าง” พี่สาวใหญ่จ้าวก็ไม่ได้ใส่ใจ จึงถามว่า “ฉันได้ยินมาว่าโรงงานยาสีฟันอยู่ในช่วงตกต่ำ เธอวางแผนไว้หรือยัง?”
สีหน้าของพี่สาวห้าจ้าวไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หล่อนกระซิบเสียงเบา “แม่สามีของฉันเริ่มเป็นปีศาจอีกแล้ว บอกว่าจนถึงตอนนี้ฉันยังไม่มีลูกชายสักคน เอาแต่พึ่งลูกชายของหล่อนให้เลี้ยงดู ไปทำงานอะไร ได้เงินมาแค่นั้น ยังไม่พอซื้อข้าวเลยด้วยซ้ำ สู้กลับไปดูแลพวกเขายังจะดีเสียกว่า!”
คุณแม่จ้าวถลึงตา “นี่มันอะไรกัน ดูแลพวกเขา? ฮะ! ปากดีจริง ๆ เลยนะ พวกเขาแขนขาดหรือขาด้วนล่ะ เป็นอัมพาตติดเตียงหรือทั้งกินทั้งขี้อยู่บนเตียง ถึงได้เรียกให้ลูกไปดูแล?”
“นั่นสิ ร่างกายยังดี ๆ แต่เรียกให้คนอื่นไปดูแล หน้าหนาชะมัด” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว “แล้วน้องเขยห้าว่ายังไงบ้าง”
“ยังจะพูดอะไรได้ล่ะ ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา แล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งด้วย ควรไปทำงานก็ไปทำงาน” พี่สาวห้าจ้าวแอบบ่น “เขาก็พูดได้สิ ออกไปตั้งหลายเดือน พ่อแม่ของเขาไม่เห็นเขาแม้แต่เงา ฉันกับลูกยังอยู่ในบ้าน พูดอะไรก็ต้องฟัง พวกเขาต่างก็เป็นผู้อาวุโส ฉันจะพูดอะไรได้ ก็ทำได้แค่ฟังนั่นแหละ!”
พี่สาวห้าจ้าวยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ “ฉันก็พอจะมองออกนะ ถ้าโรงงานเจ๊งจริง ๆ ฉันคงต้องกลับไปดูแลพวกเขาแล้วแหละ!”
“ได้ไงล่ะ พวกเขาไม่ใช่คนแก่อายุเยอะสักหน่อย เธอไม่กลับไปดูแลพวกเขาก็ทำอะไรเธอไม่ได้” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว
น้ำเสียงของพี่สาวห้าจ้าวไม่ค่อยดีเท่าไรนัก “แม่กับพี่ไม่เข้าใจหรอก เมื่อปีก่อนตอนที่แม่สามีของฉันป่วย ก็นอนติดเตียงขยับตัวไม่ได้ เรียกให้ฉันไปทำอาหารให้ ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็อยู่บ้านกันหมด แต่ไม่มีใครทำอาหารเลยสักคน? ฉันเอาของไปเยี่ยมนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็กลับเลย อยากกินก็กิน ไม่ทำกินเองก็หิวไปเถอะ ฉันก็ไม่ได้คุ้นเคยกับพวกเขาสักหน่อย!”
