เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 277 เสียงปืน
ตอนที่ 277 เสียงปืน
ตอนที่ 277 เสียงปืน
งานแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดจึงต้องคำนวณเป็นอย่างดีโดยผู้เชี่ยวชาญ ว่าเวลากี่โมงต้องทำอะไร พิธีกราบไหว้ฟ้าดินของเจ้ารองฉวี่จัดในวันที่หนึ่งพฤษภาคมพอดี เพียงแต่เวลาเป็นช่วงกลางวัน บอกว่านี่เป็นเวลาที่เข้ากันได้ดีกับชะตาของคู่บ่าวสาว ปรองดองกันในเวลานี้ ชีวิตในภายภาคหน้าก็จะเจริญรุ่งเรือง
การแต่งงานต้องเลือกตามฤกษ์ยามที่ดี ตระกูลฉวี่ย่อมปฏิบัติตามอยู่แล้ว ช่วงกลางดึกจึงส่งบ่าวสาวเข้าห้องหอ ทำการกราบไหว้ฟ้าดินแล้วเข้าห้องหอ ช่วงเช้าวันนี้เป็นงานเลี้ยงของญาติทางฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ตอนค่ำเป็นการขอบคุณคนที่มาช่วยงาน แต่จ้าวเหวินเทาไม่อยู่บ้านในช่วงเช้า เจ้ารองฉวี่จึงมาเชิญช่วงค่ำ
เย่ฉูฉู่กล่าว “งั้นคุณไปเถอะ ดื่มน้อย ๆ หน่อยนะคะ รีบกลับบ้านด้วย พรุ่งนี้ยังต้องออกไปขายของอีก”
จ้าวเหวินเทาเห็นเจ้ารองฉวี่มาเชิญจากใจจริง เขาจึงรู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธ และตอบตกลงไป จากนั้นก็พูดหยอกเจ้ารองฉวี่ด้วยรอยยิ้ม “นายไม่ได้มาเชิญฉันไปดื่มเหล้าหรอก นายมาเพื่อขอของขวัญแสดงความยินดีจากฉันต่างหากล่ะ”
เจ้ารองฉวี่รีบแก้ตัว “พี่หกจ้าว ผมไม่ได้มาเพื่อขอของขวัญแสดงความยินดีจากพี่นะ ผมมาเชิญพี่ไปดื่มฉลองจริง ๆ”
“ฉันหยอกเล่น ไปเถอะ!” จ้าวเหวินเทากล่าวเคล้ารอยยิ้ม เขายื่นลูกชายคืนให้เย่ฉูฉู่
เรื่องท้องก่อนแต่งของตระกูลฉวี่กลายเป็นข่าวใหญ่ในยุคนี้แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชนบทเลย ดังนั้น จึงเกิดการพูดคุยถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นถนนไปจนถึงปลายซอย กลางทุ่งนาถึงปลายนา
“เจ้ารองฉวี่เด็กคนนั้นปกติก็ดูซื่อ ๆ นะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีความสามารถแบบนี้ด้วย ยังไม่ทันได้แต่งงานก็สร้างเรื่องซะแล้ว!”
“ก็นั่นน่ะสิ ตระกูลฉวี่เองก็เป็นครอบครัวที่อยู่ที่มีวินัย ลูกชายกลับเป็นแบบนี้ ทำตัวแบบนี้เหมือนใครกันเนี่ย?”
“ก็เหมือนกับปู่ของเขาไง ปู่ของเขาก่อนหน้านี้เป็นเจ้าของที่ดินเลยนะ แต่งงานตั้งหลายบ้าน ถ้าไม่ใช่เพราะถูกระงับสถานะเจ้าของที่ดิน ตอนนี้เจ้ารองฉวี่คงเป็นคุณชายน้อยไปแล้ว!”
