เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 368 เบียดเสียดเกินไปแล้ว
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 368 เบียดเสียดเกินไปแล้ว
ตอนที่ 368 เบียดเสียดเกินไปแล้ว
ตอนที่ 368 เบียดเสียดเกินไปแล้ว
“พี่สี่ของลูกเขย บ้านแคบสักหน่อยนะ ที่นี่คงสู้ในชนบทของพวกเราไม่ได้” คุณแม่เย่เรียกให้พี่สี่จ้าวนั่งด้วยรอยยิ้ม
พี่สี่จ้าวรีบพูดว่า “คุณป้า แค่นี้ก็ดีมากแล้วครับ ผมได้ยินเจ้าหกบอกว่าในเมืองมีบางคนต้องทนเบียด ๆ กันอยู่หลายสิบคน เวลานอนก็นอนบนพื้นด้วย”
“ใช่จ้ะ! สิ่งนี้เห็นได้บ่อย ๆ ในเมืองเลยล่ะ” คุณแม่เย่รินน้ำชา “พวกเราอยู่ที่นี่ยังดีหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีเตียงเป็นของตัวเอง บางที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แถมยังอยู่ในห้องใต้ดินด้วย เธอคิดดูสิ อยู่ใต้ดินจะชื้นขนาดไหน ป้ายังไม่รู้เลยว่าอยู่กันได้ยังไง! ในเมืองนี้ถ้ามีเงินก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าไม่มีเงินคงสู้ชนบทของเราไม่ได้ แค่วันเดียวก็ใช้ชีวิตไม่ไหวแล้ว!”
พี่สี่จ้าวก็คิดเช่นกัน ในเมืองแห่งนี้ แค่ขยับตัวก็ต้องใช้เงินแล้ว
“พี่สี่ของลูกเขยนั่งก่อนนะ ป้าขอไปดูหลานหน่อย หลานน่าจะตื่นแล้ว” คุณแม่เย่กล่าวแล้วเดินเข้าไปในห้อง
เย่หมิงเป่ยไปรับโจวหมิ่นแล้ว พี่สี่จ้าวนั่งอยู่ด้านนอกห้อง มองป้าแม่บ้านที่กำลังยืนทำอาหารอยู่ที่ประตูห้อง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าที่นี่เล็กเกินไป และเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้ให้เขาไปนอนที่โรงงานเสื้อผ้า
สถานที่เล็ก ข้าวของเยอะ ในบ้านเบียดเสียดอย่างเห็นได้ชัด พี่สี่จ้าวลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง เคลื่อนตัวเดินอยู่ในสถานที่ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ มองไปรอบ ๆ บนตู้มีของเล่นวางอยู่หนึ่งกอง ในตู้มีเสื้อผ้าหนึ่งกอง และยังมีบัตรหลากหลายรูปแบบ ด้านบนนั้นมีลวดลายต่าง ๆ พิมพ์อยู่บนนั้น แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นของของเด็ก
หลังจากดูไปรอบหนึ่ง ในห้องนี้มีสิ่งเดียวที่รู้สึกคุ้นเคยนั่นก็คือบนกำแพงมีตะกร้าและกระด้งที่ใช้ก้านข้าวฟ่างสานแขวนอยู่
“มาเร็ว พี่สี่ของลูกเขย มาดูเสี่ยวเยว่เยว่ของพวกเราสิ!” คุณแม่เย่อุ้มหลานออกมาแล้ว “เรียกลุงสี่สิลูก!”
