เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 311 จ้าวเหวินเทาเก่งจริง ๆ
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 311 จ้าวเหวินเทาเก่งจริง ๆ
ตอนที่ 311 จ้าวเหวินเทาเก่งจริง ๆ
ตอนที่ 311 จ้าวเหวินเทาเก่งจริง ๆ
สำหรับคนที่อยู่ทางภาคเหนือ ฤดูร้อนเป็นเวลาในการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด อากาศกำลังอบอุ่น กลางวันยาวกลางคืนสั้น นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ตั้งตารอพืชผลที่ปลูกมาตลอดทั้งปีด้วย ฤดูฝนสามารถเก็บเห็ดได้ ในวันที่แดดออกยังลงไปอาบน้ำที่แม่น้ำและถือโอกาสจับปลาได้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เบาสบาย แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็ยังต้องลงนาทำสวน แต่ช่วงบ่ายก็ยังได้นอนหลับยาว ๆ ดีจะตายไป ไม่เหมือนกับฤดูหนาวที่หนาวจนแทบแข็งตาย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สะดวก โดยเฉพาะสำหรับแม่บ้าน การทำอาหารก็คือการถูกทำโทษ ดังนั้นทุกคนจึงใช้เวลาเพลิดเพลินไปกับช่วงฤดูร้อนให้มากที่สุด
น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดี ๆ มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวก็จริง แต่นั่นก็หมายความว่าฤดูหนาวกำลังคืบคลานเข้ามาแล้วเช่นกัน
เทศกาลไหว้พระจันทร์ในเดือนแปดโดยปกติจะรวมเข้ากับเดือนสิบ โรงเรียนจะรวมวันหยุดของสองเทศกาลนี้ไว้ด้วยกันเพื่อให้หยุดเรียนทีเดียว อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ พวกเด็ก ๆ ต่างพากันส่งเสียงโห่ร้องวิ่งเข้าไปในทุ่งนา ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็จะจับกลุ่มสองสามคนเพื่อไปเที่ยวทุกสารทิศ
ผู้ใหญ่เหล่านี้แน่นอนว่าหมายถึงคนในเมืองที่ไม่ต้องทำไร่ทำสวนเหล่านั้น ตอนนี้ผู้คนยังไม่ได้มีเงินมากมายเหมือนกับในยุคหลัง ๆ และไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะท่องเที่ยวขนาดนั้น ช่วงวันหยุดคนวัยกลางคนและคนแก่จะพักผ่อนอยู่ในบ้าน ส่วนพวกเด็กหนุ่มสาวที่มีพลังเปี่ยมล้นจนไม่มีที่ระบายถึงจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่คนในชนบทกำลังเก็บถั่วเขียว ถั่วเหลืองและทานตะวัน
ปีนี้จ้าวเหวินเทาปลูกถั่วเขียวและถั่วเหลืองก็เพื่อปรับเปลี่ยนหมุนเวียน ดอกทานตะวันก็ปลูกไว้ไม่น้อยเช่นกัน ที่ดินบนเขาแทบจะเป็นดอกทานตะวันทั้งหมด จึงเต็มไปด้วยดอกทานตะวันตั้งแต่แรกแล้ว
ตอนที่ปลูกคุณพ่อจ้าวเป็นกังวลมาก เพราะช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงต้องทำเวลา พ่อลูกตระกูลชุยก็มีพืชผลของตัวเองที่ต้องเก็บเกี่ยว แถมยังต้องเก็บเกี่ยวให้จ้าวเหวินเทาด้วย จะทำทั้งหมดไหวเหรอ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์สองวันจ้าวเหวินเทาจะขนคนกลับมาหนึ่งคันรถ เป็นเด็กหนุ่มทั้งหมดและถือมีดอยู่ในมือด้วย มาทำอะไรกัน? ก็มาตัดดอกทานตะวันและเก็บถั่วอย่างไรล่ะ!
