เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 347 ชีวิตประจำวันของครอบครัว
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 347 ชีวิตประจำวันของครอบครัว
ตอนที่ 347 ชีวิตประจำวันของครอบครัว
ตอนที่ 347 ชีวิตประจำวันของครอบครัว
เย่ฉูฉู่พูดเคล้ารอยยิ้ม “คุณแม่ ชีวิตต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ อยู่แล้วค่ะ แม่คอยดูได้เลย อีกยี่สิบปี ชีวิตต้องดีกว่าตอนนี้แน่นอน!”
“แม่จะมีชีวิตอยู่ถึงตอนนั้นเหรอ?” คุณแม่จ้าวแย้มยิ้มกล่าว
“ดูคุณแม่พูดเข้าสิคะ อีกยี่สิบกว่าปีแม่เพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ทำไมจะอยู่ไม่ถึงล่ะคะ!”
“ผ่านไปอีกยี่สิบกว่าปีแม่ก็เจ็ดสิบกว่าแล้ว คนแก่ ๆ ต่างก็พูดว่ามีชีวิตถึงเจ็ดสิบเจ็ดปี ยมบาลไม่เรียกก็มีผีมาพัวพันแล้ว!” คุณแม่จ้าวกล่าว
“มีแต่คนพูดแบบนั้นกันทั้งนั้น แล้วคนแก่ ๆ ที่อายุ 80-90 เหล่านั้นล่ะคะ ไหนจะคนที่อายุร้อยกว่าปีนั่นอีก คุณแม่ คุณแม่ควรเรียนรู้จากพวกเขานะคะ” เย่ฉูฉู่กล่าว
“จริงสินะ ต้องไปเรียนรู้กับพวกเขา!” คุณแม่จ้าวพูด เมื่อเห็นดวงตากลมโตของเสี่ยวไป๋หยางที่กำลังเงยหน้ามองตนเอง จึงพูดหยอกล้อหลานว่า “เสี่ยวไป๋หยาง ย่าจะไปเรียนรู้กับพวกเขา จะได้มีชีวิตไปถึงร้อยปีนะ ย่าจะรอดูเสี่ยวไป๋หยางแต่งงาน เลี้ยงลูกให้เสี่ยวไป๋หยางด้วย เสี่ยวไป๋หยางอยากให้ย่าทำแบบนั้นไหมลูก?”
“ย่า!” จู่ ๆ เสี่ยวไป๋หยางก็พูดโพล่งออกมา
คุณแม่จ้าวถึงกับชะงัก ดีใจยกใหญ่ “ฉูฉู่ ได้ยินแล้วใช่ไหม เสี่ยวไป๋หยางเรียกย่าได้แล้ว! เสี่ยวไป๋หยาง พูดไหมอีกทีสิลูก ย่า…ไหนเรียกย่าซิ!”
“ย่า!” เสี่ยวไป๋หยางเรียกอีกครั้ง
เย่ฉูฉู่พูดเคล้ารอยยิ้ม “คุณแม่ เสี่ยวไป๋หยางเรียกได้นานแล้วค่ะ แถมยังเรียกปู่ได้แล้วด้วย ตอนนี้เขาพูดเปล่งเสียงได้เยอะเลย แต่ยังได้แค่พยางค์เดียว”
“ค่อย ๆ พูดเดี๋ยวก็เป็นเองนั่นแหละ! ไหน เสี่ยวไป๋หยาง เรียกย่าให้ฟังอีกทีซิลูก!” คุณแม่จ้าวเรียกให้เสี่ยวป๋างหยางมองหน้า และบอกให้เสี่ยวไป๋หยางเรียกนาง
เสี่ยวไป๋หยางแรกเริ่มก็ยังเรียกอย่างมีความสุข แต่หลังจากเรียกไปสองสามครั้งก็เริ่มไม่เต็มใจแล้ว จึงเบือนหน้าหันไปมองเย่ฉูฉู่ที่กำลังห่อเกี๊ยว คุณแม่จ้าวจึงเรียกร้องอีกครั้ง แต่กลับถูกเสี่ยวไป๋หยางผลักออกอย่างโกรธเคือง ทั้งยังส่ายหน้าปิดปากสนิท คุณแม่จ้าวไม่เพียงไม่เพียงไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา
“เด็กคนนี้เหมือนกับเหวินเทาตอนเด็ก ๆ เลย! ดื้อมาก!” คุณแม่จ้าวพูดพลางจิ้มหน้าผากเสี่ยวไป๋หยางเบา ๆ “เธอนี่นะเหมือนพ่อตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิดเลย!”
