เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 272 กุยช่ายที่ตระหนักรู้(1)
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 272 กุยช่ายที่ตระหนักรู้(1)
ตอนที่ 272 กุยช่ายที่ตระหนักรู้(1)
ตอนที่ 272 กุยช่ายที่ตระหนักรู้(1)
เย่หมิงเป่ยนอนลงบนเตียงและพูดคุยกับโจวหมิ่น
“หมินหมิ่น คุณไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้ก็ได้ ตอนนี้ชีวิตพวกเราก็ดีจะตาย จะเรื่องอะไรก็ปล่อยให้มันค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปนะ”
โจวหมิ่นได้ยินก็ทราบในทันทีว่านี่เป็นความต้องการของแม่สามี หล่อนกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ฉันไม่ได้รีบ วันนี้แค่เกิดเหตุสุดวิสัยเอง”
เย่หมิงเป่ยไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
โจวหมิ่นกล่าว “หมิงเป่ย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการหาเงิน พวกเราต้องใช้เวลานี้เพื่อสะสมทุน จากนี้ก็สามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้แล้ว”
“สิ่งที่อยากทำ?”
“อื้อ คุณมีความฝันไหม?” โจวหมิ่นพูดถึงจุดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “มีไหม?”
เย่หมิงเป่ยย่อมมีความฝันอยู่แล้ว ความฝันของเขาคือการได้ใช้ชีวิตกับโจวหมิ่นอย่างดีไปตลอดทั้งชีวิต!
“หมินหมิ่น ความฝันของผมคือการได้ใช้ชีวิตกับคุณอย่างดีไปตลอดทั้งชีวิต” เย่หมิงเป่ยโอบกอดโจวหมิ่น ทั้งยังพูดอย่างลึกซึ้ง
โจวหมิ่นรู้สึกซึ้งใจมาก ถ้าให้บอกว่าทั้งชีวิตนี้สิ่งที่หล่อนโชคดีที่สุดก็คือการได้กลับมาใช้ชีวิตกับผู้ชายคนนี้อีกครั้ง สิ่งนี้สำคัญกว่ารายได้ที่หล่อนได้รับและโอกาสทางธุรกิจในการหาเงินมาก
“หมิงเป่ย เดิมทีพวกเราก็ต้องใช้ชีวิตอย่างดีทั้งชีวิตอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเรื่องจริง” โจวหมิ่นกล่าว
เย่หมิงเป่ยชอบคำพูดของภรรยา หล่อนสามารถพูดจนคำพูดเข้าไปอยู่ในใจของเขาได้
“หมินหมิ่น ความฝันของคุณคืออะไรเหรอ?” เย่หมิงเป่ยหอมโจวหมิ่นพร้อมกับเอ่ยถาม
โจวหมิ่นดวงตาเป็นประกาย “ความฝันของฉันก็คือ ไม่เป็นกุยช่าย!”
เย่หมิงเป่ยถึงกับมึนงง ไม่เป็นกุยช่าย นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
โจวหมิ่นหัวเราะร่า “ฉันหยอกเล่นน่ะ!”
“หมินหมิ่น คุณหยอกเล่นซะจริงจังเกินไปแล้วนะ ผมก็นึกว่าเป็นเรื่องจริง ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าทำไมถึงไม่เป็นกุยช่าย ทำไมถึงไม่พูดว่าไม่เป็นผักกาดขาวล่ะ?” เย่หมิงเป่ยพูดเล่นด้วยรอยยิ้ม
โจวหมิ่นโอบคอเย่หมิงเป่ย หล่อนจ้องตาเขาพลางกล่าว “เป็นเพราะกุยช่ายต้องตัดทีละช่อ ตัดยังไงก็ไม่จบสิ้น ส่วนผักกาดขาวไม่ได้ เพราะตัดแค่ครั้งเดียวก็เสร็จแล้ว”
เย่หมิงเป่ยไม่เห็นด้วย “หมินหมิ่น ผิดแล้วล่ะ กุยช่ายสามารถตัดให้หมดได้ หลังฤดูใบไม้ร่วงก็หมดแล้ว ส่วนผักกาดขาวก็ไม่สามารถทำให้เสร็จได้ภายในครั้งเดียว กินใบของผักกาดขาวแล้วเก็บตรงกลางของมันไว้ มันก็ยังเติบโตได้ตลอด สามารถกินได้ทั้งฤดูร้อนเลย”
โจวหมิ่นชะงัก หล่อนหัวเราะออกมา “หมิงเป่ย ทำไมคุณถึงน่ารักขนาดนี้เนี่ย! ฮ่า ๆ ขำชะมัดเลย!”
เย่หมิงเป่ยไม่รู้ว่าคำพูดของเขาน่าขำตรงไหน แต่โจวหมิ่นบอกว่าขำก็ขำแล้วกัน เขาจึงหัวเราะตามไปด้วย “ผมพูดไม่ถูกเหรอ?”