“เอ๋ จริงเหรอ ปู่ของเจ้ารองฉวี่เจ๋งขนาดนั้นเลย แต่หลังจากนั้นล่ะ เมียจากบ้านอื่น ๆ ไปไหนกันหมดล่ะ?”
“จะไปไหนได้ล่ะ ดูเธอถามเข้าสิ ก็ถูกยึดไปน่ะสิ”
“คุณพระ นี่ก็ถูกยึดได้ด้วยเหรอ?”
“พอแล้ว ๆ พวกเธอพูดไปถึงประเด็นไหนแล้วเนี่ย พูดถึงเจ้ารองฉวี่อยู่ดี ๆ ลากไปหาปู่ของเขาทำไม พูดเรื่องไม่จริงระวังเธอจะถูกจับนะ!”
“นั่นสิ ๆ พวกเราคุยเรื่องเจ้ารองฉวี่กันดีกว่านะ? พวกเธอว่าเขาไปทำเรื่องแบบนั้นตอนไหนเนี่ย ครั้งเดียวหรือว่าสองครั้ง?”
จากนั้นก็พูดถึงหัวข้อ 18+ ที่ไม่เหมาะกับเด็ก ๆ
หัวข้อแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นพวกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ชอบคุยกัน คนในหมู่บ้านแสดงออกกันแบบอิสระ เรื่องนี้สำหรับผู้ชายและผู้หญิงสามารถพูดออกมาตรง ๆ ได้ ตอนแรกพวกป้าใหญ่กับพวกลูกสะใภ้เล็กก็หน้าแดงอยู่หรอก แต่คุยกันไม่นาน ก็คุยกันได้แบบหน้าไม่แดงใจไม่เต้นแรงแล้ว
เย่ฉูฉู่ได้ยินเรื่องพวกนี้เช่นกัน เพราะเฮ่อซงจือนำมาเล่าให้เธอฟัง
“เธอดูสิ ยัยเด็กชุนเยี่ยนคนนี้กลายเป็นตัวตลกของคนในหมู่บ้านไปแล้ว!” เฮ่อซงจือถอนหายใจติดต่อกัน “หลังจากนี้เธอจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้ยังไงกัน!”
เย่ฉูฉู่ไม่ได้คิดอะไร เป็นเพราะเธอคุยกับโจวหมิ่นมากเกินไป จึงไม่ได้มีความคิดอนุรักษนิยมเหมือนกับคนในหมู่บ้าน เธอเองก็ไม่คิดว่าคนในหมู่บ้านจะเป็นพวกอนุรักษนิยม ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะพูดเรื่องแบบนี้เหรอ?
“พี่สะใภ้สามเคยพูดกับฉันหนึ่งประประโยค ขอแค่เธอไม่รู้สึกอาย ความอายนั้นก็จะเป็นของคนอื่น เรื่องนี้ถ้าชุนเยี่ยนไม่รู้สึกอะไรก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
“หา?” เฮ่อซงจือคิดไม่ถึงเลยว่าเย่ฉูฉู่จะพูดแบบนี้ หล่อนจึงมองเย่ฉูฉู่ด้วยความประหลาดใจ
เย่ฉูฉู่กล่าว “พวกเขาต่างก็เป็นคู่หมั้นกันแล้ว เหลือก็แค่แต่งงาน จะอยู่ด้วยกันก็ไม่แปลก มีอะไรน่าขำเหรอ ไม่เห็นต้องเก็บไปใส่ใจเลย รอให้ในหมู่บ้านมีเรื่องใหม่เข้ามา คนเขาก็ไม่พูดถึงกันแล้ว”
เฮ่อซงจือกะพริบตาปริบ ๆ “คิดไม่ถึงเลยนะว่าเธอจะคิดแบบนี้”
เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “พวกเขาสองคนใช้ชีวิตกันอย่างดี คนนอกจะเข้าไปยุ่งทำไมล่ะ อีกอย่างมีอะไรให้น่าเข้าไปยุ่งเหรอ”
เฮ่อซงจือพยักหน้า “เธอพูดถูก แต่ฉันได้ยินก็ยังหน้าแดงเลย ไม่รู้ชุนเยี่ยนจะคิดได้รึเปล่านะ”
“เธอยังไม่ได้ถามชุนเยี่ยนเหรอ?”