คนในชนบทถึงกับเบิกตาโต เจ้าเด็กจ้าวเหวินเทาคนนี้ไปเรียกให้พวกเด็กหนุ่มกลุ่มนี้มาจากที่ไหนกัน มีตั้งยี่สิบกว่าคน พวกเขาแยกย้ายไปเก็บเกี่ยว เพียงไม่นานจานดอกทานตะวันก็ถูกเก็บเข้าไปอยู่ในตะกร้า ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ทานตะวันแต่ละตะกร้าก็ถูกขนขึ้นรถ แล้วขนมาทุบที่ลานนวดข้าว ทำเช่นนี้ต่อให้ดอกทานตะวันมากกว่านี้ก็สามารถเก็บกลับไปได้!
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ผ่านไปไม่ถึงสองวันดอกทานตะวันของจ้าวเหวินเทาก็ถูกเก็บจนหมดเกลี้ยง ตากแดดไว้สองสามวันแล้วนำมาทุบก็เสร็จแล้ว แม้แต่ก้านดอกทานตะวันก็ถูกตัดจนเสร็จและขนกลับมา ส่วนถั่วเขียวและถั่วเหลืองมีการเก็บเกี่ยวไปไม่น้อยแล้วเช่นกัน แต่พวกเด็กหนุ่มเหล่านี้กลับบ้านไปฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กันแล้ว ไม่เช่นนั้นถั่วเหลืองและถั่วเขียวก็คงถูกเก็บเกี่ยวจนหมดเช่นกัน
“เจ้าเด็กบ้านี่ ไปหาแรงงานเยอะแยะขนาดนี้จากไหนกันเนี่ย!” ลุงจ้าวดื่มเหล้าพลางด่าจ้าวเหวินเทาเคล้ารอยยิ้ม
จ้าวเหวินเทาหัวเราะหึๆ ตอบไปว่า “พี่สามของภรรยาผมรู้จักคนที่อยู่สถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรในเมือง เขาก็เลยช่วยผมหาคนให้ เป็นพวกที่มาเข้างานแต่ไม่มีอะไรทำน่ะ ผมก็เลยเรียกพวกเขามาช่วยทำงาน มาลองประสบการณ์ชีวิตในชนบทสักหน่อย ระหว่างนั้นก็ได้กินอาหารอินทรีย์ที่ได้จากธรรมชาติด้วย พวกเขามีความสุขมากเลยล่ะ!”
“เจ้าหนูนี่เก่งจริง ๆ แม้แต่เด็กหนุ่มพวกนี้ก็ยังหลอกให้มาได้ คารวะนายจริง ๆ!”
ถึงอย่างไรลุงจ้าวก็เป็นคนที่เดินทางตั้งแต่เหนือจรดใต้ ย่อมทราบถึงความหมายที่จ้าวเหวินเทาพูด กลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านี้ที่เขาหามาต่างก็เป็นพวกคุณชายที่ครอบครัวใช้เส้นสายเพื่อให้เข้าไปอยู่ในโรงงานเพื่อทำตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่มีความสำคัญอะไร แต่คนเหล่านี้ไม่ได้หลอกกันได้ง่าย ๆ พวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการผลิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแรงงานที่หนักขนาดนี้
“เจ้าหนูทำได้ยังไงเนี่ย?” ลุงจ้าวอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
คุณพ่อจ้าวกลับไม่ได้สงสัยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่รู้สึกว่าเป็นโชคของลูกชาย ถึงอย่างไรตั้งแต่ลูกชายคลอดออกมาจนถึงตอนนี้ก็โชคดีแบบนั้นมาโดยตลอดอยู่แล้ว ความโชคดีครั้งใหญ่แบบนั้นทำให้เขาเกิดความประทับใจอย่างมาก!