“เธอทำแบบนี้ถูกต้องแล้วล่ะ เพราะถ้าครั้งนี้ยอมถอยให้ ครั้งหน้าก็ยังต้องถอยอีก” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว
คุณแม่จ้าวฟังลูกสาวทั้งสองคนพูดคุยกัน ก็อดไม่ได้ที่จะแอบคิดมาก
ลูกสาวทั้งสองคนแต่งงานกับสามีที่ไม่เลวเลยถ้าพูดในแง่ของฐานะทางเศรษฐกิจ แต่พอนานวันเข้าก็เผยปัญหาต่าง ๆ ออกมา ลูกสาวคนโตยังดีหน่อย มีทั้งลูกชายและลูกสาว แม่สามีเห็นว่ามีหลานชายจึงไม่ได้สร้างความลำบากใจให้ลูกสาวคนโต แต่ลูกสาวคนเล็กนั้นไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หลังจากแต่งงานก็ไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเลย แม้จะไม่มีลูกชาย แต่ก็ยังดีลูกเขยเป็นคนเอาถ่าน จึงซื้อบ้านแยกออกมา เพียงแต่ระยะเวลาหลายปีนี้ยังมีลูกแค่คนเดียว ถ้าเป็นลูกชายก็ยังดีหน่อย แต่หล่อนกลับคลอดลูกสาว บ้านแม่สามีจึงมีเรื่องให้แซะเหน็บแนม ที่สำคัญคือระยะเวลานานวันเข้า ลูกเขยจะรังเกียจลูกสาวของนางเพราะไม่มีลูกชายหรือเปล่า? เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก
ไม่ใช่ว่าคุณแม่จ้าวคิดมากเกินไป แต่ในความเป็นจริงแม่สามีของลูกสาวคนเล็กเป็นปีศาจร้ายมากเกินไปต่างหาก ลูกเขยก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน มีเรื่องอะไรลูกสาวคนเล็กก็ต้องรับหน้าเพียงลำพัง ครั้งสองครั้งยังพอทน แต่ถ้าสามครั้งสี่ครั้ง เกิดลูกสาวคนเล็กทนไม่ไหวทะเลาะกันขึ้นมาแล้วเรื่องไปถึงหูลูกเขย ลูกเขยจะคิดอย่างไร จิตใจของผู้ชายคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน เมื่อใจของผู้ชายเปลี่ยนไป คนที่เจ็บปวดก็คือผู้หญิง
คำพูดนี้ไม่สามารถพูดออกมาได้ คุณแม่จ้าวทำได้เพียงแค่วางแผนในใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็ต้องให้พี่สาวห้าจ้าวทำเวลาเพื่อคลอดลูกชายให้ได้
ครั้นเตรียมไส้เกี๊ยวและแป้งไว้อย่างดีแล้วก็ยกมาที่เตียงเตา ทุกคนต่างลงมือพร้อมกัน มีหลายคนช่วยห่อจึงเสร็จเร็ว คุณแม่จ้าวมองเวลาก็พบว่ายังเช้าอยู่ นางจึงทำอาหารเพิ่มอีกสี่อย่างและบดกระเทียม ตอนที่ต้มเกี๊ยวเสร็จกำลังจะลงมือรับประทาน จ้าวเหวินเทาก็มาที่บ้าน
“อ้าว เหวินเทามาแล้ว นายนี่มีลาภปากจริง ๆ เลยนะ เกี๊ยวต้มเสร็จก็มาเลย” พี่เขยใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
จ้าวเหวินเทายิ้ม “ผมรู้อยู่แล้วว่าพวกพี่ต้องมาสวัสดีปีใหม่กันวันนี้ ผมก็เลยตั้งใจมา เอาเหล้าชั้นดีมาสองขวดด้วยนะ!” ระหว่างที่พูดก็ยกเหล้าในมือขึ้นมา “เหล้าเฉินเหนียนเหล่าเจี้ยว พวกพี่ลองชิมดู!”
“ต้องลองชิมเหล้าที่เหวินเทาเอามาอยู่แล้ว” พี่เขยห้ารีบรับไป
“ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม?” คุณแม่จ้าวยกเกี๊ยวเข้ามาพร้อมกับถาม
“ยังเลย ผมกะว่าจะมาดื่มเหล้ากับพวกพี่เขยนี่แหละ” จ้าวเหวินเทาถอดรองทึ้ขึ้นเตียง
ทุกคนต่างมีความสุขมาก แล้วคุณแม่จ้าวก็ถามขึ้น “ฉูฉู่ล่ะ รู้ใช่ไหมว่าลูกมาที่นี่?”