โจวหมิ่นพยักหน้า “คุณพูดถูก แต่กุยช่ายที่ฉันพูดถึงเป็นแค่การเปรียบเปรย ไม่ใช่กุยช่ายไว้กิน แต่หมายถึงผู้บริโภค”
เย่หมิงเป่ยแสดงท่าทางตั้งใจฟัง
“หมิงเป่ย เสื้อผ้าที่พวกเราขายดีขนาดนั้น มีคนชอบเยอะแยะขนาดนั้น คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าเพราะอะไร?”
เย่หมิงเป่ยครุ่นคิด “คุณภาพดี สวย เป็นที่นิยม ทันสมัย”
โจวหมิ่นยิ้ม ตอนนี้เย่หมิงเป่ยก็ใช้คำว่าเป็นที่นิยมและทันสมัยเป็นแล้ว ก้าวหน้ามากจริง ๆ
“แล้วถ้าให้คุณซื้อ คุณจะซื้อไหม สมมติว่าถ้าคุณเป็นผู้หญิง ตอบตามความจริงนะ”
เย่หมิงเป่ยยิ้ม “เรื่องนี้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่ใช่ผู้หญิง คิดไม่ออกหรอก แต่ถ้าคุณชอบผมก็จะซื้อให้เธอ”
“ทำไมคุณถึงซื้อให้ฉันล่ะ?”
“ก็เพราะคุณชอบไง”
“แม้ว่าราคามันจะแพงมาก ๆ เนี่ยนะ?”
“ก็ยังซื้ออยู่ดี ตราบใดที่ผมซื้อไหว” เย่หมิงเป่ยตอบโดยไม่หยุดคิด
โจวหมิ่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง นี่คือจิตวิทยา ฉันชอบฉันก็ซื้อ คนที่ฉันชอบถูกใจฉันก็จะซื้อให้เธอ โดยไม่ไตร่ตรองถึงเรื่องอื่น”
เย่หมิงเป่ยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
โจวหมิ่นพูดต่อไปว่า “คนที่ได้กำไรมากที่สุดคือใครล่ะ ไม่ใช่คนที่ซื้อในสิ่งที่ชอบ แต่เป็นคนที่ขายในสิ่งที่คนอื่นชอบ ซึ่งก็คือผู้ขาย ขอแค่ผู้ขายสามารถจับจุดที่ผู้ซื้อชอบได้ก็จะราบรื่นทุกอย่าง ผู้ซื้อแบบนี้ในสายตาของผู้ขายก็คือกุยช่าย ตัดได้ต้นแล้วต้นเล่า ไม่มีวันสิ้นสุด”
เย่หมิงเป่ยฟังไปพลางก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ “หมินหมิ่น แปลว่าคนที่ซื้อของที่ชอบก็มีความผิดเหรอ?”
“คำถามนี้ของคุณดีมากเลย ถูกต้อง ฉันอยากซื้อในสิ่งที่ฉันชอบผิดตรงไหน? ที่สำคัญก็คือ ของที่คุณชอบเยอะเกินไปหรือเปล่า แพงเกินไปหรือเปล่า เป็นของที่คุ้นราคาจริงหรือเปล่า เป็นของที่ชอบในวันนี้แต่วันพรุ่งนี้อาจจะไม่ชอบแล้วหรือเปล่า? หรือจะพูดได้ว่า ชอบแค่ตอนนี้ อีกแค่แป๊บเดียวก็ไม่ชอบแล้ว? แล้วยังไงต่อ ก็ไล่ตามช่วงเวลาที่ใจเต้นแบบนั้นไม่จบไม่สิ้น”
“จะเป็นไปได้ยังไง!” เย่หมิงเป่ยไม่เชื่อ
“ผู้หญิงเป็นแบบนี้กับเรื่องเสื้อผ้า ไม่ว่าในตู้เสื้อผ้าจะมีเสื้อเยอะขนาดไหน เธอก็จะคิดว่าไม่มีเสื้อให้ใส่อยู่ดี ต่างก็คิดอยากจะซื้อเสื้อใหม่ ก็เทียบได้กับเสื้อผ้าที่พวกเราขายนั่นแหละ จะมีลูกค้าสักกี่คนที่รู้ดีไปกว่าฉัน? พวกเธอมาซื้อเสื้อผ้าจากพวกเราเยอะขนาดนั้น และยังคงซื้อเพิ่มอีก นอกจากร้านของพวกเรา พวกเธอจะไม่ซื้อจากร้านอื่นเลยเหรอ? งั้นคุณจะบอกว่าซื้อเสื้อผ้านี้เพื่อสวมใส่อีกไหม?”
