เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 312 พี่สามจ้าวผู้ชอบเอาเปรียบ
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 312 พี่สามจ้าวผู้ชอบเอาเปรียบ
ตอนที่ 312 พี่สามจ้าวผู้ชอบเอาเปรียบ
ตอนที่ 312 พี่สามจ้าวผู้ชอบเอาเปรียบ
เสี่ยวไป๋หยางหัวเราะคิกคัก ใช้มือจับการ์ด ลิงน้อยที่อยู่ข้าง ๆ ก็ส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ นำการ์ดที่อยู่ในมือของจ้าวเหวินเทายื่นให้เสี่ยวไป๋หยาง
พี่สามจ้าวมีความสุข พ่อที่ไม่ชอบเรียนหนังสือแบบนายยังหวังว่าจะมีลูกรักการเรียนอีกเหรอ? เจ้าหกช่างเพ้อฝันมากกว่าเขาเสียอีก!
“ว่าไงพี่สาม” จ้าวเหวินเทาไม่ได้ลงจากเตียงเตา เขายังคงอยู่บนนั้นและกล่าวทักทาย
พี่สามจ้าวส่งเสียง ‘อืม’ หลังจากขึ้นมานั่งข้าง ๆ เตียงเตาก็พูดกับเสี่ยวไป๋หยาง “เสี่ยวไป๋หยาง ดูสินี่ใครเอ่ย?”
เสี่ยวไป๋หยางเห็นพี่สามจ้าวก็โบกมือเล็ก ๆ ด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังส่งเสียงเรียกอ้อแอ้
“เด็กคนนี้พูดได้แล้วสินะ?” พี่สามจ้าวถาม
เย่ฉูฉู่ยกน้ำชามาเสิร์ฟให้พี่สามจ้าวพลางกล่าว “ยังไม่ถึงวันเกิดเลย พูดไม่ได้หรอกค่ะ พี่สามดื่มชาก่อนนะคะ”
“อื้ม น้องสะใภ้หกไปทำธุระต่อเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” พี่สามจ้าวกล่าว
เย่ฉูฉู่จึงไปทำงานของเธอต่อ
เสี่ยวไป๋หยางมองแม่และยื่นมือออกไป จ้าวเหวินเทากล่าว “แม่ไปเลือกกุยช่าย พรุ่งนี้จะห่อเกี๊ยวให้เสี่ยวไป๋หยางกินนะ!”
เสี่ยวไป๋หยางไม่รู้ว่าฟังเข้าใจหรือไม่ เขาส่งเสียงร้อง ‘แอ๊ ๆๆ’ ก่อนจะก้มหน้ามองการ์ดที่อยู่ในมือ
“เด็กคนนี้ดูเหมือนจะพูดได้เร็วนะ” พี่สามจ้าวกล่าว
“เอาแต่ร้อง ‘แอ๊ ๆๆ’ ไม่รู้ ‘แอ๊ ๆๆ’ อะไร” จ้าวเหวินเทากล่าว “พี่สาม พี่มาที่นี่มีธุระอะไรล่ะ?”
หากไม่มีธุระก็คงไม่มาหาในช่วงที่ยุ่งแบบนี้ เพราะแม้แต่เต้าหู้พี่สามจ้าวก็หยุดทำแล้ว
พี่สามจ้าวกล่าว “ก็ไม่มีอะไรหรอก วันพรุ่งนี้ก็เทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว พ่อกับแม่จะฉลองกันที่ฟาร์มกระต่ายเหรอ?”
“ฉลองที่ฟาร์มกระต่ายนั่นแหละ ถึงเวลานั้นพวกเราจะไปกินข้าวเที่ยงกับข้าวเย็นที่นั่น” จ้าวเหวินเทากล่าว “พี่สาม พวกพี่ก็ไปกินข้าวที่ฟาร์มกระต่ายด้วยกันสิ จะได้ฉลองเทศกาลพร้อมหน้าพร้อมตากันเลย”
พี่สามจ้าวกล่าว “เดี๋ยวฉันให้พวกลูก ๆ ไปก็แล้วกัน ฉันกับพี่สะใภ้สามของนายคงไม่ได้ไป ที่บ้านยังมีไก่ หมู กระต่าย ไหนจะสัตว์ตัวอื่น ๆ ที่ต้องให้อาหารพวกมันอีก!”
