เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 343 ไม่มีเงินก็อย่าเข้าร่วมเลย
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 343 ไม่มีเงินก็อย่าเข้าร่วมเลย
ตอนที่ 343 ไม่มีเงินก็อย่าเข้าร่วมเลย
ตอนที่ 343 ไม่มีเงินก็อย่าเข้าร่วมเลย
ต้าหยารีบพูด “อาสาม อาเล็ก อาสะใภ้สี่บอกว่าจะไม่ให้ต้าหยากับซื่อหยาเรียนหนังสือแล้ว!”
“อะไรนะ ไม่ให้เรียนแล้ว?” พี่สามจ้าวไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้พูดถึงเรื่องนี้
“อาเล็ก อาพูดกับอาสะใภ้สี่หน่อยสิ ถ้าซานหยากับซื่อหยาไม่ได้เรียนหนังสือก็ต้องทำงานอยู่ที่บ้านแล้ว!” ต้าหยากล่าว
พี่สะใภ้สี่จ้าวอุ้มอู่หยาเดินออกมา “น้องหกมาแล้วเหรอ รีบเข้าบ้านสิ!”
ท่าทางหล่อนกระตือรือร้นราวกับว่านี่คือบ้านของตัวเอง
จ้าวเหวินเทากล่าวเคล้ารอยยิ้ม “พี่สะใภ้สี่ ไม่เรียนหนังสือไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้รัฐบาลมีกฎออกมาแล้ว เด็กต้องเรียนหนังสือ ไม่งั้นผิดกฎหมาย!”
อะไรนะ ผิดกฎหมายด้วย!” พี่สะใภ้สี่จ้าวชะงัก “พูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย?”
“ก็ต้องเรื่องจริงอยู่แล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามสำนักการศึกษาดูสิ” จ้าวเหวินเทาพูดราวกับว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
พี่สะใภ้สี่จ้าวไม่เคยได้ยินสำนักการศึกษาด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเดินทางไปสำนักการศึกษา “งั้นก็เรียนไปสิ!”
ต้าหยากระซิบกับซานหยาและซื่อหยา “อาเล็กนี่แหละที่มีวิธี!”
ซานหยาและซื่อหยาส่งเสียง ‘อื้อ’ และยิ้มออกมา พวกเธอชอบไปโรงเรียน เข้าเรียนได้ฟังนิทาน เลิกเรียนก็ได้เล่น อยู่ในบ้านนอกจากทำงานแล้วก็ยังต้องเลี้ยงน้อง ไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย!
“เจ้าสามกับเจ้าหกมาแล้ว! รีบขึ้นมานั่งบนเตียงสิ!” พี่รองจ้าวเดินออกมาทักทาย
“พี่สาม เจ้าหก พวกนายจะนั่งฝั่งไหน?” พี่สี่จ้าวเดินออกมาพร้อมกับถาม
“นั่งฝั่งไหนก็ได้!” พี่สามจ้าวถอดรองเท้าขึ้นนั่งบนเตียง
“พี่รองขึ้นไปนั่งบนเตียงเถอะ พี่สี่ก็ขึ้นไปนั่งด้วย ผมนั่งที่ขอบเตียงก็ได้” จ้าวเหวินเทากล่าว
“ให้พี่รองนั่งที่ขอบเตียงนั่นแหละ” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “มีอะไรก็จะได้ลงมาได้สะดวก”
พี่รองจ้าวกล่าว “ได้ เจ้าหกขึ้นไปนั่งบนเตียงเถอะ นั่งกับเจ้าสี่นั่นแหละ”
หลังจากพวกพี่น้องจัดที่นั่งกันด้วยความเกรงใจ พี่สะใภ้รองจ้าวก็หยิบเหล้าขาวออกมา “จะดื่มแบบร้อนหรือแบบเย็นดี?”
จ้าวเหวินเทา “พี่สะใภ้รอง พี่เอาบะหมี่มาให้ผมก่อนดีกว่า ฉันต้องกินอะไรรองท้องสักหน่อย ตอนเที่ยงยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“ทำไมยังไม่กินข้าวอีกเนี่ย?” พี่สะใภ้สี่จ้าวถาม “น้องหกหาเงินจนไม่มีเวลากินข้าวเลยเหรอ!”
จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ยุ่งอยู่กับการหาเงินก้อนโตน่ะ!”
