เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 389 วัตถุประสงค์ของเสี่ยวหม่า
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 389 วัตถุประสงค์ของเสี่ยวหม่า
ตอนที่ 389 วัตถุประสงค์ของเสี่ยวหม่า
ตอนที่ 389 วัตถุประสงค์ของเสี่ยวหม่า
“ถ้ายังไม่หาภรรยา ผมคงไม่กลับไปหรอก ถึงยังไงพวกเขาก็หาไม่ได้อยู่ดี!” เสี่ยวหม่าพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ผมคิดไว้อย่างดีแล้ว ผมจะบอกพ่อกับแม่ว่าเก็บเงินเพื่อหาภรรยา ถ้าไม่หาก็แปลว่ายังเก็บเงินไม่พอ”
พี่สี่จ้าวถึงกับหมดคำพูด
“นี่ พี่สี่ ผมถามอะไรหน่อยสิ” จู่ ๆ เสี่ยวหม่าก็พูดด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ
“เรื่องอะไร?” พี่สี่จ้าวย้อนถาม
เสี่ยวหม่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อคืนพี่ก็อยู่ในงานเลี้ยงแฟชั่นโชว์เหมือนกันใช่ไหม?”
“อยู่สิ”
“แล้วพี่ได้สังเกตพี่เย่ไหม?”
“ไม่ได้สังเกต”
พี่สี่จ้าวเอาแต่คิดว่างานถักของเขาจะขายได้ราคาเท่าไร จึงไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย
เสี่ยวหม่าพูดเสียงเบาว่า “ผมสังเกตเห็นแล้ว”
“สังเกตเห็นอะไร?”
“ผมสังเกตเห็น…” จู่ ๆ เสี่ยวหม่าก็ชะงักไปและพูดว่า “พี่ห้ามบอกใครนะ”
พี่สี่จ้าวพยักหน้า “ไม่บอก”
“พี่เย่กับคุณเฉิง”
พี่สี่จ้าวมึนงง “คุณเฉิงคือใคร?”
เสี่ยวหม่ารู้สึกอึดอัด “พี่สี่ พี่จะได้เงินเท่าไรถึงเวลานั้นเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ พี่มัวแต่คิดเรื่องนั้นตลอดทั้งวันไปเพื่ออะไร!”
“นายไม่อยากรู้เหรอว่านายได้เงินเท่าไร?” พี่สี่จ้าวพูด “ก็จริง นายไม่ได้ทำเงินหายสักหน่อย”
เสี่ยวหม่าโบกมือ “พอแล้ว ๆ พี่สี่ พวกเราไม่คุยเรื่องนี้แล้ว ผมเห็นพี่เย่กับคุณเฉิงคนนั้นพูดคุยหัวเราะคิกคัก สนิทสนมกันเป็นพิเศษเลย!” ระหว่างที่พูดเขาก็ทำท่าทางส่งสัญญาณเป็นนัยกับพี่สี่จ้าว
พี่สี่จ้าวไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบไปชั่วขณะหนึ่ง “สนิท? พวกเขาเป็นญาติกันเหรอ?”
เสี่ยวหม่าถอนหายใจอย่างหมดแรง “พี่สี่นี่นะ นี่พี่โง่จริง ๆ หรือแกล้งโง่เนี่ย!”
พี่สี่จ้าวชะงัก แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“คุณเฉิงเป็นผู้หญิง พี่เย่เป็นผู้ชาย สนิทสนมกันเป็นพิเศษ เข้าใจรึยัง?” เสี่ยวหม่าพูดอีกครั้ง
พี่สี่จ้าวจึงเพิ่งจะตระหนักขึ้นได้ ชี้เขาพร้อมกับพูด “นายหมายความว่า…หมายความว่า…หา?!”
“ถูก! ไม่ถูกสิ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องจริงรึเปล่า แต่ผมว่าคล้ายกับจะเป็นเรื่องจริงนะ” เสี่ยวหม่ารีบแก้คำพูด “ตอนนั้นผมถามพี่เย่แล้ว พี่เย่โกรธมาก แถมยังบ่นผมไปยกใหญ่ พี่คิดดูดิ ถ้าพี่เป็นแบบนั้น แต่ดันถูกคนอื่นจับได้ พี่ก็ไม่มีทางยอมรับอยู่แล้วจริงไหม? ดังนั้นผมก็เลยคิดว่าต้องมีอะไรในกอไผ่ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน”
พี่สี่จ้าวเฉื่อยชาด้วยความประหลาดใจอยู่ครึ่งค่อนวัน “หมิงเป่ยไม่ได้เป็นคนแบบนั้นหรอกมั้ง?”
