เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 372 บรรจุภัณฑ์เชิงวรรณกรรมและศิลปะ
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 372 บรรจุภัณฑ์เชิงวรรณกรรมและศิลปะ
ตอนที่ 372 บรรจุภัณฑ์เชิงวรรณกรรมและศิลปะ
ตอนที่ 372 บรรจุภัณฑ์เชิงวรรณกรรมและศิลปะ
“พี่สาวของนายสบายดี หลานนายก็เดินวิ่งเต็มที่แล้ว กระต่ายกับไก่ที่พี่สาวนายเลี้ยงไว้ก็แข็งแรงดีมาก อันที่จริงในบ้านก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร นอกจากทำงานนี่แหละที่เหนื่อยหน่อย แต่ทุกอย่างก็ราบรื่นดี” พี่สี่จ้าวตอบ
เดินวิ่งเต็มที่ในที่นี้หมายถึงเด็กสามารถเดินและวิ่งได้แล้ว สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีใครช่วย
เสี่ยวหม่าถอนหายใจ “ตอนที่ผมอยู่บ้านก็อยากจะออกมาเพราะคิดว่าออกมานี่แหละดีที่สุดแล้ว ในบ้านไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด แต่พอได้ออกมาเจอกับโลกภายนอก จะให้กลับไปก็คงกลับไปไม่ได้แล้ว”
“ฉันรู้ เรื่องในบ้านนายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” พี่สี่จ้าวเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว “ในเมื่อออกมาแล้ว นายก็ตั้งใจทำงานให้ดีเถอะ อยู่ที่นี่ได้ก็อยู่ต่อไป แต่ถ้าไม่ไหวก็เก็บเงินให้เยอะ ๆ กลับไปสร้างบ้านแต่งงานจะได้ใช้ชีวิตดี ๆ!”
เสี่ยวหม่าส่งเสียงอืม “พี่สี่พูดถูก แต่ผมคงอยู่ที่นี่ต่อนั่นแหละ ให้ผมไปทำไร่ทำสวนผมทำไม่ไหวหรอก ผมกะว่าจะตั้งใจทำงานสะสมเงินไว้สักหน่อย แล้วก็จะซื้อบ้านเพื่อลงหลักปักฐาน ถึงเวลานั้นผมจะเรียกพ่อกับแม่ให้มาอยู่ด้วยกัน ให้พวกเขาได้มาใช้ชีวิตที่มีความสุขภายในเมือง!”
“เสี่ยวหม่า นายนี่อนาคตไกลดีจริง ๆ!” พี่สี่จ้าวกล่าวชื่นชม “ถ้าพ่อกับแม่นายรู้คงดีใจมากแน่ ๆ!”
“ก่อนหน้านี้ผมยังไม่รู้ประสีประสา ชอบทำให้พ่อกับแม่โมโห ตอนนี้ผมเพิ่งจะเข้าใจว่าบนโลกใบนี้คงมีแค่พ่อกับแม่ที่รักผมมากที่สุด! อันที่จริงผมก็คิดถึงบ้านมากเหมือนกัน” เสี่ยวหม่าพูดพลางยกมือขึ้นมาเช็ดดวงตา
พี่สี่จ้าวเห็นก็แอบเกิดความซาบซึ้งใจ เดินเข้ามาตบบ่าเขา “ตั้งใจทำงานนะ”
เสี่ยวหม่าพยักหน้าแรง ๆ
ช่วงเที่ยงเย่หมิงเป่ยมาที่นี่เพื่อนำอาหารมาส่งให้พี่สี่จ้าว ตอนบ่ายเสี่ยวหม่ายังต้องไปซ้อมต่อจึงรีบกลับไปแล้ว
“ที่จริงน่าจะอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ” พี่สี่จ้าวแอบอาลัยอาวรณ์
“เขากับพวกเรากินข้าวไม่เหมือนกันน่ะครับ” เย่หมิงเป่ยตอบ
พี่สี่จ้าวลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “แค่ครึ่งมื้อก็ไม่ได้เหรอ?”