เสี่ยวไป๋หยางโบกมือเล็ก ๆ ปัดมือของคุณแม่จ้าวออกไป จากนั้นจึงคลานไปหาเย่ฉูฉู่ เย่ฉูฉู่มองดูเวลาพลางกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “คุณแม่ เขาต้องกินนมแล้ว ฉันไปให้นมก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันกลับมาห่อต่อ”
“ไม่เป็นไร เธอไปป้อนนมเถอะ เดี๋ยวแม่ห่อเอง” คุณแม่จ้าวลงจากเตียงเดินไปล้างมือ
เย่ฉูฉู่อุ้มเสี่ยวไป๋หยางขึ้นมา กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ทำไมไม่เรียกย่าล่ะลูก?”
เสี่ยวไป๋หยางไม่สนใจ แสร้งทำท่าทางหมดความอดทนอย่างมาก
คุณแม่จ้าวล้างมือเสร็จแล้วก็ไปห่อเกี๊ยวในส่วนที่เหลือจนเสร็จ จากนั้นจึงยกไปต้ม
“คุณแม่มาอยู่ที่นี่แล้ว ฟาร์มกระต่ายทางฝั่งนั้นจะไม่เป็นอะไรเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ถาม
“ไม่เป็นไร แม่ให้พ่อเธอดูให้อยู่ แค่ไม่กี่วันเอง” คุณแม่จ้าวกล่าว
เย่ฉูฉู่ป้อนนมลูกไปพลางปอกกระเทียมไปพลาง เกี๊ยวผักกาดดองต้องจิ้มกับกระเทียมบดถึงจะหอมเป็นพิเศษ!
“หลานกินเกี๊ยวได้หรือยัง?” คุณแม่จ้าวถาม
“ให้กินตรงขอบ ๆ เกี๊ยวได้ค่ะ ตอนนี้เขายังกินเกลือไม่ได้” เย่ฉูฉู่กล่าว “ฉันได้ยินพี่สะใภ้สามบอกว่า ก่อนอายุสามขวบพยายามอย่าให้กินเกลือ”
“สามขวบเลยเหรอ นานขนาดนั้นเลย!” คุณแม่จ้าวไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็พอจะทราบว่าเด็กในตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้น จึงไม่ได้ถามอะไรอีก
เย่ฉูฉู่เห็นว่าแม่สามีไม่ได้คัดค้านอะไร จึงแอบโล่งอก เพราะเธอเองก็แอบกังวลว่าแม่สามีจะยืนกรานให้หลานชายกิน
อันที่จริงหากเป็นพี่สะใภ้สี่ คุณแม่จ้าวอาจจะพูดมากกว่านี้ แต่กับเย่ฉูฉู่กลับไม่ได้ทำแบบนั้น ถึงอย่างไรแค่ดูจากหลานก็พอจะทราบแล้ว เลี้ยงดีขนาดนี้ แถมยังสะอาดสะอ้าน ร่างกายแข็งแรง ยังต้องสนใจอะไรอีก!
