เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 259 ลูกต้องมาก่อน
ตอนที่ 259 ลูกต้องมาก่อน
เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่สาวห้าจ้าวพูด เย่ฉูฉู่จะพูดอะไรได้ เธอหันไปหาพี่สาวใหญ่พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนแก่ ๆ ต่างก็ชอบหลานชายกันทั้งนั้น พี่สาวห้าไม่ต้องเก็บไปใส่ใจหรอกค่ะ ตอนนี้ที่ฟาร์มกระต่ายของเหวินเทากำลังสร้างรังกระต่ายอยู่ และกำลังจ้างคนด้วย รอให้สร้างรังกระต่ายเสร็จ ก็น่าจะได้คนมาพอดี พี่ลองคุยกับพี่เขยห้าดูนะคะ ถ้าจะกลับมา เดี๋ยวฉันให้เหวินเทาจัดเตรียมให้”
พี่สาวห้าจ้าวไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะกลับมาแก้ปัญหานี้ ถึงอย่างไรตอนนี้หล่อนก็ยังทำงานอยู่ในโงงาน แต่เมื่อได้ยินเย่ฉูฉู่พูดแบบนี้ มันก็ดูเหมือนจะไม่เลวเลย สามีของหล่อนก็ออกไปวิ่งรถข้างนอกเป็นประจำ ในบ้านก็มีแค่หล่อนกับลูก แม่สามีทางฝั่งนั้นก็พึ่งพาอะไรไม่ได้ มีเรื่องอะไรหล่อนก็ไม่ไปหาอยู่แล้ว ถ้าได้กลับมาอยู่ที่บ้านแม่ที่นี่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็มีคนคอยช่วยเหลือ ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมเลย
เพียงแต่ติดปัญหาเรื่องส่งลูกเข้าเรียน การศึกษาในตัวอำเภอย่อมดีกว่าในชนบทนิดหน่อยอยู่แล้ว
“เดี๋ยวฉันจะกลับไปคุยกับพี่เขยห้าเธอดูนะ” พี่สาวห้าจ้าวกล่าว
เย่ฉูฉู่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย เธอกล่าวถึงธุรกิจเสื้อผ้าของโจวหมิ่น พี่สาวใหญ่จ้าวก็ถามถึงเสื้อผ้าที่เย่ฉูฉู่ออกแบบว่าได้เงินมากขนาดนั้นจริงหรือไม่
“ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว พี่สะใภ้สามบอกว่าตอนนี้ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก ในเมืองมีคนรวยเยอะเลยนะคะ แถมยังใช้ชีวิตกันอย่างดีด้วย ไม่ว่าจะกินหรือสวมใส่อะไรก็พิถีพิถัน” เย่ฉูฉู่อธิบายถึงจดหมายที่โจวหมิ่นเขียนมาหา “โดยเฉพาะต่างประเทศ คนมีเงินยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ พวกเขามาลงทุนที่นี่ แล้วก็ชอบสไตล์ที่มีความคลาสสิกนี้ เหมือนกับชุดกี่เพ้าที่พี่สะใภ้สามของฉันบอกว่าหนึ่งตัวมีราคาหลายพันไปจนถึงหลายหมื่นเลยด้วย ฉันได้ยินก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน แต่พี่สะใภ้สามบอกว่านี่เป็นเรื่องปกติมาก”
พี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวยิ่งตกตะลึง เสื้อผ้าหนึ่งชุดราคามากกว่าหลักหมื่น คนที่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ได้ต้องมีเงินมากเลยนะ!