เย่หมิงเป่ยยิ้ม “ครึ่งมื้อก็ได้อยู่หรอก แต่ถ้าแวะมากินข้าวบ่อย ๆ จนชิน หลังจากนี้จะให้เปลี่ยนก็คงยากแล้ว พี่สี่ การฝึกให้มีความเคยชินที่ดีไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ถ้าเขาทำให้ความเคยชินพังแค่ครั้งเดียวก็จบเห่”
พี่สี่จ้าวตอบ “ก็จริง…เฮ้อ…เป็นเสี่ยวหม่าก็ไม่ง่ายเลยนะ”
“หาเงินไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว” เย่หมิงเป่ยพูด
พวกเขาเองก็ลำบากไม่แพ้กัน ต้องรีบทำงานตั้งแต่เช้ายันค่ำ งาน ความสัมพันธ์ และการประสานงานแต่ละอย่าง บางครั้งก็เหนื่อยยิ่งกว่าการทำไร่ทำสวนเสียอีก
พี่สี่จ้าวได้ยินเช่นนี้จึงพูดว่า “นี่ถ้าฉันไม่ได้ยินนายพูดแบบนี้ ฉันก็คงไม่เชื่อหรอก ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว ดูจากเสี่ยวหม่ากับพวกนายสิ ทำงานอยู่ในเมืองแต่กลับเหนื่อยกว่าทำไร่ทำสวนในชนบทเสียอีก น่าเสียดายนะที่การทำไร่ทำสวนได้เงินไม่มาก”
“นั่นสิ ดังนั้นทุกคนถึงได้แห่มาทำงานหาเงินในเมืองกันหมดไง” เย่หมิงเป่ยพูดพลางหยิบกล่องข้าวออกมา
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง!” พี่สี่จ้าวรีบรับกล่องข้าวของตัวเอง “ฉันว่าอยู่ในเมืองก็เป็นการฝึกคนเหมือนกันนะ ตอนที่เสี่ยวหม่ายังอยู่ที่บ้าน เขาก็เอาแต่นอนอยู่ในบ้านแม่ม่ายหม่าตลอดทั้งวัน แม่ม่ายหม่าเป็นพี่สาวของเขา แต่งงานกับหลี่เฉียจื่อในหมู่บ้านเรา นายน่าจะเคยได้ยินเจ้าหกเล่าเรื่องหลี่เฉียจื่อให้ฟังใช่ไหม บ้านนั้นเลี้ยงไก่ ฐานะทางบ้านก็ใช้ได้เลย เสี่ยวหม่าคนนี้ขี้เกียจตัวเป็นขน เอาแต่อยากกินของดี ๆ ในหมู่บ้านของฉันพูดกันว่าเขาทำตัวเหมือนเด็ก ๆ ชอบกินแต่ขี้เกียจทำงาน อนาคตใครจะอยากแต่งงานด้วย ต่อให้มีเมียก็คงเลี้ยงดูครอบครัวไม่ได้! คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นแบบนี้ เมื่อกี้เขาบอกว่าจะเอาเงินไปซื้อบ้านแล้วรับพ่อกับแม่มาอยู่ที่นี่ด้วย ก่อนหน้านี้ขอแค่กินอิ่มก็พอใจแล้ว ไม่มีหรอกที่จะนึกถึงพ่อแม่”
พี่สี่จ้าวพูดพลางส่ายหน้า จากนั้นจึงยกกล่องข้าวขึ้นมา
เย่หมิงเป่ยนั่งฝั่งตรงข้าม “นี่คงเป็นเพราะความเคยชินนั่นแหละ อยู่ที่นี่ไม่มีใครชินกับนิสัยของเขา เขาก็ต้องปรับตัวอยู่ให้ได้”
พี่สี่จ้าวตอบ “ก็นั่นน่ะสิ น้องชายของเมียฉันยิ่งกว่านี้อีก ขี้เกียจยิ่งกว่าเสี่ยวหม่า แถมยังโลภด้วย น่าเสียดายที่ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเสี่ยวหม่า!”