“รู้สิ ผมบอกฉูฉู่แล้ว หล่อนเองก็ห่อเกี๊ยวอยู่ที่บ้านเหมือนกัน” จ้าวเหวินเทารับประทานเกี๊ยวไปหนึ่งคำ รสชาติไม่ได้อร่อยเหมือนกับที่ภรรยาทำ แต่ก็ไม่เลวเลย
ฝีมือของเย่ฉูฉู่ทำให้อาหารของคนอื่นถูกปากเขายากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้แม้แต่อาหารฝีมือแม่ตัวเองก็แอบไม่คุ้นลิ้นเสียแล้ว
“ฉูฉู่ห่อเกี๊ยวเองด้วยเหรอ” พี่สาวใหญ่จ้าวประหลาดใจมาก “เสี่ยวไป๋หยางไม่งอแงเหรอ?”
“ถ้าพี่บอกให้เขานั่งดู เขาก็ไม่งอแงแล้ว” จ้าวเหวินเทากล่าว “ไม่ต้องเป็นกังวลอะไรเลย”
“เด็กคนนั้นไม่รบกวนเวลาทำงานของผู้ใหญ่สักนิด” คุณแม่จ้าวกล่าว “แค่ใส่ไว้ในรถเข็น ให้นั่งดูผู้ใหญ่ทำงานก็เรียบร้อยแล้ว”
“ไม่เลวเลยนะ ถ้าเป็นเด็กที่มีปัญหาละก็ แค่ผู้ใหญ่จะกินข้าวก็ยังไม่ได้กินเลย” พี่สาวห้าจ้าวกล่าว
“เสี่ยวไป๋หยางเลี้ยงง่ายมาตั้งแต่เล็กแล้ว” จ้าวเหวินเทากล่าว “ฉูฉู่ทำได้ทุกอย่างเลย”
“ได้ยินว่านายซื้อที่ดินในเมืองแล้วเหรอ?” พี่เขยใหญ่จ้าวถาม
“ใช่ ข่าวไปถึงพี่ไวมากเลยนะเนี่ย” จ้าวเหวินเทาแย้มยิ้ม
“เพิ่งได้ยินมาจากพ่อนี่แหละ” พี่เขยใหญ่จ้าวก็ยิ้มตอบเช่นกัน “นายนี่มีความสามารถมากเลยนะ นี่ก็ซื้อที่ดินในเมืองแล้วด้วย!”
“บังเอิญทั้งนั้นแหละครับ” จ้าวเหวินเทาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปหนึ่งรอบ
ทุกคนประหลาดใจมาก ตอนนั้นจ้าวเหวินเทาไม่มีเงิน ทั้งยังใช้เงินที่ได้ ณ ตอนนั้นทำให้ซื้อฟาร์มกระต่ายได้ นี่มันกล้าหาญเกินไปหน่อยแล้วมั้ง?
พี่เขยห้าจ้าวอดไม่ได้ที่จะถาม “เหวินเทา ตอนนั้นถ้าหวังหยางคนนั้นไม่เหมาที่ดินของนายจะทำยังไง? นายจะไปเอาเงินมาจากที่ไหน?”
“เขาไม่เหมาที่ดินก็ยังมีคนอื่น มีของอยู่ในมือจะกลัวอะไร?” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความมั่นใจ
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงว่า ถ้าตอนนั้นนายไม่สามารถนำเงินออกมาได้ เลยเวลาที่กำหนดเงินมัดจำที่นายจ่ายให้ฟาร์มกระต่ายก็ถือว่าเสียเปล่าน่ะสิ” พี่เขยห้ากล่าว
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อยู่ในบ้านที่แม่สามีเรื่องมากแบบนี้มันก็ลำบากใจเหนื่อยกายเหมือนกันนะคะ ดีที่แยกบ้านกันอยู่แล้ว
ไหหม่า(海馬)