พี่สะใภ้รองจ้าวยิ้ม “ได้สิ เดี๋ยวฉันทำบะหมี่ให้นายก่อน”
“พี่สะใภ้รอง ให้ผมถ้วยหนึ่งด้วยนะ จะได้กินแล้วก็ดื่มไปด้วยเลย” พี่สามจ้าวกล่าว
พี่รองจ้าวเอ่ย “งั้นคุณก็ต้มบะหมี่ไปเลยแล้วกัน พวกเราจะได้กินแล้วก็ดื่มไปด้วยเลย ดื่มเหล้าตอนท้องว่างไม่ดีเท่าไหร่”
“ได้ เดี๋ยวฉันไปต้มให้ พวกคุณกินกับข้าวไปก่อนนะ!” พี่สะใภ้รองจ้าวจึงเดินไปต้มบะหมี่
พี่สะใภ้สี่จ้าวอุ้มลูกนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวที่พื้น และถามถึงเรื่องซื้อขายข้าวสารอย่างตรงไปตรงมา
จ้าวเหวินเทาคีบกับข้าวกินพร้อมกับพูด “ไปตอนไหนก็ยังไม่สรุปเลย กำลังหารถอยู่ ตอนนี้รถไม่ว่างเลย ก็เลยหายาก! ฝีมือทำอาหารของพี่สะใภ้รองดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะครับเนี่ย!”
พี่สะใภ้รองจ้าวที่กำลังยุ่งอยู่นอกห้องได้ยินก็พูดด้วยความดีใจว่า “จริงเหรอ งั้นก็กินเยอะ ๆ นะ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังกินข้าวคำโต
“งั้นก็คงใช้เงินไม่น้อยเลยสินะ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวรีบถาม
“ก็ต้องใช้เงินไม่น้อยอยู่แล้ว” พี่สามจ้าวพูดต่อ “เจ้าหก นายบอกว่าต้องใช้เงินทุนหนึ่งหมื่นหยวนเหรอ ตอนนี้ได้มาเท่าไรแล้วล่ะ?”
“ตอนนี้รวมกันได้เก้าพันแล้ว ขาดอีกหนึ่งพัน” จ้าวเหวินเทาตอบ
“หา? รวมกันได้เก้าพันแล้ว เร็วขนาดนี้เลย!” พี่สามจ้าวถึงกับตกตะลึง
จากตอนเช้าถึงตอนนี้ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ทำไมถึงรวบรวมเงินได้มากขนาดนี้! คนอื่น ๆ ได้ฟังก็รู้สึกเหนือความคาดหมายมากเช่นกัน
จ้าวเหวินเทากล่าว “เร็วอะไรกันล่ะ ผมคิดจะซื้อขายข้าวสารมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ก็เลยเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้ยืนยันที่จะทำแล้ว”
“แล้วทำไมนายไม่พูดตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ?” พี่สามจ้าวถาม
“ตอนนั้นแค่วางแผน ยังไม่ได้ข้อสรุป ตอนนี้ได้ข้อสรุปแล้วก็เลยมาพูดกับพวกพี่นี่แหละ” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างสบาย ๆ
“แล้วมีใครบ้างล่ะ?” พี่รองจ้าวถามด้วยความสงสัย
“พวกเขาออกเงินกันเท่าไร?” พี่สะใภ้สี่จ้าวเห็นว่าสามีเอาแต่กินอาหารไม่พูดไม่จา จึงรีบถาม
“ก็คนกันเองทั้งนั้นแหละ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวห้า พี่ชายของฉูฉู่อีกสองคน แล้วก็เพื่อนของฉันอีกสองคน พวกเขาออกเงินคนละหนึ่งพัน รวมกันก็หกพัน ส่วนผมออกเองสามพัน” จ้าวเหวินเทากล่าว
“พี่สาวใหญ่กับน้องสาวห้าก็ออกเงินด้วยเหรอ?” พี่สามจ้าวแอบเหนือความคาดหมาย “พวกเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินนี่นา”
“ใครบ้างไม่ขาดแคลนเงิน หาเงินได้เยอะขึ้นอีกหน่อยก็เอาทั้งนั้นแหละ” จ้าวเหวินเทากล่าว “ผมบอกว่าอย่างน้อย ๆ รวมกันหนึ่งหมื่น ถ้าพวกพี่ลงเงินเยอะ ก็ได้เยอะ ลงน้อยก็ได้น้อย เดี๋ยวผมจะไปถามคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านอีก”
“น้องหก ที่บ้านไม่มีเงินเลย นี่ทำงานกันเองแค่สองปี ในบ้านมีแค่ธัญพืช ธัญพืชนี้ก็ยังต้องเก็บไว้กินเองอีก ฉันก็ไม่มีลูกชายด้วย ถ้าฉันมีลูกชาย นี่ก็ยังเป็นรายจ่ายอีกส่วนหนึ่ง แถมยังมีค่าใช้จ่ายอิรุงตุงนังปีหน้าอีก น้องหก ชีวิตของพวกเราลำบากมากเลยนะ!” พี่สะใภ้สี่จ้าวเริ่มบ่น
จ้าวเหวินเทารอให้หล่อนบ่นเสร็จจึงพูดว่า “พี่สะใภ้สี่ พี่ไม่ต้องคิดให้มากมายหรอก ไม่ทำการค้าขายครั้งนี้ก็ไม่เป็นไร ถึงยังไงตอนนี้พี่ทำเต้าหู้ให้พี่สามก็หาเงินได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ พูดตามตรง ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำกำไรได้หรือเปล่า ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่เคยค้าขายข้าวสารมาก่อน หากเสียเงินหนึ่งหมื่นนี้ไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับพวกพี่ยังไงเหมือนกัน ทำค้าขาย โดยเฉพาะการค้าขายใหญ่ ๆ แบบนี้ ต้องมีเงินเย็น ถ้าเอาเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันออกมาทั้งหมด แบบนั้นไม่ได้หรอก ถ้าขาดทุนขึ้นมาคงไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ ผมเองก็ยืมมาเหมือนกัน เพิ่งเอาฟาร์มกระต่ายเข้าธนาคารเพื่อกู้เงินออกมานี่เอง”
“อะไรนะ นี่เป็นเงินที่นายไปกู้ธนาคารมาเหรอ?” พี่สามจ้าวเบิกตาโต
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่งั้นผมจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนี้มาจากไหน!” จ้าวเหวินเทาตอบ “ตอนนี้ค้าขายก็ไม่ค่อยดี เงินทุนก็จมกับของหมดแล้ว ของที่ขายออกไปก็ยังต้องรอเก็บเงินช่วงปลายปี เศษเงินส่วนอื่น ๆ มันจะไปพอที่ไหนกัน!”
