เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 379 ความกังวลใจของคุณแม่จ้าว
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 379 ความกังวลใจของคุณแม่จ้าว
ตอนที่ 379 ความกังวลใจของคุณแม่จ้าว
ตอนที่ 379 ความกังวลใจของคุณแม่จ้าว
คุณแม่จ้าวเองก็ทราบเรื่องนี้ นางก็เป็นกังวลเช่นกัน ตอนเช้าต้องไปทำงานที่ฟาร์มกระต่ายตลอดทั้งวัน ตอนค่ำก็ต้องกลับมานอนกับสะใภ้สี่จ้าว ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ มันก็ได้อยู่หรอก แต่เมื่อนานวันเข้าร่างกายก็คงรับไม่ไหวเหมือนกัน ประกอบกับช่วงนี้เป็นฤดูหนาวแล้วด้วย หากระหว่างทางมีหิมะตกหนัก นางคงไม่สามารถวิ่งกลับมาได้
“แล้วจะทำยังไงได้? สะใภ้สี่ต้องเลี้ยงลูกสามคนอยู่ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นเพียงลำพัง แม่ก็ไม่สบายใจเหมือนกัน” คุณแม่จ้าวตอบ
คุณแม่จ้าวเป็นคนปากร้ายใจดี
พี่รองจ้าวกล่าว “แม่ไม่ต้องมาหรอก ให้เมียผมไปอยู่เป็นเพื่อนน้องสะใภ้สี่ก็ได้”
พี่สามจ้าวเห็นพี่รองจ้าวพูดแบบนี้ก็รีบพูดขึ้นว่า “ให้เมียผมสลับสับเปลี่ยนกับพี่สะใภ้รองก็ได้”
คุณแม่จ้าวตอบ “แม่จะลองถามสะใภ้สี่ดู เจ้าสาม โรงเต้าหู้ของแกเปิดทำการแล้ว ก็ต้องไปทำงานที่โรงเต้าหู้แล้วใช่ไหม?”
“ใช่ จะได้ทำงานได้สะดวกด้วย” พี่สามจ้าวตอบ “ผมถึงได้สร้างโรงเต้าหู้ขึ้นมาไง”
“แล้วสะใภ้สี่จะทำยังไง? ทำเต้าหู้เป็นงานที่ต้องตื่นเช้านอนดึก ดึกเกินไปจะกลับบ้านยังไง? ถ้าไม่กลับมาให้พักอยู่ที่ฟาร์มกระต่ายก็ได้นะ แต่ในบ้านยังมีสัตว์เลี้ยง อีกอย่างถ้าในบ้านไม่มีคนอยู่ ของหายขึ้นมาจะทำยังไง?” ก่อนหน้านี้คุณแม่จ้าวเคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่คิดไปคิดมาก็ยังหาวิธีดี ๆ ไม่ได้
พี่สามจ้าวตอบ “แม่ งั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว คนที่ทำงานกับผมถ้าเลิกงานดึกก็จะนอนค้างที่ฟาร์มกระต่ายหนึ่งคืน ถึงยังไงที่บ้านก็ยังมีคนอยู่ ส่วนน้องสะใภ้สี่…ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
พี่รองจ้าวตอบ “ถ้าไม่ได้จริง ๆ งั้นก็อย่าให้น้องสะใภ้สี่ทำเลย ฤดูหนาวก็จะได้พักผ่อนให้เต็มที่ด้วย”
คุณแม่จ้าวตอบ “หล่อนจะยอมเหรอ? ทางเจ้าสี่พูดไว้ซะดิบดี แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เงินเลย ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าที่บ้านยังไม่ยอมหาเงิน ปีหน้าจะใช้ชีวิตกันยังไง? เจ้าสี่ทำเงินทั้งหมดที่มีหายไปจนหมดเกลี้ยงเลยนะ!”