“ดูพี่สิ พี่สี่ พี่ซื่อเกินไปแล้ว ผมจะบอกอะไรให้ ผู้ชายถ้ามีเงินก็เปลี่ยนเป็นคนไม่ดีกันทั้งนั้นแหละ! ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก”
“แต่เงินของหมิงเป่ยก็เป็นเงินของภรรยาทั้งหมดไม่ใช่เหรอ ฉันมองออก ครอบครัวนี้ภรรยาของเขาเป็นใหญ่…เรื่องนี้ไม่มีทางหรอก ต่อให้หมิงเป่ยอยากทำแบบนั้น เขาก็ไม่ได้มีความกล้านั้นอยู่ดี” พี่สี่จ้าววิเคราะห์
“เรื่องนี้ผมเองก็เคยคิดเหมือนกัน แต่ผมคิดว่า ต่อให้พี่โจวดูแลครอบครัวมากกว่านี้ ถ้าพวกเขาหย่ากันขึ้นมา สมบัติครึ่งหนึ่งก็ต้องแบ่งให้พี่เย่ด้วย” เสี่ยวหม่าพูดราวกับเรื่องเป็นแบบนั้น
“หย่า?” พี่สี่จ้าวพูด “อย่าพูดจาเหลวไหลเลย พวกเขามีลูกด้วยกันแล้ว แถมยังใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขดี จะหย่าได้ไง?”
ไม่เหมือนกับเขาที่ทะเลาะกันทุกวัน เย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นดูรักกันดี จะหย่ากันได้อย่างไร ขนาดเขาที่ทะเลาะกันทุกวันยังไม่ได้หย่ากันเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครอบครัวที่ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน
เสี่ยวหม่าครุ่นคิด “ใช่ พวกเขารักกันดี แต่…แบบนั้นยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่เลย”
“ทำไมถึงไม่ดี?”
“ได้คืบจะเอาศอกไง พี่คิดดูนะ รักกันขนาดนั้น พี่เย่ยังไปหาคุณเฉิงนอกบ้าน จริงไหม?” เสี่ยวหม่ากระซิบ “พี่สี่ พี่รู้ไหมว่าแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร? เขาเรียกว่ามีชู้ ไร้ศีลธรรม บนนิตยสารยังมีเขียนไว้เลย”
“มี…มีชู้?” พี่สี่จ้าวพูดในใจ คนในเมืองแห่งนี้ขยันมีศัพท์ใหม่จริง ๆ นั่นก็หมายถึงว่าแอบมีคนอื่นไม่ใช่เหรอ!
“พี่สี่ พี่ว่า ถ้าพี่โจวรู้เรื่องนี้เข้า พี่โจวที่เป็นคนเก่งขนาดนั้น คงไม่ยอมง่าย ๆ แน่ ถ้าทะเลาะกันขึ้นมา พวกเราจะซวยไปด้วยรึเปล่าเนี่ย” เสี่ยวหม่าพูดด้วยความเป็นกังวล
“หรือว่าจะไม่จ่ายเงินพวกเราเหรอ?” พี่สี่จ้าวนึกถึงความซวยที่รุนแรงที่สุด นั่นก็คือการไม่จ่ายเงินให้พวกเขา
“ไม่ใช่ไม่จ่ายเงินหรอก ผมแค่กลัวว่าจะไม่มีโรงงานเสื้อผ้า ไม่มีเสื้อผ้าแฟชั่นแล้ว พวกเราก็ไม่มีงาน ก็ต้องกลับบ้านเก่าน่ะสิ” เสี่ยวหม่าถอนหายใจ “ตอนนี้เงินแต่งภรรยาก็ยังไม่ได้เก็บเลย อีกอย่าง ผมเองก็ยังไม่อยากกลับบ้านด้วย ถ้าไปทำงานที่อื่นใครจะอยากรับผม มีคนอยากได้ตัวผมผมก็ไม่กล้าไปอยู่ดี ผมได้ยินนางแบบพวกนั้นคุยกันว่าวงการนี้มืดมนเกินไปแล้ว มีตั้งหลายคนที่ทำงานแต่ไม่ได้เงิน เฮ้อ!”
พี่สี่จ้าวเงียบขรึมไปแล้ว หากเป็นแบบนั้นก็คงร้ายแรงแล้ว อย่างน้อย ๆ เสี่ยวหม่าก็ทำเพื่อหาเงิน เขาไม่ได้ทำเงินหายสักหน่อย แต่พี่สี่จ้าวทำเงินของครอบครัวหายไปแล้ว หากไม่มีเงินชีวิตของเขาควรจะทำอย่างไร?
“หรือว่า ให้ฉันโน้มน้าวใจหมิงเป่ยดูไหม?” พี่สี่จ้าวถาม
“พี่เนี่ยนะโน้มน้าว?” เสี่ยวหม่าสงสัยอย่างหนัก “พี่สี่ พี่จะโน้มน้าวใจได้เหรอ?”
พี่สี่จ้าวคิด ๆ ดูแล้วก็จริงอย่างที่เสี่ยวหม่าบอก เขาพูดจาเงอะงะ แถมยังโน้มน้าวใจใครไม่เป็น อีกอย่างเขาและเย่หมิงเป่ยก็มีความสัมพันธ์เป็นญาติกัน คงไม่ดีที่จะเอ่ยปากพูดออกไป “แล้วจะทำยังไง?”
เสี่ยวหม่าตอบ “โทรไปหาพี่หกดีไหม?”