จ้าวเหวินเทากล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ลุงใหญ่ มันไม่ได้ยากอย่างที่ลุงคิดขนาดนั้นหรอก ถึงเด็กหนุ่มพวกนี้จะมีปัญหาสักหน่อย แต่ก็ดีมากเลยนะ ผมบอกกับพวกเขาว่าผมปลูกทานตะวัน พวกเขาอยากมาช่วยเก็บเกี่ยวสักหน่อยไหม จะได้เป็นประสบการณ์ในการใช้ชีวิต ผมจะหาที่กินที่อยู่ให้ แล้วก็บอกว่าผมมีฟาร์มกระต่ายอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาอยากกินกระต่ายก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ อยากกินยังไงก็กินแบบนั้น พอพวกเขาได้ยินก็มาเลย”
“ง่ายขนาดนี้เลย?” ลุงจ้าวรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ
“ยังมีอะไรยากเย็นอีกครับ” จ้าวเหวินเทากล่าว “อันที่จริงพวกลุงก็อคติกับพวกเขาไปหน่อย คนพวกนี้ไม่เลวเลยนะ มีคนอยากได้พวกเขา พวกเขาก็มีความสุขอยู่แล้ว แน่นอนว่าถ้าให้พวกเขามาทำงานแบบนี้แบบระยะยาว พวกเขาก็คงไม่ทำ แต่ถ้าให้ทำเป็นครั้งคราวยังได้อยู่”
จ้าวเหวินเทาพูดเรื่องจริง เพียงแต่นี่เป็นคำพูดแบบง่าย ๆ เท่านั้น ตอนที่เขาพูด เขาได้บรรยายถึงชนบทให้พวกเขาฟังเป็นอย่างดี บอกว่าอะไรคือฤดูใบไม้ร่วงสีทองกับดอกกุ้ยฮวาเดือนแปดบานสะพรั่ง อะไรคือใบไม้สีแดงปลิดปลิวทั่วภูเขาและพื้นที่ราบ อะไรคือกระต่าย ไก่และเป็ดอวบอ้วนวิ่งเต็มพื้น อะไรคือออกแรงกายทำงานตลอดทั้งวัน กลับไปก็นอนหลับลึก เช้าวันรุ่งขึ้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะสบายขนาดไหน วิวสวย ๆ ของกินดี ๆ สบายเนื้อสบายตัว พอเด็กหนุ่มพวกนั้นได้ยินเรื่องดี ๆ แบบนี้ ก็เลยต้องมาดูกันสักหน่อย!
ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว แค่ดูแลเรื่องกินที่อยู่และการเดินทางให้ ทำงานแค่สองวัน ไม่อยากทำก็กลับ ดังนั้นจึงเดินทางมาเพราะไม่มีภาระอะไรต้องแบกรับ
ลุงจ้าวรู้สึกว่าตัวเองคงแก่แล้วจริง ๆ เขารู้สึกว่าวิธีของจ้าวเหวินเทาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่จ้าวเหวินเทากลับทำได้
คนที่ไม่เข้าใจยังมีคนในหมู่บ้านด้วย เจ้าเด็กจ้าวเหวินเทาคนนี้ให้น้ำแกงเลอะเลือนอะไรกับคนพวกนั้นกันนะ ถึงยอมทำงานให้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน!
หากนำอาหารแห้งของตัวเองมาก็ยิ่งดี ไม่ต้องพูดเลย คนที่มีความคิดแบบนี้ย่อมเป็นพี่สามจ้าวอยู่แล้ว
ที่ดินของพี่สามจ้าว รวมของลูก ๆ และผู้ใหญ่เป็นที่ดินสำหรับสี่คนนี้ไม่ได้ถือว่าเยอะ แต่ต่อให้ไม่เยอะ การเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็ยุ่งมาก ตอนนี้เขาหยุดทำเต้าหู้แล้ว ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง หากเขาสามารถหาคนจากในเมืองมาช่วยเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงได้แบบนี้ ก็ไม่ต้องเสียเวลาในการทำเต้าหู้ของเขาแล้วไม่ใช่เหรอ?