“ก็ได้ งั้นก็ให้พวกเด็ก ๆ ไปก็แล้วกัน พี่รองกับพี่สี่ล่ะ?” จ้าวเหวินเทาถาม
“ไม่รู้สิ หลายวันมานี้ฉันไม่ได้ไปหาเลย แต่เหมือนฉันจะได้ยินพี่รองบอกว่าจะให้พวกเถี่ยต้านไปเหมือนกัน ส่วนเจ้าสี่ฉันไม่รู้” พี่สามจ้าวเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าหก คนพวกนั้นที่มาช่วยนายตัดทานตะวันยังมากันอีกไหม?”
“ทำไมล่ะ?” จ้าวเหวินเทาชะงัก
“ฉันกำลังคิดว่า ถ้าพวกเขามา ให้มาช่วยฉันเก็บเกี่ยวหน่อยสิ ฉันไม่ได้ใช้งานฟรี ๆ นะ จะให้เงินพวกเขาด้วย!” พี่สามจ้าวกล่าว
จ้าวเหวินเทาถึงกับหมดคำพูด พี่สามจ้าวคนนี้ช่างเอาเปรียบจริง ๆ ทั้งยังบอกจะให้เงินอีก คนขี้งกแบบพี่จะให้เงินคนอื่นสักเท่าไรกันเชียว?
“พวกเขาคงไม่มากันแล้วล่ะ นี่ก็กลับไปฉลองเทศกาลที่บ้านกันแล้ว หลังจากจบเทศกาลคงไปทำงานกันหมด” จ้าวเหวินเทากล่าว “พวกเขามีการมีงานทำกันทั้งนั้นแหละ”
“ฉันไม่เข้าใจเลย มีงานให้ทำจะมาทำงานในชนบททำไม แถมยังไม่เอาเงินอีก ทำแบบไม่รับเงินสินะ?”
“พวกเขาเป็นคนที่เพื่อนของพี่สามของฉูฉู่หาให้ผม” จ้าวเหวินเทาขี้เกียจจะอธิบายอย่างละเอียด จึงบอกไปตรง ๆ ว่า “เห็นแก่หน้าของเพื่อนพี่สามของฉูฉู่ถึงได้มาช่วยทำงานสองวัน ถึงจะบอกว่าไม่อยากได้เงินแต่ก็เรียกพวกเขามาทำงานฟรี ๆ ไม่ได้เหมือนกัน ตอนที่กลับไปก็ต้องให้ของพวกเขาเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย แถมยังต้องติดหนี้บุญคุณกันอีก”
จ้าวเหวินเทาพูดเรื่องจริง แม้จะพูดว่าคนเหล่านั้นมาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์การใช้ชีวิตภายในชนบท แต่ก็ไม่สามารถเห็นพวกเขาเป็นคนโง่เขลาที่เรียกมาใช้งานได้จริง ๆ โดยเฉพาะช่วงที่กำลังจะฉลองเทศกาลแล้ว ดังนั้นตอนที่กลับไปจ้าวเหวินเทาก็ให้กระต่ายพวกเขาคนละตัว และเพิ่มด้วยบุหรี่อีกหนึ่งกล่อง ของจะมาหรือน้อยก็เป็นน้ำใจ
แน่นอนว่าคนที่เขาติดหนี้บุญคุณก็คือจางหมิง จ้าวเหวินเทาให้ความสนใจกับอีกฝ่ายมาก ทำมาค้าขายก็ต้องมีเส้นสายจริง ๆ เส้นสายก็จำเป็นต้องบริหารจัดการด้วย
พี่สามจ้าวไม่ใช่คนโง่ ถึงอย่างไรเขาก็ทำเต้าหู้มานานขนาดนี้ แค่จ้าวเหวินเทาพูดก็เข้าใจแล้ว
“นี่เป็นเรื่องของหนี้บุญคุณสินะ!” พี่สามจ้าวส่ายหน้า “ฉันกลัวเรื่องหนี้บุญคุณที่สุดแล้ว เรื่องนี้ไม่สามารถชดใช้คืนได้”
“ไม่ต้องถึงกับใช้คืนจนหมดเกลี้ยงขนาดนั้นหรอกครับ ครั้งหน้าถ้าต้องการความช่วยเหลือก็ช่วย ๆ กัน ถ้าช่วยไม่ได้ก็บอกไปตรง ๆ หนี้บุญคุณแบบนี้เป็นเรื่องของการไปมาหาสู่กันนั่นแหละ” จ้าวเหวินเทากล่าว
พี่สามจ้าวแอบหดหู่ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าน้องชายจ้าวเหวินเทาคนนี้เข้าใจเรื่องต่าง ๆ มากกว่าเขาที่เป็นพี่ชายเสียอีกล่ะ?
