เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 273 กังหันลม
ตอนที่ 273 กังหันลม
ตอนที่ 273 กังหันลม
เรื่องนี้ย่อมหมายถึงชาติที่แล้ว แต่เย่หมิงเป่ยไม่ทราบ คิดว่าเป็นตอนที่โจวหมิ่นอายุยังน้อย เขาจึงกอดหล่อน “หมินหมิ่น คุณไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นนะ ตอนเด็ก ๆ ก็มักจะเกิดแรงกระตุ้นกันทั้งนั้นแหละ”
โจวหมิ่นลูบหน้าเขา “หมิงเป่ย ที่ฉันพูดเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าเสียดายอะไรหรอกค่ะ แต่ฉันอยากบอกคุณ ว่าบางครั้งความชอบของพวกเราก็ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบจริง ๆ แต่เป็นผู้ขายที่บอกให้เราชอบ ถ้าจับจุดนี้ได้ก็เท่ากับจับโดนรหัสความมั่งคั่งเลย แบบนั้นก็จะหาเงินได้ง่ายมากเลยล่ะค่ะ!”
เย่หมิงเป่ยกอดโจวหมิ่นแน่นด้วยความปวดใจ “หมินหมิ่น พวกเราไม่ต้องหาเงินเยอะขนาดนั้นก็ได้ ผมไม่อยากให้คุณเหนื่อยเกินไป”
โจวหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หาเงินแบบนี้ไม่เหนื่อยเลย คุณไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันมีแผนในใจแล้ว”
ขั้นแรกโจวหมิ่นนำแบบร่างเสื้อผ้าที่เย่ฉูฉู่วาดลงบนนิตยสารก่อน ไม่ได้สร้างกระแสมากมายเท่าไรนัก แต่หลังจากที่ผลิตเสื้อออกมาแล้ว มันก็จะปรากฏบนตัวนางแบบที่เป็นคนจริง ๆ อีกครั้ง ซึ่งจะดึงดูดผู้คนจำนวนมาก งดงามมากเชียวล่ะ!
งานออกแบบชุดในฤดูร้อนของเย่ฉูฉู่ชุดนี้คล้ายกับชุดฮั่นฝู แม้จะเรียบง่ายกว่าชุดฮั่นฝูมาก แต่ยังรักษาความเรียบหรูคลาสสิกของชุดฮั่นฝูไว้ได้ และตัดเย็บด้วยเนื้อผ้าคุณภาพสูง ภายใต้การเสนอสินค้าของนางแบบที่เข้ากับบรรยากาศก็จะทำให้ดูสะดุดตาและไม่สามารถปล่อยผ่านได้
โจวหมิ่นใช้เทคนิคการตลาดอีกครั้ง คุณไม่ซื้อชุดนี้ก็เท่ากับเป็นการสูญเสียของคุณ คุณไม่ซื้อชุดแบบนี้คุณจะเสียใจไปทั้งชีวิต ทั้งนี้ยังมีลูกเล่นอื่น ๆ อีกด้วย เช่น เป็นรุ่นลิมิเต็ด ตัดเย็บรายบุคคล ชุดฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เป็นต้น เรียกได้ว่าเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลินี้ขายหมดทันทีที่วางขาย ไม่เพียงแค่นี้ อีกสามชุดประจำฤดูที่เหลือก็มียอดสั่งตัดถล่มทลายราวกับเกล็ดหิมะที่ทับถมเรื่อยๆ
โจวหมิ่นไม่หยุดอยู่แค่นี้ หล่อนโทรติดต่อกับเย่ฉูฉู่ในทันที เพื่อเร่งเปิดตัวเครื่องประดับและกระเป๋าของชุดคอลเลกชั่นนี้
ทั้งหมดนี้เย่ฉูฉู่เป็นคนออกแบบทั้งหมด เธอมีความคุ้นเคยกับเครื่องประดับมาก ตอนที่อยู่กับองค์ชายก็ได้เห็นเครื่องประดับมาไม่น้อย มีเพียงกระเป๋าที่ไม่ได้มีอยู่ในยุคสมัยนั้น แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกถึงความยากลำบากอะไร เธอเคยเห็นกระเป๋าจำนวนมากบนนิตยสาร ทำให้ได้รับแรงบันดาลใจ จึงออกแบบกระเป๋าให้เข้ากับมู้ดและโทนของเสื้อผ้าคลาสสิกได้
เครื่องประดับยังดีหน่อย เพียงแต่กระเป๋านี้ ตอนที่เพิ่งจะปล่อยภาพออกมา ยอดจองก็ยาวเหยียดไปจนถึงสิ้นปี
โจวหมิ่นถึงกับถอนหายใจพูดกับเย่หมิงเป่ย “ฉูฉู่นี่เกิดมาเพื่อเป็นนักออกแบบเลยนะคะ!”