“ไม่แปลกใจเลยที่คนวิ่งเข้าไปในเมืองกันหมด ครอบครัวหมื่นหยวนของพวกเรายังสู้ไม่ได้เลย ฝั่งนู้นเขาใส่เสื้อผ้าตัวเป็นหมื่นกันแล้ว!” พี่สาวใหญ่จ้าวส่ายหน้ารัว ๆ “แบบนั้นต้องหาเงินมากเท่าไรเนี่ย”
“ต่อให้มีเงินก็ไม่สามารถใส่ชุดหลักหมื่นได้หรอก นี่มันสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว อีกอย่างถึงฉันจะมีเงินก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี!” พี่สาวห้าจ้าวครุ่นคิดว่าหากตนเองมีเงินหมื่น คงไม่มีทางนำไปซื้อเสื้อผ้า
“พวกเขาซื้อเสื้อผ้าหลักหมื่น อาจจะเหมือนกับพวกเราที่จ่ายเงินไม่กี่เหมาเพื่อซื้อของก็ได้นะ” เย่ฉูฉู่เองก็นึกภาพไม่ออกเช่นกัน แต่ก็เทียบกับสิ่งที่ตนคุ้นเคย
“คนเทียบกับคนต้องตายไปข้างหนึ่งจริง ๆ ได้ยินคนอื่นใช้ชีวิตแบบไหน เสื้อผ้ายังแพงถึงหลักหมื่น ชาตินี้ทั้งชาติพวกเราคงหาเงินถึงหมื่นไม่ไหวหรอก” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าวด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“คนพวกนี้ทำค้าขายกันหมดเลยเหรอ?” พี่สาวห้าจ้าวกล่าว “หวยเหรินบอกว่าค้าขายได้เงินดีที่สุด โดยเฉพาะการค้าขายแบบใหญ่ ๆ!”
เย่ฉูฉู่ยิ้ม “ดูเหมือนว่าจะใช่นะคะ ตั้งแต่สมัยโบราณ การทำธุรกิจได้เงินดีที่สุดแล้ว”
“ไม่แปลกใจเลยที่เหวินเทาอยากค้าขาย ไม่ว่าอะไรก็ไม่ยอมทำสักอย่าง จิตใจจดจ่ออยู่กับการซื้อขายอย่างเดียวเลย บางทีอนาคตเหวินเทาอาจจะหาเงินได้หลายหมื่นกลับมาก็ได้ ฉูฉู่เธอเองก็จะได้ใส่ชุดหลักหมื่นด้วย” พี่สาวห้าจ้าวกล่าว
เย่ฉูฉู่รีบส่ายหน้ารัว ๆ “ต่อให้เหวินเทาได้เงินเยอะขนาดนั้น ฉันก็ไม่ใส่เสื้อผ้าหลักหมื่นหรอกค่ะ ฉันกลัวว่าจะเป็นการเผาเงินน่ะสิ”
เผาเงินในที่นี้หมายความว่าไม่เป็นอิสระ สิ้นเปลืองเกินไป
พี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวถึงกับหัวเราะ
หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว จึงลุกขึ้นเพื่อเดินกลับ
“พี่สาวใหญ่ พี่สาวห้า พวกพี่อยู่ค้างสักคืนสิคะ อยู่กินข้าวที่นี่ก่อนแล้วค่อยกลับ” เย่ฉูฉู่กล่าว
“ไม่ค้างแล้วล่ะ ออกจากบ้านนานไม่ได้ คนแก่ ๆ อยู่บ้านกันสองคนแล้วฉันไม่สบายใจ” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว
“พี่สาวใหญ่นั่งรถพวกเรากลับน่ะ พี่สาวใหญ่กลับ พวกเราก็ต้องกลับด้วย” พี่สาวห้าจ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาไม่เป็นไร เพราะใช้ชีวิตกันเอง ไม่ต้องคิดพิจารณาให้มากมาย