“เรื่องนี้จะถามยังไงล่ะ? หลังจากแต่งงานสามวันหล่อนก็กลับบ้าน สามวันนั้นฉันก็รู้สึกไม่ดีที่จะไปถาม หลังจากกลับบ้านก็ยุ่งแล้ว เลยไม่มีเวลาได้ถาม แต่เห็นหน้าก็แค่ทักทายกัน ฉันเห็นหล่อนแต่ก็มองอะไรไม่ออก”
“ถ้างั้นก็คงไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าชุนเยี่ยนน่าจะไม่ได้เก็บไปใส่ใจ”
“ถ้าไม่เก็บไปใส่ใจ ยัยเด็กคนนี้ฉันคงต้องชื่นชมเธอจริง ๆ แล้วล่ะ”
เย่ฉูฉู่พูดถูก อย่างน้อย ๆ เมื่อมีข่าวใหม่เข้ามาคนในหมู่บ้านก็จะลืมเรื่องนี้กันหมด นี่ก็แค่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่ง
ภายในชั่วพริบตาอากาศก็ร้อนแล้ว ในภาคเหนือเมื่อถึงฤดูหนาวก็หนาว ฤดูร้อนก็ร้อนมาก ทำให้ตกกลางคืนทุกคนนอนไม่หลับ จึงมานั่งอยู่ในลานบ้านเพื่อตากลม เมื่อได้ถือพัดก็พัดเพื่อไล่ยุงไปพลางพูดคุยสัพเพเหระไปพลาง ตอนนี้เป็นฤดูร้อนและเป็นคืนหนึ่งที่ปกติมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่ามกลางยามราตรีที่แสนธรรมดาจะเกิดเสียงปืนดังขึ้นอย่างฉับพลัน!
เสียงปืนนี้ทำให้ทุกคนถึงกับตกใจสะดุ้งโหยง กี่ปีแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงปืน ไม่สิ ก็ไม่กี่ปีหรอก ดูเหมือนว่าจะสามสี่ปี
ในชนบทไม่ได้รู้สึกว่าปืนเป็นของไม่คุ้นเคย เพราะมีคนจำนวนมากที่มีปืนลูกซอง ดังนั้นหลังจากตกใจ ก็มีคนถามไถ่เพื่อนบ้านว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมถึงมีเสียงปืนล่ะ? มีคนเข้าไปล่าสัตว์ในป่าเหรอ?”
“เขาไม่อนุญาตให้ล่าสัตว์แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ก็นั่นน่ะสิ บอกว่าจะอนุรักษ์สัตว์ พวกเธอว่าสัตว์พวกนี้มีอะไรให้อนุรักษ์?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะล่าสัตว์จะมีอะไรได้อีก?”
“ไม่ใช่ว่าจับคนหรอกนะ? พอคิดถึงปีนั้น…”
“พอแล้ว ๆ เลิกคิดถึงปีนั้นได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่ตอนนั้น รีบไปถามเถอะ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
ตอนที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็เกิดเสียงปืนดังปังขึ้นอีกนัด!
ทุกคนเกิดความตื่นเต้น ชีวิตที่น่าเบื่อและซ้ำซากจำเจนาน ๆ ทีจะมีเรื่องตื่นเต้นแบบนี้เกิดขึ้น ก็ต้องรีบบึ่งไปปูเสื่อเผือกสักหน่อย
เย่ฉูฉู่และจ้าวเหวินเทาก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงปืนเช่นกัน “มีคนแต่งงานเหรอ จุดประทัดช่วงกลางดึกขนาดนี้เนี่ยนะ?”