นี่ต่างหากล่ะเป้าหมายของเสี่ยวหม่าที่มาที่นี่ เพราะพี่สี่จ้าวหวังพึ่งอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็เหลือแค่จ้าวเหวินเทาแล้ว จ้าวเหวินเทาและเย่หมิงเป่ยเป็นน้องเขยและพี่ภรรยากัน แม้การพูดเรื่องพวกนี้จะฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างไรให้พี่ภรรยากับน้องเขยคุยกันก็ยังสนิทกันกว่าเขาและพี่สี่จ้าว เขาไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้เขาจะเอาเรื่องนี้มาบอกพี่สี่จ้าวทำไมล่ะ
พี่สี่จ้าวตอบ “จริงสิ ทำไมฉันคิดไม่ได้เนี่ย ได้สิ เดี๋ยวฉันจะคุยกับเจ้าหกดู”
“พี่สี่ พี่ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกเหอะ อย่าใช้โทรศัพท์ที่นี่เลย ถ้าพี่เย่ได้ยินขึ้นมาแล้วพี่เขาโกรธจะทำยังไง?”
“นายกลัวว่าเขาจะโกรธนายมากกว่ามั้ง?” พี่สี่จ้าวตอบ “ได้ ฉันจะออกไปโทรข้างนอก นายเอาเงินมา อย่ามองฉันแบบนั้นสิ ตอนนี้ฉันยังไม่ได้เงินสักเฟินเดียวเลย!”
“ได้ ผมออกเงินให้ เอางี้ไหม พี่สี่ พวกเราออกไปโทรกันตอนนี้เลย?”
“ตอนนี้ยังไม่ได้ ช่วงเช้าพี่หกของนายไม่อยู่บ้าน ออกไปขายของแล้ว ต้องรอช่วงค่ำถึงจะกลับบ้าน”
“ช่วงค่ำ? ช่วงค่ำผมต้องรีบกลับแล้ว”
“งั้นนายทิ้งเงินไว้ก็พอ ไม่งั้นนายก็โทรเอง นายเองก็มีเบอร์โทรศัพท์ไม่ใช่เหรอ”
“ผมไม่โทรหรอก พวกพี่เป็นพี่น้องกัน คุยกันง่ายกว่า พี่สี่นั่นแหละโทร”
หลังจากคุยธุระเสร็จแล้ว เสี่ยวหม่าก็ทิ้งเงินไว้และกลับไป
ตอนนี้เองพี่สี่จ้าวถึงได้รู้ว่าเสี่ยวหม่ามาที่นี่เพราะเรื่องนี้ เจ้าเด็กคนนี้ช่างเป็นคนดีจริง ๆ เป็นเพราะกลัวว่าจะสูญเสียรายได้ จึงนำเรื่องนี้มาบอกเขา!
ตอนค่ำหลังจากกินข้าวเสร็จ พี่สี่จ้าวก็เดินออกจากประตูเพื่อไปโทรศัพท์หาจ้าวเหวินเทา
ตอนนี้โทรศัพท์สาธารณะมีเยอะมาก จึงหาตู้โทรศัพท์ได้ง่ายมาก ๆ
“ฮัลโหล น้องสะใภ้หกเหรอ ขอคุยกับเจ้าหกหน่อยสิ” พี่สี่จ้าวกดเบอร์โทรศัพท์ หลังจากได้ยินเสียงผู้หญิงจากปลายสาย จึงนึกว่าเป็นเย่ฉูฉู่ก็เลยพูดไปแบบนั้น
“โทรผิดแล้วค่ะ!” ‘ปึก’ โทรศัพท์ตัดสายไปแล้ว
พี่สี่จ้าวรู้สึกประหม่าขึ้นมา โทรผิดแล้ว ไม่มีทาง เขาดูเบอร์โทรศัพท์อีกครั้งอย่างละเอียด พร้อมกับนึกถึงเบอร์โทรศัพท์ที่เขาเพิ่งกดเมื่อครู่ก็ไม่ได้ผิดนี่นา ทำไมถึงโทรผิดได้ล่ะ?
เขาจึงเปลี่ยนสถานที่และเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่อีกครั้ง เขายังปรับตัวไม่ค่อยได้ อีกอย่างเรื่องที่เขาต้องพูดทำให้เขาไม่ค่อยกล้ากดโทรเท่าไรนัก
เจ้าของแผงลอยที่เฝ้าโทรศัพท์เห็นก็คิดว่าพี่สี่จ้าวเป็นพวกชนบท ใช้โทรศัพท์เป็นครั้งแรก จึงเข้ามาช่วยพี่สี่จ้าวด้วยความหวังดี
พี่สี่จ้าวรีบยื่นกระดาษเบอร์โทรศัพท์ให้เขา “ผมจะโทรหาน้องชาย เจ้าหก เอ่อ เขาชื่อจ้าวเหวินเทา”
เจ้าของแผงลอยกดหมายเลขโทรศัพท์ “ฮัลโหล ขอคุยสายกับจ้าวเหวินเทาครับ”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็เพราะคิดเองเออเองนี่ล่ะน้า เหวินเทาช่วยแก้ความเข้าใจผิดนี้ทีค่ะ
ไหหม่า(海馬)