“ฉูฉู่ เธอไม่ต้องออกมาแล้ว ข้างนอกหนาวเกินไป ไหนจะลูกอีก” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว
“ไม่เป็นไร พี่สาวใหญ่ พี่สาวห้า เดี๋ยวฉันไปส่งพวกพี่ที่หน้าประตู” เย่ฉูฉู่คลุมเสื้อกันหนาวบุนวมแล้วเดินมาส่งที่หน้าประตู เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินออกไปแล้วจึงกลับเข้ามาในบ้าน
พี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ระหว่างที่เดินก็พูดคุยกันว่า “เหวินเทาสร้างบ้านไกลจริง ๆ”
“ที่ดินตรงนี้กว้างขวาง อยู่ใกล้กับเขาป้านลาด้วย คิดว่าตอนนั้นเหวินเทาคงคิดไว้อยู่แล้วว่าจะทำฟาร์มกระต่าย” พี่สาวห้าจ้าวกล่าว
“เหวินเทานี่มีความสามารถจริง ๆ ซื้อที่ดินในเมืองเพื่อปล่อยเช่า แล้วมาซื้อที่ดินในชนบท นี่แค่ไม่กี่ปีเองนะ กลับทำธุรกิจครอบครัวขึ้นมาได้ใหญ่โตขนาดนี้แล้ว” พี่สาวใหญ่จ้าวชื่นชมเป็นอย่างมาก
น้องชายคนเล็กของหล่อนคนนี้ฉลาดมาตั้งแต่เด็ก แต่น่าเสียดายที่ขี้เกียจและทะเยอทะยานมากไปหน่อย จึงไม่มีใครเชื่อในตัวเขาสักคน
“ก่อนหน้านี้ต่างก็พูดกันว่าเหวินเทาไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง อนาคตคงได้อดอยากปากแห้ง ตอนนี้เป็นไงล่ะ ในหมู่บ้านมีใครได้กินดีอยู่ดีสู้เหวินเทาได้บ้าง?” พี่สาวห้าจ้าวส่งเสียง ‘หึ’ ออกมาหนึ่งเสียง “เหวินเทาใจสู้มากจริง ๆ!”
“แล้วเธอล่ะ อยากกลับมาช่วยเหวินเทาดูแลฟาร์มกระต่ายไหม ฉันว่าตอนนี้เขาต้องการคนแน่นอน”
พี่สาวห้าจ้าวถอนหายใจ “ฉันอยากกลับมามากเลย แต่เป็นห่วงลูกนี่แหละค่ะ”
พี่สาวใหญ่จ้าวเข้าใจได้ การศึกษาภายในอำเภอดีกว่าชนบท หากพี่สาวห้าจ้าวกลับมา หล่อนก็ต้องพาลูกกลับมาเรียนต่อในชนบทด้วย ถ้าทำให้อนาคตของลูกล่าช้าจะทำอย่างไร?
คำพูดนี้หล่อนเองก็รู้สึกไม่ดีที่จะพูด “งั้นเธอก็ไปปรึกษากับหวยเหรินดูนะ”
“ถ้าแม่สามีเป็นคนดี ก็คงฝากลูกไว้ที่นั่นได้ แต่ตอนนี้อย่าหวังเลยค่ะ” พี่สาวห้าจ้าวกล่าว
“ต่อให้แม่สามีเธอเป็นคนดี เธอก็ฝากลูกไว้ที่นั่นไม่ได้อยู่ดี ลูกอยู่ใกล้ตัวนี่แหละดี ถ้าไม่อยู่ใกล้ตัว นานวันเข้าก็ไม่สนิทกับเธอแล้ว” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว “ไม่ว่ายังไง ลูกก็ต้องมาก่อนนะ”
พี่สาวห้าจ้าวพยักหน้าเบา ๆ หล่อนเองก็คิดเช่นนี้