เย่หมิงเป่ยและพี่สี่จ้าวเคยคุยกันตอนอยู่ที่บ้านไม่กี่ครั้ง เท่าที่จำได้พี่สี่จ้าวเป็นคนไม่ค่อยพูด ตั้งแต่รับพี่สี่จ้าวจากสถานีรถไฟมาจนถึงตอนนี้เขาก็ยังเป็นแบบนั้น แต่วันนี้ช่างน่าแปลกเพราะเขาพูดเยอะเป็นพิเศษ หรือจะเป็นเพราะเสี่ยวหม่า?
โจวหมิ่นออกไปข้างนอกหลายวันแล้ว พี่สี่จ้าวเองก็ถักร้อยเครื่องประดับขนาดเล็กและใหญ่หลากหลายรูปแบบจนเต็มถุง หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ โจวหมิ่นก็นำนิตยสารสองเล่มกลับมา แบ่งให้เย่หมิงเป่ยและพี่สี่จ้าวคนละหนึ่งเล่ม
“ดูสิคะ…รู้สึกยังไงบ้าง?” น้ำเสียงของโจวหมิ่นดูมีความสุขมาก
ทั้งคู่พลิกนิตยสารเพื่อดูด้านใน เย่หมิงเป่ยถึงกับตกตะลึง ส่วนพี่สี่จ้าวก็ตื่นเต้นเช่นกัน เพราะบนนิตยสารเล่มนี้มีภาพสิ่งของที่เป็นผลงานการถักของเขาด้วย!
ด้านบนนั้นเป็นเงื่อนหรูอี้สองอันที่เขาเป็นคนถัก ตรงกลางมีชายหญิงตัวเล็ก ๆ คู่หนึ่งถูกวางไว้ด้วยกัน ดูเหมือนจะติดกันแต่ก็ไม่ติดกัน พู่ที่อยู่ด้านล่างยาวมากจนแทบจะลากพื้น นอกจากนี้ด้านล่างยังมีโคมไฟไม้ไผ่สองอันที่กวัดแกว่งไปตามแรงลม ฉากด้านหลังเป็นภาพวาดภูเขาและแม่น้ำจากพู่กันจีน ภาพมีเส้นเล็กและจางมาก นอกจากนี้ด้านบนนั้นยังมีตัวอักษรเขียนไว้สองสามแถวว่า…
เพียงพบสบตา กลับก้าวขายากเข็ญ กีดกันด้วยภูเขาและทะเล ภูเขาและทะเลอันเป็นอุปสรรค
ห้วงคำนึงกลับมีเมฆาบัง หันหาตัวก็ไม่เห็น เพียงเพราะไม่ได้เจอกัน จึงได้แต่หลั่งน้ำตาให้ไหลริน
เทพเจ้ายังคร่ำครวญ ใครเล่าจะชังชีวิต ทะเลยังมีเรือแล่นผ่าน ภูเขายังมีถนนให้ลัดเลาะ ความรักพลิกภูเขาและทะเล ทำให้ภูเขาและทะเลราบเรียบได้ ความคิดที่นิ่งสงบ ถึงบดขยี้ก็มิอาจพ่าย
การเขียนอักษรลื่นไหลราวเมฆาและวารีล้วนเข้ากับสีน้ำหมึกสีดำสนิท ทำให้เครื่องประดับสองชิ้นนี้ดูน่าสนใจถึงขั้นสุด
น่าเสียดายที่พี่สี่จ้าวอ่านไม่ออก เขาไม่ได้รู้จักตัวหนังสือทั้งหมด แต่แค่ได้เห็นผลงานของตนเองถูกตีพิมพ์ลงบนนิตยสาร แค่นี้ก็ทำให้เขามีความสุขแล้ว
เย่หมิงเป่ยก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับพี่สี่จ้าวแล้วยังถือว่าดีกว่ามาก เขารู้สึกได้ถึงความงดงาม สิ่งนี้เรียกว่าอะไรแล้วนะ…อ๋อ…วรรณกรรมและศิลปะ
“หมินหมิ่น นี่คือวรรณกรรมและศิลปะใช่ไหม?” เย่หมิงเป่ยถาม
โจวหมิ่นยิ้ม “ใช่แล้ว วรรณกรรมและศิลปะ พวกเราจะใช้บรรจุภัณฑ์เชิงวรรณกรรมและศิลปะเพื่อขายของที่พี่สี่ถักออกไป”