คนแก่จำนวนมากชอบดูแลเรื่องต่าง ๆ จึงไม่ชอบสิ่งที่พวกคนหนุ่มสาวทำ แค่เห็นก็จะเข้ามาจัดการแล้ว แต่เรื่องที่เย่ฉูฉู่ทำคุณแม่จ้าวรู้สึกเจริญหูเจริญตา ย่อมไม่ได้เข้าไปวุ่นวายอะไร
เกี๊ยวถูกตักขึ้นมาจากหม้อแล้ว เย่ฉูฉู่ยืนกรานที่จะทำแตงกวาทุบด้วย จากนั้นสามแม่ลูกก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร
เสี่ยวไป๋หยางกลับส่งเสียงร้อง ‘แอ้ ๆๆ’ ชี้นิ้วไปที่ห้องฝั่งตะวันตก คุณแม่จ้าวกลับไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
“เด็กคนนี้อยากได้อะไรเหรอ?” คุณแม่จ้าวถาม
“เขาเรียกให้ไฉไฉมากินข้าวน่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณแม่กินข้าวเถอะค่ะ ไม่ต้องสนใจเขาหรอก”
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกลิงเลย เป็นเพราะคุณแม่จ้าวอยู่ด้วยจึงไม่กล้าออกมา จึงเก็บตัวอยู่ในห้องตะวันตกอย่างเงียบเชียบ
“แหม เด็กคนนี้ รู้จักเรียกให้ลิงมากินข้าวด้วยนะ!” คุณแม่จ้าวส่ายหน้า “เป็นเด็กฉลาดจริง ๆ!”
เย่ฉูฉู่ตักเกี๊ยวใส่ถ้วย และตักแตงกวาเพิ่มอีกนิดหน่อย ก่อนจะนำไปส่งให้ลูกลิงที่อยู่ในห้องตะวันตก ส่วนกระเทียมไม่ได้ตักให้ เพราะลูกลิงกินไม่ได้
เสี่ยวไป๋หยางกลับไม่มีความสุข เอาแต่ชี้นิ้วไปที่ห้องตะวันตกเพราะอยากให้ลูกลิงออกมากินข้าวที่ห้องนี้ด้วย เย่ฉูฉู่จึงทำได้เพียงแค่พูดกับเขาด้วยเหตุผล
“ไฉไฉกินข้าวอยู่ในห้องนะลูก รออีกสองวันค่อยให้ไฉไฉมากินข้าวเป็นเพื่อนเสี่ยวไป๋หยางนะคะ”
เย่ฉูฉู่พูดแบบนี้กับเสี่ยวไป๋หยางนับสิบครั้งกว่าอีกฝ่ายจะหยุดชี้นิ้ว
คุณแม่จ้าวถึงกับจนปัญญา “ฉูฉู่ เด็กจะไปฟังเข้าใจอะไรกัน ดูเธอสิ คิดว่าเขาจะเข้าใจสินะ!”
เย่ฉูฉู่กล่าว “คุณแม่ ถ้าบอกเขาหลายครั้งเขาก็จะเข้าใจค่ะ คุณแม่ดูสิ ตอนนี้ก็เชื่อฟังแล้ว”
คุณแม่จ้าวยังจะพูดอะไรได้ จึงได้แต่พูดกับเสี่ยวไป๋หยางว่า “เสี่ยวไป๋หยาง หลานนี่ชี้นิ้วสั่งคนอื่นเก่งจริง ๆ นะ!”