เสี่ยวเยว่เยว่เรียกเย่ฉูฉู่ว่า ‘อา’ พี่สี่จ้าวเป็นพี่ชายของสามีเย่ฉูฉู่ อ้างตามนี้ก็ต้องเรียกว่า ‘ลุง’ ดังนั้นคุณแม่เย่จึงสอนเสี่ยวเยว่เยว่แบบนี้
เสี่ยวเยว่เยว่ตัวขาวอ้วนจ้ำม่ำ ดวงตาคล้ายกับเย่หมิงเป่ย คางคล้ายโจวหมิ่น สวมใส่เสื้อผ้าจนตัวกลมดิก ดวงตากลมโตกำลังจ้องมองพี่สี่จ้าวด้วยความสงสัย ไม่ได้รู้สึกกลัวคนแปลกหน้าเลยสักนิด
“เด็กคนนี้ดีจริง ๆ ไม่กลัวคนแปลกหน้าเลย คล้ายกับเสี่ยวไป๋หยางเลยนะเนี่ย!” พี่สี่จ้าวกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
“เสี่ยวไป๋หยางก็ไม่กลัวคนแปลกหน้าเหมือนกันเหรอ?” คุณแม่เย่ถาม
“ไม่กลัวเลยครับ เห็นใครก็ยิ้มให้หมด ตอนนี้พูดเป็นแล้ว แถมยังเดินได้แล้วด้วย!” พี่สี่จ้าวยื่นมือออกไปทำท่าจะอุ้ม
เสี่ยวเยว่เยว่รีบเบือนหน้าไปทางอื่น ใช้มือโอบรอบคอคุณแม่เย่ พี่สี่จ้าวจึงแอบหน้าเจื่อนเล็กน้อย
คุณแม่เย่หัวเราะ “เด็กคนนี้ไม่กลัวคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่ยอมให้ใครอุ้ม! อู่หยาของเธอก็เดินได้แล้วใช่ไหม?”
“เดินได้แล้วครับ อายุมากกว่าเสี่ยวไป๋หยางหนึ่งเดือน” พี่สี่จ้าวกลับมานั่งคุยที่เก้าอี้
เสี่ยวเยว่เยว่เห็นว่าคนแปลกหน้าคนนี้ไม่อุ้มแล้ว จึงหันหน้ากลับมาอีกครั้งและมองเขาด้วยความสงสัยต่อ
คุณแม่เย่กล่าว “เลี้ยงง่ายไหม?”
เลี้ยงง่ายที่ว่าหมายถึงไม่ดื้อและไม่ทำให้หนักใจ
“ก็ดีนะครับ เลี้ยงง่ายมาก กินอิ่มก็ไม่ร้องไม่โวยวายแล้ว แต่เสี่ยวไป๋หยางเลี้ยงง่ายยิ่งกว่า อยู่กับลิงตัวนั้นของบ้านเจ้าหก คุณป้าก็รู้ใช่ไหมครับ?” พี่สี่จ้าวถาม
“รู้สิ ชื่อไฉไฉใช่ไหม!” คุณแม่เย่ตอบ
“ใช่ครับ เสี่ยวไป๋หยางเล่นกับลิง เล่นกันสนุกสนานเชียว” พี่สี่จ้าวพูด
คุณแม่เย่กล่าว “สองคนนั้นนี่ไม่ได้เรื่องเลยนะ! ไปเอาลิงกลับมา ป้าล่ะเป็นห่วงกลัวจะไปข่วนหลาน”
“ลิงตัวนี้รู้ภาษาคน ผมเห็นน้องสะใภ้หกทำงาน ก็มีลิงตัวนั้นที่ช่วยดูเสี่ยวไป๋หยางให้ เวลามีคนมา ลิงตัวนั้นก็จะวิ่งหนี” พี่สี่จ้าวพูดถึงสถานการณ์ภายในบ้านของจ้าวเหวินเทา
เขารู้ดีว่าคุณแม่เย่ไม่ได้กลับไปนานขนาดนี้ ย่อมต้องคิดถึงลูกสาว เพียงแต่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมาหาเย่หมิงเป่ย ไม่เช่นนั้นเขาคงนำรูปถ่ายของเสี่ยวไป๋หยางติดมาสักสองสามแผ่น
คุณแม่เย่คิดถึงเย่ฉูฉู่มาก นางมีลูกสาวคนเดียว ตั้งแต่เล็กจนโตนี่เป็นครั้งแรกที่นางไม่ได้เจอหน้าลูกสาวนานขนาดนี้