เย่หมิงเป่ยก็คิดไม่ถึงว่าน้องสาวจะสุดยอดขนาดนี้ ออกแบบอะไรออกมาก็ขายดีไปเสียทุกอย่าง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร
โจวหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สไตล์! ของที่ฉูฉู่ออกแบบมีความเป็นสไตล์ของตัวเองสูงมาก สไตล์แบบนี้คนอื่นคิดจะลอกเลียนแบบก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ คุณดูเสื้อผ้า กระเป๋าและเครื่องประดับที่ฉูฉู่ออกแบบสิ เป็นสไตล์แบบเดียวกัน ดูสง่างามและแพง คนที่ไล่ตามรสนิยมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหล่านั้นจะไม่ชอบได้ยังไงกัน”
สไตล์ของฉูฉู่ย่อมไม่มีใครลอกเลียนแบบได้อยู่แล้ว เธอเกิดในยุคอื่น ของทั้งหมดจึงมีเงาของยุคนั้นแฝงอยู่ นอกจากนี้ตอนที่เธอติดตามองค์ชายในยุคนั้น ก็ได้เข้านอกออกในตระกูลร่ำรวย ได้เจอของดีมากมาย หยิบออกมาสักสองสามอย่างก็กลายเป็นความนิยมได้แล้ว
โจวหมิ่นไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ ย่อมคิดว่าเย่ฉูฉู่มีฝีมือเก่งกาจ
หลังจากยุ่งตลอดฤดูใบไม้ผลิ ในที่สุดก็เพาะปลูกในที่นาเสร็จ จ้าวเหวินเทายังคงปลูกพืชผลที่ไม่ยุ่งยาก มีดอกทานตะวัน ข้าวโพด ถั่วเหลือง แต่ปีนี้มีข้าวสาลีเพิ่มเข้ามาอีกสี่หมู่ด้วย
สิ่งที่จ้าวเหวินเทาทำในตอนนี้ได้กลายเป็นกังหันลมของหมู่บ้านแล้ว จ้าวเหวินเทาปลูกข้าวสาลี คนส่วนหนึ่งก็ปลูกตามด้วย ยกตัวอย่างเช่นชุยต้า เมิ่งต้า เจ้ารองฉวี่ และคนอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีพี่ชายทั้งสามคนของจ้าวเหวินเทาด้วย
พี่สามจ้าวไม่ต้องพูดถึงเลย เขาเอาแต่จ้องจ้าวเหวินเทา ทั้งยังคิดจะไล่ตามแบบทันที จ้าวเหวินเทาปลูกข้าวสาลีแล้ว เขาจะอยู่รั้งท้ายไม่ได้
ฝ่ายบ้านของพี่รองจ้าวนั้นเป็นความต้องการของพี่สะใภ้รองจ้าวที่อยากปลูก หล่อนมีความคิดเรียบง่าย หากจ้าวเหวินเทากล้าปลูกของแบบนี้ก็ต้องไม่มีปัญหาอะไร
พี่สี่จ้าวยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะนี่เป็นความต้องการของพี่สะใภ้สี่ พี่สะใภ้สี่เห็นว่าพี่สามีทั้งสองและน้องสามีปลูกข้าวสาลีกันหมด หล่อนจะล้าหลังพวกเขาได้อย่างไรกัน ดังนั้นจึงยืนกรานที่จะปลูก
คนเฒ่าคนแก่ส่วนหนึ่งภายในหมู่บ้านถึงกับขำพรืด “ปลูกข้าวสาลี จะรอดเหรอ?”