คุณแม่จ้าวพูดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา แต่โกรธไปก็เปล่าประโยชน์ พี่สี่จ้าวไม่ได้อยู่ข้าง ๆ แถมยังด่าผ่านโทรศัพท์ไม่ได้ด้วย จึงทำได้เพียงแค่บ่นออกมาสองสามประโยคในเวลานี้
“งั้นให้น้องสะใภ้สี่ทำงานแค่ช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็กลับบ้านเร็วหน่อย อย่าให้กลับดึกเกินไป เจ้าสาม นายก็ช่วยจัดตารางงานให้สักหน่อยเถอะ” พี่รองจ้าวกล่าว
พี่สามจ้าวแอบไม่พอใจ พูดซะง่ายเชียว แถมยังบอกให้จัดตารางงานอีก นั่นเป็นงานที่ต้องทำให้เสร็จตามคำสั่งนะ ถ้าทำงานไม่เสร็จก็จะไม่ได้รับเงิน ต่อให้น้องสะใภ้สี่จะเป็นภรรยาของน้องชาย แต่ก็ไม่สามารถจ่ายเงินเลี้ยงคนขี้เกียจได้ ต่อให้ขี้เกียจบ้างก็ไม่ได้เหมือนกัน
คุณแม่จ้าวเห็นพี่สามจ้าวไม่พูดอะไร ก็พูดว่า “เอาเถอะ ให้แม่ไปถามสะใภ้สี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
พี่สามจ้าวจึงพูดขึ้นว่า “ผมได้ยินเจ้าหกบอกว่า เงินของพี่สี่ทางฝั่งนั้นมีความน่าเชื่อถือมาก ผมว่านะ ให้ภรรยาของเจ้าสี่อยู่บ้านนั่นแหละ ก่อนหน้านี้ก็ทำรองเท้าขายกับพี่สะใภ้รองไม่ใช่เหรอ ให้น้องสะใภ้ทำรองเท้าขายอยู่ที่บ้านก็มีรายได้เหมือนกันนะ”
คุณแม่จ้าวไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไร ลูกชายคนนี้ขี้เหนียวมาแต่ไหนแต่ไร ไปถามลูกชายคนเล็กยังจะดีเสียกว่า ดูสิว่าเขาพอจะมีวิธีหรือไม่ เจ้าสี่ไม่อยู่บ้าน จะปล่อยปะละเลยไม่สนใจก็คงไม่ได้
ช่วงค่ำคุณแม่จ้าวคุยกับพี่สะใภ้สี่จ้าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ไม่ทำจริง ๆ
“แม่คะ เจ้าสี่พูดไว้ซะดิบดี แต่เงินยังมาไม่ถึงมือก็คงนับไม่ได้ ถ้าฉันไม่หาเงินเข้าบ้านสักหน่อย ถึงเวลานั้นถ้าเขาไม่ได้เงินขึ้นมาจะทำยังไงคะ?” เมื่อพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิต พี่สะใภ้สี่จ้าวถือว่าตื่นตัวอย่างมาก
ก่อนหน้านี้หล่อนคิดว่าสามีของคนพึ่งพาได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นแบบนั้น คิดจะไปก็ไป ไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ เงินพูดว่าหายก็ทำหายไปหมด จะพูดอะไรก็ไม่ได้ หล่อนเองก็พอจะมองออกแล้วว่าไม่ควรหวังพึ่งเงินส่วนนั้นของสามี หาเงินเองนี่แหละคือเรื่องจริง ให้หล่อนอยู่บ้านในเวลานี้ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
“ฉันเองก็เป็นกังวลเรื่องนี้เหมือนกัน” คุณแม่จ้าวกล่าว “แต่ดึกเกินไป เธอจะกลับมาบ้านยังไง? ถ้าตอนเช้าหิมะตกขึ้นมาจะทำยังไง?”