“เฮ้อ เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้ พวกเขายุ่งกับการทำงาน ป้าก็เลยต้องอยู่ที่นี่เพื่อช่วยดูหลานให้ เลยไม่ได้ไปดูแลฉูฉู่เลย” คุณแม่เย่ถอนหายใจ
“คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ พวกเขาสบายดี” พี่สี่จ้าวไม่ใช่คนคุยเก่ง คำพูดคำจาจึงฟังดูห้วน ๆ
คุณแม่เย่รู้ดีว่าพี่สี่จ้าวเป็นคนซื่อ ๆ จึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย จากนั้นก็คุยเรื่องชีวิตประจำวันภายในเมืองหลวงกับเขาด้วยรอยยิ้ม
เพียงไม่นานเย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นก็กลับมา คราวนี้เย่หมิงเป่ยยังกลับมาพร้อมกับกล่องกระดาษอีกหนึ่งลัง
“นี่คืออะไรเนี่ย?” คุณแม่เย่ถาม
เสี่ยวเยว่เยว่เห็นเย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นกลับมาก็ส่งเสียงเรียกพร้อมกับขยับตัวด้วยความตื่นเต้น “ปะป๊า! หม่าม้า!”
“เด็กคนนี้ เห็นพ่อแม่เป็นไม่ได้เลยนะ!” คุณแม่เย่เคาะหัวเสี่ยวเยว่เยว่เบา ๆ พลางกล่าว
เสี่ยวเยว่เยว่ไม่สนใจแม้แต่น้อย ยังคงออกแรงเพื่อเข้าไปหาพ่อกับแม่
“เสี่ยวเยว่เยว่เด็กดี แม่ไปล้างมือก่อนนะลูก ล้างเสร็จแล้วค่อยอุ้มนะคะ” โจวหมิ่นทักทายพี่สี่จ้าว เดินเข้ามาหอมลูกสาวก่อนผละไปล้างมือ
เย่หมิงเป่ยวางกล่องลงและพูดว่า “นี่เป็นเครื่องประดับส่วนหนึ่งที่หมินหมิ่นสั่งทำ” เขาเองก็ไปล้างมือเช่นกัน
เสี่ยวเยว่เยว่โวยวายอยากไปหาพ่อกับแม่ คุณแม่เย่จึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจ ย่อตัวลงพร้อมกับเปิดกล่อง “มา เยว่เยว่ มาดูสิว่าแม่ซื้ออะไรมา”
เสี่ยวเยว่เยว่ถูกดึงดูดความสนใจจริง ๆ เธอก้มหน้ามอง
คุณแม่เย่ใช้มือข้างหนึ่งอุ้มหลาน เป็นเพราะใช้มือข้างเดียวเปิดไม่สะดวก พี่สี่จ้าวจึงรีบเข้ามาช่วย จนกระทั่งกล่องถูกเปิดออก ก็เห็นเครื่องประดับหลากหลายรูปแบบมีทั้งเล็กและใหญ่หลากหลายสีสัน คนที่เห็นถึงกับตาลายกันเลยทีเดียว
เสี่ยวเยว่เยว่ยื่นมือออกไปหยิบ คุณแม่เย่จึงหยิบพัดทรงกลมขนาดใหญ่ขึ้นมา ด้ามจับของพัดมีพู่สีแดง บนพัดปักเป็นลายดอกไม้และนก สวยงามอย่างมาก
เสี่ยวเยว่เยว่ถือเล่นในมือด้วยความพึงพอใจ
โจวหมิ่นล้างมือเสร็จจึงเดินกลับมาพร้อมกับพูดว่า “นี่เป็นของที่หนูสั่งทำขึ้นมาค่ะ เตรียมไว้ใช้ในงานแฟชั่นโชว์ มา เยว่เยว่ มาหาแม่เร็ว วันนี้ดื้อรึเปล่าเอ่ย?”