“นั่นสิ พวกเราทำนามาทั้งชีวิต ยังไม่เคยเห็นคนปลูกข้าวสาลีที่นี่เลย”
“พวกคนหนุ่มสาวนี่ไม่รู้เรื่องเลยนะ”
“พวกหนุ่มสาวจะไปเข้าใจอะไร้ รู้แต่อยากกินแป้งขาวนั่นแหละ แป้งขาวนั่นคิดจะกินก็กินได้เหรอ?”
คนเฒ่าคนแก่ต่างก็ชี้หน้าบ่นคนที่ปลูกข้าวสาลี พูดคุยออกความคิดเห็น พ่อของชุยต้าได้ยินก็แอบร้อนใจ เขาเป็นคนรับผิดชอบ จ้าวเหวินเทาก็มอบหมายที่นาให้เขาดูแล เขาต้องดูแลให้ดี จึงรีบมารายงานจ้าวเหวินเทา
“ไม่เป็นไร ลุงปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ลุงแค่ทำตามที่ผมสอนก็พอ”
พ่อของชุยต้าจึงสบายใจ
ไม่ว่าคนในหมู่บ้านจะพูดอย่างไร ต้นกล้าของข้าวสาลีก็เติบโตตามระยะเวลาจนสันเขามีสีเขียวชอุ่ม จ้าวเหวินเทารวบรวมคนปลูกข้าวสาลีเพื่อรดน้ำให้ต้นข้าว จากนั้นก็ใส่ปุ๋ย ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมี แต่เป็นการใช้มูลของกระต่ายและน้ำรวมเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็รอดูต้นกล้าเติบโตแบบก้าวกระโดด
เมื่อพี่สะใภ้รองจ้าวดูต้นข้าวสาลีในนาเสร็จแล้ว หล่อนก็รู้สึกมีความสุขมาก กลับมาก็เจอกับหลี่เฟิน จึงคุยกันเรื่องข้าวสาลี
“เติบโตได้ไม่เลวเลยนะ รดน้ำแล้วก็ยิ่งดีขึ้น พวกเราใช้มูลกระต่ายกับมูลอื่น ๆ หวังว่าจะได้รับผลผลิตที่ดี” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว
หลี่เฟินกล่าว “ได้รับผลผลิตที่ดีแล้วก็ยังมีแป้งขาวให้กินด้วย เพียงแต่นี่เป็นการปลูกข้าวสาลีครั้งแรก ไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไง ถึงยังไงก็ไม่มั่นใจอยู่ดี”
บ้านพวกหล่อนก็ปลูกเช่นกัน แต่ไม่กล้าปลูกในปริมาณมาก ปลูกในที่ดินแค่สองหมู่เท่านั้น
“พวกเราก็ทำตามที่น้องหกทำนั่นแหละ”
พี่สะใภ้รองจ้าวไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ จ้าวเหวินเทามีช่องทางเยอะ ทำตามจ้าวเหวินเทาแล้วไม่เสียเปรียบหรอก
หลี่เฟินกล่าว “นั่นสิ ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเลยว่าพวกเราจะปลูกข้าวสาลีได้ น้องหกของเธอนี่กล้าจริง ๆ!”