“แม่คะ ฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว หลังเลิกเรียนก็ให้ซานหยากับซื่อหยาไปที่ฟาร์มกระต่ายเหมือนกับก่อนหน้านี้ ส่วนฉันจะพาอู่หยาไปที่นั่นเอง แม่ก็ช่วยดูอู่หยาให้ฉันหน่อย ต่อให้เลิกงานดึกก็ยังมีพี่รอง พี่สาม พี่สะใภ้รองแล้วก็พี่สะใภ้สามอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ฉันกลับบ้านมาพร้อมกับพวกเขาก็ได้”
คุณแม่จ้าวตอบ “แบบนี้มันก็ได้อยู่หรอก ถ้าเป็นแบบนี้ เธอก็ให้สะใภ้รองกับสะใภ้สามผลัดเวรกันมาอยู่เป็นเพื่อนเธอก็แล้วกัน ฉันจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวกลับด้วย”
โดยปกติคงไม่รู้สึกอะไร แต่หลายวันมานี้คุณแม่จ้าวต้องวิ่งเทียวไปเทียวกลับจึงทำให้นางรู้สึกได้ว่าร่างกายเหนื่อยล้า พักผ่อนอย่างไรก็ไม่หายเหนื่อย
พี่สะใภ้สี่จ้าวก็มีความสุขที่เป็นเช่นนี้ รีบพูดว่า “ได้ต่ะ แม่คะ นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ก็ให้พี่สะใภ้รองกับพี่สะใภ้สามมาอยู่เป็นเพื่อนฉันเถอะค่ะ แต่แม่ต้องช่วยฉันดูอู่หยาให้ด้วยนะคะ ตอนเช้าฉันต้องทำงานคงไม่มีเวลามาดูลูก”
“ได้ เดี๋ยวฉันจะดูอู่หยาให้เธอเอง ถึงเวลานั้นเธอค่อยไปให้นมลูกก็แล้วกัน แล้วก็…ตอนเที่ยงเธอต้องกลับมาให้อาหารสัตว์ที่บ้านด้วยนะ ตอนค่ำก็อย่าลืมให้อาหารพวกมันล่ะ นี่เป็นรากฐานในการใช้ชีวิตของพวกเธอเลยนะ!”
“แม่คะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ฉันไม่ลืมหรอก” พี่สะใภ้สี่จ้าวจะกล้าลืมได้อย่างไรกัน สัตว์เลี้ยงในบ้านเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น!
“แม่คะ ถ้าคนในหมู่บ้านรู้ว่าฉันไปทำงานที่ฟาร์มกระต่าย จะไม่มีคนเข้ามาขโมยของใช่ไหมคะ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดด้วยความกังวล
“กลางวันแสก ๆ คงไม่กล้าหรอกมั้ง” คุณแม่จ้าวก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก
ในหมู่บ้านไม่เคยมีของหาย แต่ทุกคนก็ไม่มีใครทิ้งบ้านไว้โดยปราศจากผู้อยู่อาศัย ตอนนี้ยังไม่ได้แยกบ้าน แต่ละบ้านจึงมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่อาศัยร่วมกัน หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ในบ้านก็ยังมีคนอยู่ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าของจะหายหรือไม่
“กลางวันฉันไม่ห่วงหรอกค่ะ ฉันกลัวตอนค่ำช่วงที่จะกลับมานี่แหละ อาจมีคนขโมยของในบ้านตอนที่ฉันไม่อยู่ ถึงเวลานั้นจะไปหาตัวจากที่ไหน? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นหรอกค่ะ เหมือนอย่างกระต่าย หายไปตัวหนึ่งก็เท่ากับเงินหายไปหลายหยวนแล้ว!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูด ภายในใจก็ก่นด่าพี่สี่จ้าว ผู้ชายสมควรตายคนนี้ ตอนเองออกไปสุขสบายข้างนอก ทิ้งให้หล่อนต้องตื่นตระหนกอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง!