“เงินจากธนาคารมีดอกเบี้ยด้วยไม่ใช่เหรอ?” พี่รองจ้าวถาม
“ใช่ มีดอกเบี้ยด้วย!” จ้าวเหวินเทาตอบ
พี่สะใภ้รองจ้าวเดินออกมาพร้อมกับถ้วยบะหมี่ที่ต้มเรียบร้อยแล้ว “แต่นายก็ยังไปกู้เงินจากธนาคารเนี่ยนะ!”
“ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้จนแล้ว จะไปยืมเงินจำนวนมากขนาดนั้นได้จากที่ไหน?” จ้าวเหวินเทากล่าว “กู้เงินจากธนาคารก็ยากเหมือนกันนะ! ตอนแรกผมคิดว่าทำหลักฐานการยืมก็เรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ยังต้องวางหลักค้ำประกันด้วย ผมไม่มีอะไรเลย ก็เลยเอาฟาร์มกระต่ายไปค้ำประกันไว้”
“โอ๊ย แล้วถ้าขาดทุนขึ้นมา ฟาร์มกระต่ายนั่นก็ต้องเป็นของธนาคารน่ะสิ?” พี่สามจ้าวพูดด้วยความรีบร้อน เพราะโรงเต้าหู้ของเขาสร้างอยู่ข้างฟาร์มกระต่าย!
“ไม่หรอก ก็แค่เอากระต่ายไปขายแล้วนำเงินไปคืนให้ธนาคาร ส่วนฟาร์มกระต่ายยังเป็นของผม บนสัญญาเขียนไว้อย่างชัดเจนแล้ว” จ้าวเหวินเทาตอบ
“เจ้าหก นี่เรื่องจริงเหรอ? ทำไมนายทำแบบนี้ล่ะ?” พี่สะใภ้รองจ้าวยกบะหมี่เข้ามา ย้ายเก้าอี้มานั่งพลางเอ่ยถาม
“พนันกันสักตั้ง!” จ้าวเหวินเทากล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ถ้าขาดทุนก็แค่เสียเงินจากกระต่ายไปสองสามปี แต่ถ้าได้กำไรก็คือกำไร!”
พี่สะใภ้สี่จ้าวอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ในเมื่อเงินของจ้าวเหวินเทากู้มาจากธนาคาร หล่อนจะขอให้จ้าวเหวินเทาออกเงินสำรองไปก่อนได้อย่างไรกัน
“บะหมี่นี่อร่อยจริง ๆ!” จ้าวเหวินเทากล่าว “พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สี่ พวกพี่กับพวกเด็ก ๆ ก็กินด้วยกันสิ ไม่ใช่คนอื่นคนไกลสักหน่อย!”
พี่สะใภ้รองจ้าวยิ้ม “พวกเธอกินไปเถอะ ขึ้นไปกินบนโต๊ะกันหมดก็นั่งไม่พอหรอก พวกเรานั่งกินที่พื้นนี่แหละ” ระหว่างที่พูดก็ย้ายโต๊ะพับมา
พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดอย่างหมดแรงว่า “แล้วถ้าต้องออกเงิน ควรออกเท่าไรล่ะ?”
จ้าวเหวินเทาเอ่ย “ยังไงก็ต้อง 100-200 หยวนนั่นแหละ พี่สะใภ้สี่ ถ้าไม่ไหว พวกพี่ก็อย่าทำเลย เพราะมีความเสี่ยงมากจริง ๆ!”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่สะใภ้สี่คิดอะไรก็เหมือนโดนเหวินเทาดักทางไว้หมดแล้วเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)