ทางฝั่งพี่สามจ้าวก็กำลังคุยเรื่องข้าวสาลี “ผมจำได้ว่าปีที่แล้วเจ้าหกบอกว่าใส่ปุ๋ยเคมีแล้วดี ทำไมปีนี้ถึงไม่ใส่ปุ๋ยเคมีเพื่อปลูกข้าวสาลีล่ะ?”
พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว “อาจเป็นเพราะไม่สามารถใส่ปุ๋ยลงบนข้าวสาลีได้มั้ง?”
“ถุย! ใส่ปุ๋ยเคมีไม่ได้อะไรกัน? ฉันได้ยินมาว่าปุ๋ยเคมีนั่นจะผักอะไรก็ใส่ได้หมดนั่นแหละ!” พี่สามจ้าวทำท่าทางราวกับแขวะว่าอีกฝ่ายหลับหูหลับตาพูด
“งั้นคุณก็ใส่สิ น้องหกเขาก็ไม่ได้ห้ามคุณสักหน่อย” พี่สะใภ้สามจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์
พี่สามจ้าวส่ายหน้า “ทำตามเขานั่นแหละ นี่เป็นการปลูกข้าวสาลีครั้งแรก ยังไงก็ต้องระวังตัวสักหน่อย”
ทางฝั่งพี่สะใภ้สี่จ้าวเพิ่งจะถอนวัชพืชในทุ่งข้าวสาลีเสร็จก็เหนื่อยเสียจนปวดแขนไปหมด ตอนนี้หล่อนรู้สึกอิจฉาเย่ฉูฉู่เป็นพิเศษ อีกฝ่ายแลดูสบายจริง ๆ ได้อยู่เลี้ยงลูกในบ้านทุกคน ทำอาหารกิน มากสุดก็แค่ปลูกผักในสวน ไม่เหมือนกับหล่อนที่ต้องลงมาทำนาทุกวัน กลับไปก็ยังต้องทำอาหารให้ยัยเด็กบ้าสามคนนั่นอีก น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว!
“วันไหนว่างคุณช่วยไปที่ตลาดแล้วแลกบะหมี่ผัดน้ำมันมาหน่อยสิ นี่ก็ใกล้จะต้องทำงานยุ่งกันแล้ว คงไม่มีเวลาทำกับข้าว ถึงเวลานั้นทำหมี่ผัดกินสักหน่อยก็ได้แล้ว” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดกับพี่สี่จ้าว
บะหมี่ผัดน้ำมันคือบะหมี่ที่ผัดจนสุกแล้ว ตอนรับประทานก็แค่เติมน้ำร้อนสักหน่อย จะใส่น้ำเย็นก็ได้ สิ่งนี้ประทังความหิวได้ แต่รับประทานมาก ๆ ก็มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อเหมือนกัน
พี่สี่จ้าวไม่เห็นด้วยที่จะรับประทานของแบบนั้น “คุณขี้เกียจอีกแล้วนะ กับข้าวก็ไม่ยอมทำ คุณคิดจะทำอะไรกับเขาบ้างเนี่ย?”
พี่สะใภ้สี่จ้าวไม่พอใจ “ขี้เกียจอีกแล้วอะไรกัน วัชพืชที่อยู่ในทุ่งนาคุณเป็นคนถอนเหรอ? ถ้าคุณเป็นเหมือนน้องหก จ้างคนอื่นมาจัดการให้ ฉันก็ทำกับข้าวอร่อย ๆ ให้คุณกินได้ทุกวันแล้ว!”
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สามีภรรยาบ้านหกนี่เอาดีกันคนละทางก็จริง แต่ก็ช่วยกันทำมาหากินดีมากเลย
รอดูข้าวสาลีออกรวงในหมู่บ้านที่ไม่กล้าปลูกข้าวสาลีได้เลยค่ะ ให้บรรดาคนแก่ๆ มองคนรุ่นหนุ่มสาวกินแป้งสาลีขาวกันตาละห้อย
ไหหม่า(海馬)