“สิ่งนี้ขายได้เท่าไรเหรอ?” พี่สี่จ้าวรีบถาม
“คู่ละเก้าสิบเก้าหยวน” โจวหมิ่นตอบอย่างสบาย ๆ
“เก้า…เก้าสิบ…เก้าสิบเก้า?!” พี่สี่จ้าวถึงกับพูดจาตะกุกตะกัก สีหน้าดูสงสัยราวกับตนเองหูแว่วไปเอง
“ใช่ เก้าสิบเก้า!” โจวหมิ่นตอบ “งานฝีมือเป็นของที่มีจำนวนจำกัด หากตั้งราคาต่ำเกินไปคงไม่มีใครซื้อ”
“อะไรนะ…มีคนรังเกียจของราคาถูกด้วยเหรอ?” พี่สี่จ้าวถึงกับมึนงงไปหมด
“พี่สี่ เป็นเพราะพวกเราขายงานศิลปะที่ทำด้วยมือ ราคาของมันต้องสูงเท่านั้น แต่ถ้าเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป ราคาของสินค้าก็จะถูกลงและไม่สามารถเพิ่มให้สูงได้ ของแต่ละอย่างมีวิธีการขายที่ไม่เหมือนกัน” โจวหมิ่นอธิบาย “แต่พี่อย่าคิดว่าขายออกไปได้ในราคาที่สูงขนาดนี้แล้วจะทำเงินได้เยอะนะ อันที่จริงต้นทุนของพวกเราก็สูงเหมือนกัน อย่างเช่นการตีพิมพ์ลงบนนิตยสารนี้พวกเราก็ต้องจ่ายเงิน ไหนจะค่าโปรโมทสินค้า ค่าบรรจุภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ทุกอย่างต้องใช้เงินทั้งนั้น จำนวนที่ขายออกไปได้ก็มีไม่เยอะ ดังนั้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้พวกเราคงได้เงินกลับมาไม่มาก และอาจต้องใช้เงินที่ได้ไปกับการใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ด้วย แต่หลังจากนี้ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง”
พี่สี่จ้าวได้ฟังเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ส่วนที่เขาเข้าใจเพียงน้อยนิดก็คือ…ตอนนี้เขายังไม่สามารถทำเงินได้
“ฉันถักได้ หนึ่งวันถักกี่สิบชิ้นก็ไม่มีปัญหา!” พี่สี่จ้าวรีบพูด
เย่หมิงเป่ยยิ้ม “พี่สี่ ของพวกนี้ไม่ได้พึ่งปริมาณนะ พวกเราไม่สามารถขายออกไปในจำนวนมากได้ เพราะถ้าสินค้ามีเยอะก็จะมีราคาที่ถูกลงด้วย”
พี่สี่จ้าวเริ่มตามไม่ทันแล้ว
“พี่สี่ เรื่องที่พวกเราจะขายยังไงพี่ไม่ต้องสนใจหรอก พวกเรามีผู้ดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะ พี่สนใจแค่เรื่องผลิตสินค้าให้พวกเราก็พอ พยายามทำให้ดีที่สุด และมีลวดลายที่หลากหลาย เราจะค่อย ๆ ปล่อยขายไปทีละนิด” โจวหมิ่นกล่าว
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ของที่เป็นงานฝีมือยังไงก็ขายถูกไม่ได้ค่ะ เพราะมันมีคุณค่าในเชิงศิลปะอยู่ เพียงเพิ่มมูลค่าเชิงศิลปะเข้าไปก็ขายได้เป็นจำนวนเงินหลายหลักแล้ว
ไหหม่า(海馬)