หลังจากกินข้าวและเก็บกวาดเสร็จแล้ว เสี่ยวไป๋หยางก็นอนกลางวัน สองแม่สามีลูกสะใภ้ก็เอนตัวนอนบนเตียงพูดคุยกัน พูดถึงจ้าวเหวินเทาว่าตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว ระหว่างทางกินอะไรหรือยัง จะนอนที่ไหน ทั้งแม่และภรรยาต่างก็เป็นห่วงเขามาก
“คุณแม่ มีคนไปเยอะแยะขนาดนั้น ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ครั้งนี้เย่ฉูฉู่กลับปลอบใจแม่สามี “อีกอย่างยังมีพี่สี่ไปด้วยนะคะ”
“พี่สี่ของเธอซื่อจะตายไป อยู่ข้างนอกหวังพึ่งอะไรไม่ได้หรอก” คุณแม่จ้าวกล่าว “นี่ถ้าพี่สามของเธอไปด้วยค่อยว่าไปอย่าง แต่พี่สามของเธอยุ่งอยู่กับเต้าหู้ เลยไปไม่ได้”
“คุณแม่ พี่สี่ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณแม่พูดหรอกค่ะ พี่สี่เป็นคนมีความคิดมากเลยนะคะ” เย่ฉูฉู่กล่าว
ในมุมมองของเย่ฉูฉู่ พี่รองจ้าวเป็นคนซื่อจริง ๆ ส่วนพี่สามจ้าวเป็นคนมีไหวพริบ คนเดียวที่ไม่สามารถมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งได้ก็คือพี่สี่ ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าพี่สี่คงมีความคิดเหมือนกับพี่สะใภ้สี่ที่อยากมีลูกชาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้เมื่อต้าหยาคลอดออกมาก็คือพี่สี่ไม่ได้ผิดหวังเหมือนที่จินตนาการไว้ กลับเป็นพี่สะใภ้สี่ที่เอาแต่บ่นทั้งวัน
อ้างตามเหตุผลแล้วผู้ชายต้องการลูกชายมากกว่าผู้หญิงเสียอีก แต่ดูตอนนี้พี่สี่จ้าวกลับไม่ถือสาอะไรเลย ดังนั้นเย่ฉูฉู่จึงคิดว่าพี่สี่เป็นคนฉลาดแต่ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น
ถึงจะพูดแบบนี้ไปแล้ว แต่คุณแม่จ้าวกลับพูดว่า “หวังพึ่งเขาไม่ได้หรอก พูดถึงแล้วแม่ก็เป็นห่วง นี่ถ้าไม่มีลูกชายพี่สะใภ้สี่ของเธอได้เป็นบ้าแน่ แม่เคยพูดกับพี่สี่ของเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว พี่สี่บอกว่าเขาคิดได้แล้ว จะลูกชายหรือลูกสาวก็เป็นสิ่งที่โชคชะตาลิขิตไว้ ไม่สามารถบังคับได้ แม่ก็พูดกับเขาไปว่า ลูกกตัญญูไม่แบ่งหรอกว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว เลี้ยงดูลูกสาวทั้งสามคนให้ดีก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย พี่สี่ของเธอก็พูดแบบนี้ แต่พี่สะใภ้สี่ของเธอที่ยังคิดไม่ได้คนนั้นไม่ว่าจะพูดยังไงก็ไม่เข้าใจ!”
เย่ฉูฉู่นึกถึงพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ถอนหายใจ ยากเกินเยียวยาแล้ว เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องดีที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ พูดถึงเรื่องจ้าวเหวินเทาอีกครั้งแม่สามีก็เป็นกังวลขึ้นมาอีก จึงเปลี่ยนบทสนทนาไปถึงเรื่องที่เธอออกแบบฟาร์มกระต่าย
“…คุณแม่ นี่เป็นภาพที่ฉันวาดไว้ คุณแม่ดูให้หน่อยสิคะว่าสวยไหม?” เย่ฉูฉู่หยิบภาพออกแบบฟาร์มกระต่ายที่วาดด้วยดินสอมาให้แม่สามีดู
คุณแมจ้าวถูกเบี่ยงเบนความสนใจแล้ว นางรับภาพไปดูก็ถึงกับประหลาดใจอย่างมาก “โห! นี่เธอวาดเหรอ วาดสวยขนาดนี้เลย!”
“คุณแม่ คุณแม่มองออกไหมคะว่านี่คืออะไร?” เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม
“เธอคิดว่าแม่กำลังปลอบใจเธออยู่สินะ!” คุณแม่จ้าวกล่าวเคล้ารอยยิ้ม ก่อนจะชี้ไปยังเนื้อหาที่อยู่บนภาพวาด “นี่คือต้นไม้ ไม้ผล ส่วนนี่คือบ้าน นี่คือสะพานเล็ก ๆ นี่คือชิงช้า นี่คือศาลา…”
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
การเลี้ยงเด็กเล็กก็แบบนี้แหละค่ะ ต้องใจเย็นๆ ค่อย ๆ สอน
ฟาร์มกระต่ายที่ฉูฉู่ออกแบบน่าจะสวยงามน่าอยู่มากเลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)