ท้องฟ้ามืดแล้ว จ้าวเหวินเทากลับมาที่บ้าน เย่ฉูฉู่ทำโจ๊กไว้นิดหน่อย พวกเขาทั้งสองคนและหนึ่งลูกลิงจึงนั่งรับประทานอยู่หน้าโต๊ะและพูดคุยไปด้วย เย่ฉูฉู่จึงเล่าเรื่องที่เธอบอกให้พี่สาวห้ากลับมาเลี้ยงกระต่ายให้เขาฟัง
จ้าวเหวินเทากล่าว “พี่เขยห้าก็พูดเรื่องนี้กับผมเหมือนกัน ผลประกอบการโรงงานของพี่สาวห้าไม่ดีเลย ป่าวประกาศว่าจะเลิกจ้างพนักงาน ถึงแม้ว่าพี่สาวห้าถูกเลิกจ้างแล้วจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่ภายในใจของพี่สาวห้าคงรู้สึกไม่ดีแน่นอน อีกอย่างบ้านแม่สามีทางฝั่งนั้นก็เอาแต่เข้ามาแทรกแซงชีวิตของพวกเขาอยู่ตลอด พี่เขยเองก็ออกไปวิ่งรถข้างนอก มีเรื่องอะไรก็กลับมาไม่ทัน พี่สาวห้าเลยต้องรับหน้าเอง กลับมาช่วยผมเลี้ยงกระต่ายก็ดีมากเลยนะ เพียงแต่เป็นกังวลเรื่องเรียนของลูกนั่นแหละ”
เย่ฉูฉู่กลับคิดไม่ถึงเรื่องที่ลูกของพี่สาวห้าต้องเข้าเรียน จึงถามด้วยความประหลาดใจ “หมู่บ้านของเราก็มีโรงเรียนนี่คะ”
“โรงเรียนในหมู่บ้านจะเทียบกับในอำเภอได้ยังไง” จ้าวเหวินเทาบุ้ยปาก “อันที่จริงผมก็คิดว่าโรงเรียนในหมู่บ้านดีมากเลยนะ เข้าเรียนวันละแปดคาบ วันหยุดการบ้านก็ไม่เยอะ ทำเสร็จก็ออกไปวิ่งเล่นได้ ไม่เหมือนในอำเภอที่เรียนจบจากในโรงเรียนยังต้องไปเรียนพิเศษอีก มีทั้งเรียนร้องเพลง เรียนเต้นอะไรก็ไม่รู้ เด็ก ๆ ไม่มีเวลาได้ออกไปเล่นเลยด้วยซ้ำ!”
เย่ฉูฉู่เพิ่งเข้าใจว่าทำไมพี่สาวห้าจ้าวถึงลังเล ที่แท้ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เอง
“เด็กเล็กเรียนเยอะ ๆ มันก็มีข้อดีนะ” เธอหันไปมองเสี่ยวไป๋หยางที่กำลังนอนเล่นอยู่คนเดียวปราดหนึ่ง
“สิ่งสำคัญสำหรับเด็กเล็กคือการได้เล่น เรียนเยอะขนาดนั้นก็เท่ากับใช้เงินเพื่อหาความทุกข์ทรมาน ผมเองก็ไม่เคยเรียนร้องเพลงมาก่อนก็ยังร้องเพลงเพราะเลย ผมไม่เคยเรียนค้าขายแต่ก็ค้าขายได้เก่งกว่าคนอื่น ๆ ของพวกนี้ไม่ต้องเรียนก็ทำได้ คุณต้องชอบมันก่อน ถ้าไม่ชอบแล้ว การถูกบังคับให้เรียนจะทุกข์ทรมานขนาดไหน!” จ้าวเหวินเทาพูดเหตุผลเป็นข้อ ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เหวินเทาก็มีหัวคิดเรื่องการเลี้ยงลูกดีเหมือนกันนะคะ เห็นเด็กเล็กสมัยนี้แล้วรู้สึกเหนื่อยแทน พอเริ่มพูดได้เขียนได้ก็โดนพ่อแม่จับเรียนกวดวิชาแล้ว ไม่มีโอกาสได้ออกไปเล่นกับเพื่อนเลย
ไหหม่า(海馬)