“นายพูดถูก แต่หนี้บุญคุณก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก”
พี่สามจ้าวเป็นพวกยินดีที่จะเข้าใส่แต่ไม่ยินดีที่จะถอย แต่ก็รู้สึกว่าทำได้ยากไม่ใช่เหรอ!
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเอาเปรียบได้ พี่สามจ้าวคุยอยู่ครู่หนึ่งก็กลับไป
เย่ฉูฉู่นำผักที่ล้างจนสะอาดออกมาวางแช่น้ำไว้หนึ่งคืน วันพรุ่งนี้ค่อยนำไปสับที่ฟาร์มกระต่ายเพื่อนำไปห่อเกี๊ยว
“พี่สามมาทำอะไรเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่เข้ามาจึงเอ่ยถาม
“เขาจะทำอะไรได้ ก็มาเอาเปรียบน่ะสิ!” จ้าวเหวินเทาเล่าถึงวัตถุประสงค์ที่พี่สามจ้าวมาที่นี่ให้เธอฟังหนึ่งรอบ
เย่ฉูฉู่ก็คิดว่าพี่สามจ้าวช่างน่าสนใจมาก
“พี่สามบอกหรือเปล่าคะว่าจะจ้างเท่าไหร่?” เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม
“ผมไม่ได้ถาม ไม่ต้องคิดหรอก คนขี้งกแบบนั้นจะจ่ายสักเท่าไรกันเชียว!” จ้าวเหวินเทากล่าว “อีกอย่าง เขาจะยอมควักเงินจ่ายเหรอ? อย่างมากก็คงดูแลเรื่องอาหารไม่กี่มื้อ เขามาก็เพื่อจะเอาเปรียบนั่นแหละ”
เย่ฉูฉู่กล่าว “บางครั้งความคิดของพี่สามก็คล้ายกับเด็กเหมือนกันนะคะ ตรงที่คิดอะไรง่าย ๆ”
“รู้จักแต่จะเอาเปรียบ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ไม่รู้จักคิดซะบ้าง!” จ้าวเหวินเทากล่าว
วันรุ่งขึ้นเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ จ้าวเหวินเทาไม่ได้ขับรถออกไปข้างนอก หลังจากกินข้าวเช้าที่บ้านเสร็จ ก็นำกุยช่ายและผักชีล้อมที่ล้างไว้อย่างดีขึ้นรถ พาเย่ฉูฉู่และเสี่ยวไป๋หยางรวมถึงลูกลิงไปที่ฟาร์มกระต่าย
ลูกลิงไปที่นั่นหลายครั้งแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกแปลกที่ ทั้งยังแอบตื่นเต้นด้วย ฟาร์มกระต่ายมีพื้นที่กว้างขวางกว่าในบ้าน เพียงพอที่จะทำให้มันทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ ได้อีกนาน
เสี่ยวไป๋หยางก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน หลังจากที่โตมาขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถ ทั้งยังเดินทางไกลขนาดนี้ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจจ้องมองพร้อมกับส่งเสียง ‘แอ๊ ๆ’ เย่ฉูฉู่บอกให้จ้าวเหวินเทาขับรถให้ช้า ๆ จากนั้นก็คุยกับเสี่ยวไป๋หยาง นั่นคือต้นป๊อปลาร์ นั่นคือต้นหลิว นั่นคือข้าวโพด นั่นคือทานตะวัน เสี่ยวไป๋หยางเตะขาเล็ก ๆ ด้วยความดีใจ กระโดดไปมา