เย่ฉูฉู่ไม่เคยได้ยินเสียงปืนมาก่อน
จ้าวเหวินเทาฟังออก “มีคนยิงปืน คุณเข้าไปดูลูกในห้องนะ เดี๋ยวผมไปดูหน่อย”
เย่ฉูฉู่รีบรั้งเขาไว้ แม้ว่าจะไม่ทราบว่าปืนคืออะไร แต่นางรู้สึกได้ว่าไม่ใช่ของดี “คุณจะไปไหน?”
จ้าวเหวินเทาเห็นท่าทางตึงเครียดของภรรยา จึงกล่าวว่า “ผมจะไปดูฟาร์มกระต่าย”
เย่ฉูฉู่เดิมทีอยากจะพูดว่า ‘ฉันจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง’ แต่เมื่อนึกถึงลูก จึงทำได้เพียงแค่พูดว่า “งั้นคุณระวังตัวด้วยนะ จะหยิบของอะไรไปหน่อยไหม?”
“ผมเอาพลั่วเหล็กไปสักอันก็พอแล้ว คุณเข้าบ้านล็อคประตูหน้าต่างให้ดีนะ”
เย่ฉูฉู่บังคับให้ตัวเองสงบจิตสงบใจลง เธอพยักหน้า “ได้”
เธอเข้าไปในบ้านแล้ว จากนั้นก็ใส่กลอนประตูและหน้าต่างอย่างดี เมื่อเห็นจ้าวเหวินเทาเดินถือพลั่วเหล็กออกไป ก็เกิดความกังวลใจขึ้นมา
ตอนนี้จ้าวเหวินเทาย้ายสัตว์ทั้งหมดที่อยู่ในบ้านไปไว้ที่ฟาร์มกระต่ายแล้ว แค่ล็อคประตูก็ไม่ต้องเป็นห่วงสิ่งที่อยู่ข้างนอก สิ่งที่เธอเป็นกังวลก็มีแค่สามี
จ้าวเหวินเทาเดินถือพลั่วเหล็กออกจากประตูใหญ่ หลังจากปิดประตูรั้วบ้าน แสงจันทร์ทำให้เขาเห็นพวกเด็กหนุ่มในหมู่บ้านอีกสามสี่คนที่เดินถือไม้ตะบอง หนึ่งในนั้นมีเจ้ารองชุยด้วย
“พี่หก!”
“พวกนายจะไปไหนกัน?” จ้าวเหวินเทาเห็นจึงเอ่ยปากถาม
“ผมได้ยินเสียงปืน ก็เลยว่าจะไปดูพี่ชายที่ฟาร์มกระต่ายหน่อย!”
ตอนนี้ชุยต้าอยู่ที่ฟาร์มกระต่ายทั้งวันทั้งคืน เมื่อเจ้ารองชุยได้ยินเสียงปืนก็ออกมาถาม จากนั้นก็รวมตัวกับพวกเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ ที่เป็นเพื่อนบ้าน พวกเขาได้ข้อสรุปว่าอาจจะมีคนเข้าไปขโมยกระต่ายที่ฟาร์มกระต่าย เจ้ารองชุยจึงเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องกับพี่ชาย จึงเสนอให้ทุกคนไปดูด้วยกัน
พวกเด็กหนุ่มไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่อง แต่กลัวว่าจะไม่มีเรื่องให้เกิด จึงรีบถืออุปกรณ์เดินมา
จ้าวเหวินเทาก็คิดแบบนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่คิดจะไปที่ฟาร์มกระต่ายในทันที จึงพูดว่า “ได้ งั้นฉันไปกับพวกนายด้วย อย่าผลีผลามนะ ถึงเวลานั้นพวกเราต้องดูก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วค่อยว่ากัน”
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ระวังตัวด้วยนะเหวินเทา เป็นห่วงจริงๆ เลย
ไหหม่า(海馬)