เมื่อเขานำคำพูดนี้ไปพูดกับพี่สะใภ้สามจ้าว พี่สะใภ้สามจ้าวก็หัวเราะเยาะเย้ยในทันที
“คุณคิดอะไรของคุณอยู่ คุณไม่ได้ยินที่น้องหกพูดเหรอ นั่นเป็นเพราะเพื่อนที่อยู่ในเมืองของพี่เมียคนที่สามของเขาไม่ใช่เหรอ? คุณมีเพื่อนในเมืองหรือไง?”
พี่สามจ้าวจ้องมองพี่สะใภ้สามจ้าว กล่าวอีกประโยคว่า “ประเด็นคือผมไม่ได้มีพี่เมียคนที่สามที่มีเพื่อนอยู่ในเมืองไง!”
พี่สะใภ้สามจ้าวได้ยินก็มีความสุขขึ้นมา “คุณก็รู้นี่ แล้วจะฝันกลางวันเพื่ออะไร!”
พี่สามจ้าวแค่นเสียง “ฉันไม่เคยเห็นภรรยาแบบเธอมาก่อนเลย รู้จักแต่จะหันศอกออกห่างตัว(1)! คนเขาบอกว่า การใช้ชีวิตของคนสองคนต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ออกแรงไปทางเดียวกัน คนหนึ่งไปซ้ายอีกคนไปขวา แบบนั้นจะใช้ชีวิตได้ยังไง?”
พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าวเสียงเรียบ “ก็เพราะจิตใจของคุณนั่นแหละ ถึงไปร่วมกันกับคุณไม่ได้!”
พี่สามจ้าวโกรธจนอยากจะตบตีอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังอดกลั้นไว้ ฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้หากทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายจนบาดเจ็บ ใครจะทำงานล่ะ
หลังจากยุ่งตลอดทั้งวัน พี่สามจ้าวก็ไปหาจ้าวเหวินเทาเพราะทนไม่ไหว วันพรุ่งนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์พอดี จึงถือโอกาสถามด้วยเลยว่าพ่อแม่จะฉลองเทศกาลที่ไหน
ช่วงกลางคืนในบ้านของจ้าวเหวินเทายังคงสว่างไสวแบบนั้นตลอดเวลา แน่นอนว่าเป็นเพราะมีไฟฟ้า
เย่ฉูฉู่กำลังเลือกกุยช่ายและผักชีล้อมใต้แสงไฟ เมื่อเห็นพี่สามจ้าวมา จึงรีบทักทายและเรียกให้เข้ามาในบ้าน
“เตรียมห่อเกี๊ยววันพรุ่งนี้สินะ?” พี่จ้าวพูดจบก็ถามอีกว่า “เจ้าหกล่ะ?”
“ใช่ค่ะ พรุ่งนี้จะห่อเกี๊ยว เหวินเทาดูลูกอยู่ในบ้านน่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม ลุกขึ้นยืนเพื่อไปรินน้ำชงชา
พี่สามจ้าวเดินเข้ามาในบ้าน ก็พบว่าจ้าวเหวินเทากำลังนั่งอยู่บนเตียงเตาอย่างมั่นคง และกำลังสอนหนังสือเสี่ยวไป๋หยาง
“เสี่ยวไป๋หยาง อันนี้อ่านว่ายังไง…คน!” จ้าวเหวินเทากล่าว
……………………………………………………………………………………………………………………
เป็นสำนวน แปลว่าเห็นคนนอกดีกว่าพวกพ้องตัวเอง
สารจากผู้แปล
ด้วยฝีปากเป็นเลิศกับการรู้จักคนเยอะ งานที่เหมือนจะมากก็กลายเป็นน้อยได้ เหวินเทาเก่งจริงๆ ค่ะ
พี่สามจ้าวเริ่มร้อนตัวแล้วสินะ
ไหหม่า(海馬)