ตอนนี้เสี่ยวไป๋หยางก้าวเดินได้สองสามก้าวโดยมีผู้ใหญ่ช่วยประคองได้แล้ว เด็กคนนี้ดูเหมือนว่าไม่เพียงแต่จะพูดได้เร็ว แต่ยังเดินได้เร็วด้วย
เป็นเพราะขับรถจึงมาถึงเร็ว เขาจอดรถหลังจากขับมาถึงฟาร์มกระต่าย จากนั้นทั้งสี่คนก็ลงจากรถ ลูกลิงส่งเสียงร้อง ‘เจี๊ยก ๆ’ ความหมายของมันคือจะออกไปเล่น แค่เย่ฉูฉู่ตอบว่า ‘ไปสิ’ มันก็กระโจนไปไม่เห็นแม้แต่เงา
เสี่ยวไป๋หยางรู้สึกอิจฉามาก เขาก็อยากกระโจนออกไปเหมือนกับพี่ลิง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีความสามารถนั้น
“อ้าว พวกเธอมาถึงเร็วขนาดนี้เลย ฉันนึกว่าจะมาตอนเที่ยงซะอีก!” คุณแม่จ้าวสะบัดน้ำที่อยู่บนมือ เดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“มาเร็วสักหน่อย จะได้เล่นนานขึ้นอีกหน่อยค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม ก่อนจะยื่นเสี่ยวไป๋หยางไปตรงหน้าคุณย่า “เสี่ยวไป๋หยาง ดูสิ นี่ใครเอ่ย?”
เสี่ยวไป๋หยางมองคุณแม่จ้าว จากนั้นจึงยิ้มออกมา
“เด็กคนนี้เห็นใครก็ยิ้มให้เขาไปทั่วเลย!” จ้าวเหวินเทากล่าว
“เด็กยิ้มเก่งนี่แหละดี! เสี่ยวไป๋หยาง มา ให้ย่าอุ้มหน่อย!” คุณแม่จ้าวเช็ดมือกับเสื้อให้มือแห้ง ก่อนจะยื่นมือออกไปรับเสี่ยวไป๋หยาง
เสี่ยวไป๋หยางไม่ขัดขืน ส่งเสียงพูด ‘แอ๊ ๆๆ’ ด้วยรอยยิ้ม
“เด็กคนนี้เรียนรู้ที่จะพูดคุยแล้วนะ” คุณแม่จ้าวกล่าว “ว่าง ๆ ก็คุยกับลูกให้เยอะ ๆ”
“หลายเดือนมานี้ก็เอาแต่ส่งเสียง ‘แอ้ๆ’ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พูดเลยครับ” จ้าวเหวินเทานำกุยช่ายและผักชีล้อมไปวางไว้บนโต๊ะในลาน ก่อนจะหาเก้าอี้มาให้ตัวเองนั่ง “พ่อล่ะครับ?”
“ไปซื้อเนื้อแกะแล้ว เขาได้ยินว่าที่หมู่บ้านตะวันตกมีคนฆ่าแกะก็เลยไป คงไปลองดูเผื่อจะซื้อเนื้อแกะสด ๆ กลับมาให้พวกเธอสักหน่อย ฉูฉู่ไม่ชอบกินเนื้อหมูไม่ใช่เหรอ กว่าลูกจะพูดได้ก็คงต้องรอให้ถึงวันเกิดนู่นแหละ” คุณแม่จ้าวดูผักเหล่านั้นก่อนเอ่ยขึ้น “พวกเธอยังเอาผักมากันอีกเหรอ ที่นี่ก็มี แม่เตรียมไว้หมดแล้ว”
…………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มันเป็นเรื่องของเส้นสายใครเส้นสายมันน่ะพี่สาม พี่คงต้องหาคนอื่นแล้วก็ลดความขี้เหนียวลงมาสักหน่อย
ไหหม่า(海馬)