มีลูกค้ากลับมาซื้อกี่คนเย่หมิงเป่ยรู้ดี ลูกค้าระดับสูงสิบกว่าคน ลูกค้าระดับกลางสามสิบกว่าคน ลูกค้าระดับล่างอีกร้อยกว่าคน ต่อให้เป็นลูกค้าระดับล่างเสื้อผ้าที่สั่งตัดก็มีราคาหลักร้อยทั้งหมด และสั่งตัดเสื้อผ้าจากพวกเราไม่ต่ำกว่ายี่สิบกว่าชุด ส่วนที่มากที่สุดเขายังไม่ได้คำนวณ แต่เมื่อคำนวณก็ทำให้เขาถึงกับตกใจ
“นี่มัน…แอบน่ากลัวเหมือนกันนะ” เย่หมิงเป่ยไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
โจวหมิ่นกล่าว “ที่ฉันพูดเป็นแค่ชุดหนึ่งตัว ยังมีด้านอื่นอีกนะ รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ ทั้งหมดนี้เป็นการเก็งกำไรทั้งหมดเลย คุณรู้จักสินค้าฟุ่มเฟือยไหม?”
เย่หมิงเป่ยพยักหน้า “ฉันเคยเห็นบนนิตยสาร”
“อือ ของพวกนั้นราคาถึงหลักหมื่นได้ง่าย ๆ เลยนะ แม้แต่ราคาหลายแสนไปจนถึงหลายล้านก็มีเหมือนกัน คุณคิดว่าของพวกนั้นคุ้มราคาไหม?”
เย่หมิงเป่ยตกตะลึงจนไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบ สินค้าฟุ่มเฟือยเขารู้จัก แต่เขาไม่เคยทำความเข้าใจมาก่อน จึงคิดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนเอง
“ไม่คุ้ม!” เย่หมิงเป่ยรู้สึกว่าเสื้อสั่งตัดที่เขาขายก็ไม่ได้คุ้มราคาขนาดนั้น
โจวหมิ่นยิ้ม “ไม่คุ้มแล้วทำไมคนพวกนั้นถึงอยากซื้อล่ะ?”
“เพราะชอบ?”
“ใช่แล้ว งั้นคุณก็ลองคิดดูอีกสิ ทำไมพวกเขาถึงชอบ?”
“สวย?”
“เสื้อผ้าสวย ๆ ที่มีราคาถูกก็มี ทำไมต้องซื้อของที่แพงแบบนั้นให้ได้ล่ะ?”
เย่หมิงเป่ยไม่เข้าใจ เขาไม่เคยซื้อของพวกนั้น จะไปเข้าในความคิดของคนที่ซื้อได้อย่างไร
“เพราะสิ่งที่ซื้อคือตัวตน รสนิยม และความรู้สึกเหนือกว่า” โจวหมิ่นพูดเคล้าความดูหมิ่น “น่าเสียดายนะ ตัวตน รสนิยมและความรู้สึกที่เหนือกว่าเป็นสิ่งที่ผู้ขายมอบให้ผู้ซื้อ คนขายบอกกับคนซื้อ ถ้าคุณยิ่งซื้อของแพงตัวตนของคุณก็จะยิ่งสูง ยิ่งทำให้รสนิยมของคุณดูสูงขึ้น ยิ่งทำให้ความเหนือกว่านั้นสูงส่ง จากนั้นก็จะบอกคุณอีกว่า ซื้อของของเขาคุณคือคนที่เหนือกว่าคนอื่น!”
“ผู้ซื้อคนนั้นก็เชื่อ?” เย่หมิงเป่ยถามจบก็แอบรู้สึกเสียใจขึ้นมา ก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นเสื้อผ้าเหล่านั้นที่พวกเขาออกแบบจะขายออกได้อย่างไรกัน!
“ก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว ไม่งั้นหินผุ ๆ หนึ่งก้อนจะขายในราคาที่สูงลิ่วได้ยังไงล่ะ? เพชรคือความเป็นนิรันดร์ หนึ่งเม็ดนิรันดร์ตลอดกาล นี่คือคำพูดโกหกล้างสมองที่เป็นความสำเร็จมากที่สุดของผู้ขายเลยนะ คุณลองถามดูสิว่ามีผู้หญิงคนไหนใจไม่เต้นบ้าง? ก่อนหน้านี้ฉันเองก็เคยใจเต้นมาก่อน ดังนั้น ความชอบของผู้ซื้อสามารถควบคุมได้ จิตวิทยาของผู้ซื้อสามารถควบคุมได้ ถ้าทำสิ่งนี้สำเร็จ ผู้ขายก็ไม่จำเป็นต้องก้มตัวเก็บเงินแล้ว แค่นั่งรอให้คนเอาเงินมาให้ก็พอ” ระหว่างที่โจวหมิ่นพูด สีหน้าของเธอก็แปลกไป “ฉันเคยเป็นคนที่จ่ายเงินคนนั้น ตอนนี้ฉันจะเป็นคนเก็บเงินแล้ว!”
……………………………………………………………………………………
เป็นสำนวนทางธุรกิจ เปรียบต้นกุยช่ายกับคนรากหญ้าหรือผู้บริโภคทั่วไปในตลาดการเงิน กุยช่ายที่ตระหนักรู้ก็คือผู้บริโภคที่ฉลาดในการเลือกบริโภค
สารจากผู้แปล
เรื่องธุรกิจมีอะไรต้องเรียนรู้จากโจวหมิ่นเยอะเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)