เมื่อพี่สะใภ้สี่จ้าวพูดแบบนี้ คุณแม่จ้าวก็คิดว่ามีความเป็นไปได้เช่นกัน ถึงอย่างไรสะใภ้สี่ก็ไปทำงานที่โรงเต้าหู้ การที่คนในหมู่บ้านเดียวกันจะรู้ว่าหล่อนออกไปเวลาไหนและกลับมาเวลาไหนจึงไม่ใช่เรื่องยาก ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาวท้องฟ้ามืดครึ้มเร็วด้วย เข้ามาหยิบกระต่ายไปตัวสองตัวก็เป็นเรื่องง่ายดายแล้ว
“งั้นจะทำยังไงล่ะ?” คุณแม่จ้าวเองก็จนปัญญา
“ฉันคิดไว้ว่าจะให้ซานหยากับซื่อหยากลับมาเฝ้าบ้าน แต่พ่อของพวกเธอบอกว่าอยากให้เด็ก ๆ ไปเรียนหนังสือ” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว
“ซานหยากับซื่อหยาเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง? ให้กลับมาเฝ้าบ้านเธอไม่เป็นห่วงเหรอ?” คุณแม่จ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์
พูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตได้อย่างเข้าอกเข้าใจ แต่พอพูดถึงเรื่องลูกกลับไร้สมองซะงั้น!
“ซานหยาซื่อหยาเป็นเด็กผู้หญิง ให้อยู่บ้านโดยไม่มีผู้ใหญ่ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะทำยังไง? สู้ให้กระต่ายหายไปยังจะดีเสียกว่า!” คุณแม่จ้าวกล่าว “ปล่อยให้ซานหยากับซื่อหยาอยู่บ้านไม่ได้ คิดหาวิธีอื่นเถอะ”
พี่สะใภ้สี่จ้าวแอบบ่นในใจ ให้ความสำคัญกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขนาดนี้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็แต่งงานไปเป็นคนของบ้านอื่นอยู่ดี! ในเวลาเดียวกันหล่อนก็สบายใจขึ้นมาก แม่สามีไม่ได้มีจิตใจเลวร้ายสักนิดเลย ได้มาเป็นลูกสะใภ้ในบ้านหลังนี้ดีกว่าเป็นลูกสาวในครอบครัวของตัวเองเสียอีก
“งั้นฉันขอคิดดูอีกทีก็แล้วกันค่ะ” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดอย่างเชื่อฟัง
เช้าวันรุ่งขึ้นพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้า หลังจากให้อาหารสัตว์เลี้ยงน้อยใหญ่ในบ้าน หล่อนก็ล็อคประตูบ้านไปที่ฟาร์มกระต่ายพร้อมกับคุณแม่จ้าว เมื่อพี่รองจ้าว พี่สามจ้าว พี่สะใภ้รองและพี่สะใภ้สามมาถึงฟาร์มกระต่าย คุณแม่จ้าวก็รับอู่หยาไปเลี้ยงพร้อมกับไปทำอาหารเช้าให้คนที่ฟาร์มกระต่าย ส่วนพวกพี่สะใภ้สี่ก็ไปทำงานที่โรงเต้าหู้ ในเวลานี้ท้องฟ้าก็สว่างพอดี
ในเวลานี้เย่ฉูฉู่ยังนอนอยู่ ส่วนจ้าวเหวินเทาก็เพิ่งจะตื่น เมื่อเทียบกันแล้ว ชีวิตของสองสามีภรรยาคู่นี้สบายกว่ามากนัก
พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เย่ฉูฉู่จึงลุกขึ้นจากเตียง เรียกเสี่ยวไป๋หยางให้ตื่นเพื่อพาไปปัสสาวะ จากนั้นก็เดินไปทำอาหารเช้า จ้าวเหวินเทากินข้าวที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แค่นำมาอุ่นนิดหน่อยก็กินได้แล้ว ซึ่งอาหารที่เย่ฉูฉู่ทำในเช้านี้หลัก ๆ ก็ทำไว้ให้เสี่ยวไป๋หยาง
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จะแก้ปัญหาบ้านสี่ยังไงดีนะ คิดจะทำนั่นก็ติดนี่ไปหมด
ไหหม่า(海馬)