คุณแม่เย่ยื่นหลานไปให้โจวหมิ่น กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ไม่ดื้อเลย นี่เพิ่งตื่นเอง!”
โจวหมิ่นยิ้ม “นอนอีกแล้ว ยัยเด็กขี้เกียจ!”
เสี่ยวเยว่เยว่ถูกแม่อุ้มจึงรู้สึกดีใจอย่างมาก ยกพัดขึ้นมาให้แม่ของตัวเองดู โจวหมิ่นจึงหยอกล้อกับลูก ก่อนจะหันมาพูดกับพี่สี่จ้าวว่า “พี่สี่ เมื่อคืนหลับสบายไหมคะ หนาวหรือเปล่า?”
พี่สี่จ้าวเคยเจอโจวหมิ่นแค่ครั้งเดียว จึงพูดด้วยท่าทางระมัดระวังอย่างมาก “ไม่หนาว มีเครื่องทำความร้อน นอนหลับสบายมาก”
ในโรงงานเสื้อผ้าติดตั้งเครื่องทำความร้อน ในที่สุดฤดูหนาวก็ไม่ต้องใช้เตาเผาแล้ว
โจวหมิ่นกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “พี่สี่มาได้พอดีเลยค่ะ นี่ถ้ามาเมื่อปีที่แล้ว คงต้องเผาเตาเอง พวกเราก็เพิ่งจะใช้เครื่องทำความร้อนปีนี้แหละ”
“ชนบทก็เผาเตากันทั้งนั้น ฉันเผาเองได้” พี่สี่จ้าวตอบ
เย่หมิงเป่ยเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “กับข้าวเสร็จแล้ว พี่สี่ พวกเรามากินข้าวกันเถอะ”
“เอาสิ กินข้าวกันเถอะ” พี่สี่จ้าวมองห้องที่มีขนาดแค่นี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะนั่งกินข้าวกันที่ไหน
เย่หมิงเป่ยเปิดม่านที่อยู่ด้านในห้อง “พี่สี่ พวกเรากินข้าวกันในห้องนี้”
พี่สี่จ้าวเดินตามเข้ามา แค่เห็นก็รู้สึกได้ว่าห้องนี้มีขนาดใหญ่กว่าห้องด้านนอกนิดหน่อย แต่ก็ใหญ่กว่าแค่นิดหน่อยเท่านั้น ตรงกลางวางโต๊ะกลมก็เต็มแล้ว ติดกับผนังรอบ ๆ คือตู้ ด้านบนเต็มไปด้วยหนังสือ กระดาษ ปากกา กำแพงทางเหนือมีเตียงใหญ่หนึ่งเตียง ด้านบนกำแพงบนหัวเตียงมีรูปถ่ายของเย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่น เห็นได้ชัดว่านี่คือห้องนอนของเย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่น
“พี่สี่ นั่งสิ” เย่หมิงเป่ยลากเก้าอี้มาหนึ่งตัวและเรียกให้พี่สี่จ้าวนั่งลง “พี่สี่ดื่มอะไรดี เหล้าขาวหรือว่าเบียร์?”
พี่สี่จ้าวรีบพูด “ฉันไม่ดื่มเหล้าแล้ว พวกเรากินข้าวเถอะ”
โจวหมิ่นกล่าว “กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยดื่มเถอะค่ะ เดี๋ยวก็กัดกระเพาะหรอก”
“ใช่ กินข้าวก่อนแล้วกัน” เย่หมิงเป่ยวางเหล้าไว้บนตู้ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ “พี่สี่ พวกเราไม่ใช่คนอื่นคนไกล ถ้าพี่จะดื่มก็หยิบเองได้เลยนะ”
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นึกถึงสภาพห้องเช่าราคาถูกที่กินข้าวท่ามกลางกองของต่างๆ เลยค่ะ บางทีมันก็จำเป็นต้องอยู่แบบนี้น่ะนะ จะอยู่ห้องกว้างกว่านี้ก็แพงเกินไป
ไหหม่า(海馬)