เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 57 ความขัดแย้งในครอบครัว
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 57 ความขัดแย้งในครอบครัว
ตอนที่ 57 ความขัดแย้งในครอบครัว
คุณแม่จ้าวก็ไม่ได้สนใจลูกชาย นางยังคงยิ้มด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นขณะสั่งสอนลูกสะใภ้รองต่อไป “การเข้ามาอยู่ในตระกูลจ้าวของฉันคงทำให้เธอไม่ได้รับความเป็นธรรมมากสินะ สามียังไม่ทันได้ลงไม้ลงมือใส่เธอ เธอก็ร้องขนาดนี้แล้ว อย่าคิดว่าคนแก่ ๆ อย่างพวกฉันจะเลอะเลือนจนไม่รู้ว่าคืนนี้เธอจงใจสร้างปัญหาเพื่อให้คนมารุมดู เธอเองก็คิดไม่ใช่เหรอว่าพวกฉันสองคนลำเอียงรักเจ้าหกมากกว่า ผักทั้งคันรถที่เจ้าหกซื้อกลับมาในวันนี้คงเป็นเงินที่พวกฉันช่วยเหลือเขาสินะ?”
“ฉันขอพูดตรง ๆ เลยก็แล้วกัน ฉันยังชื่นชมที่เธอเป็นคนใจกว้างตรงไปตรงมา คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ แต่กลับเอาแต่จ้องฉูฉู่อยู่นั่นแหละ เธอเห็นฉูฉู่เป็นอะไร? ผู้คุมนักโทษเขายังไม่จ้องเท่ากับที่เธอทำเลย!”
“อีกอย่างเธอเองก็เห็นแล้วว่าเวลาฉูฉู่ได้กินของดีก็ยังเป็นห่วงพวกเราสองคน เธอไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยเหรอ? ฉูฉู่เพิ่งแต่งเข้ามาอยู่ในบ้านไม่นานยังรู้จักกตัญญูขนาดนี้ เธอล่ะแต่งเข้ามานานแค่ไหนแล้ว? ช่วงปีใหม่และวันหยุดเคยต้มน้ำล้างเท้าให้พวกฉันสองคนสักครั้งไหม? หลังจากแยกบ้านไป ในทุกทุกคืนฉูฉู่ก็ไม่เคยลืมที่จะต้มน้ำมาให้พวกฉันสองคน อย่าว่าแต่พวกฉันสองคนไม่ได้ให้เงินช่วยเหลือพวกเขาสองคนเลย ต่อให้พวกฉันให้เงินช่วยเหลือ แล้วพวกเธอจะทำไม?”
ลูกชายและลูกสะใภ้ทั้งหลายต่างพากันสะอึก น้ำเสียงที่ตรงไปตรงมาของคุณแม่จ้าวทำเอาพวกเขาสำลักจนพูดไม่ออกเลย
แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเย่ฉูฉู่น้องสะใภ้หกคนนี้ เพราะเธอมีความกตัญญูอย่างไร้ที่ติจริง ๆ
เพียงแต่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้รู้แจ้งเห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาคิดได้ว่า คงเป็นเพราะกังวลเรื่องเงินของพ่อแม่ ดังนั้นจึงทำแบบนั้น พวกเขาดูถูกบ้านเจ้าหกมากเกินไปจริง ๆ!
“ฉันเองก็ยอมรับว่าฉันลำเอียงรักเจ้าหกมากกว่า และฉันก็ไม่กลัวว่าพวกเธอจะเพ่งเล็งมาที่ฉัน นิ้วมือห้านิ้วยังมีทั้งสั้นและยาว ถ้าตรงใจฉันก็ต้องรักมากกว่าหน่อยอยู่แล้ว แล้วพวกเธอจะทำไม? ฉันไม่รักพวกเธออย่างนั้นเหรอ ฉันไปทำลายพวกเธอเหรอ? ฉันไม่ได้ให้อะไรพวกเธอหรือว่าฉันไปบังคับพวกเธอเฉือนเนื้อตัวเองไปช่วยเหลือเจ้าหกกัน พวกเธอก็เลยมาชี้หน้าด่าว่าฉันลำเอียง?”
“ในหมู่บ้านใช่ว่าจะไม่มีความลำเอียง พวกเธอบอกว่าฉันลำเอียง เคยเห็นหรือเปล่าว่าคนอื่นเขาลำเอียงด้วยวิธีไหน? คนพวกนั้นถึงขั้นเฉือนเนื้อลูกชายคนอื่นไปช่วยเหลือคนที่พวกเขาลำเอียงรักมากกว่า ฉันไปเฉือนเนื้อสูบเลือดพวกเธอเหรอ? พวกเธอถึงได้มีความคิดเห็นเกี่ยวกับฉันมากขนาดนี้!”
คุณแม่จ้าวกวาดตามองหน้าเหล่าลูกชายและลูกสะใภ้ด้วยใบหน้าเย็นชา
“แม่ พวกเราไม่ได้…” พี่รองจ้าวพูดอย่างขมขื่น
“นั่นสิคะคุณแม่ พวกเราจะไปคิดแบบนั้นได้ยังไงกัน?” พี่สะใภ้สามรีบพูด
คุณแม่จ้าวแค่นเสียงเย็น “พวกเธอไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครบางคนจะไม่ได้คิดแบบนี้! วันนี้ฉันขอพูดไว้ตรงนี้อย่างชัดเจนเลยนะ สิ่งที่เจ้าหกซื้อหรือกินเป็นเงินที่เขาหามาด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ใช่เงินที่พวกฉันสองคนให้ ตั้งแต่วันที่แยกบ้านก็แบ่งกันอย่างชัดเจนแล้ว อย่าเอาแต่โทษพวกฉันสองคนว่าลำเอียงอย่างนั้นอย่างนี้เพราะตัวเองไร้ความสามารถ พวกฉันไม่เคยให้เจ้าหกแม้แต่เฟินเดียว และจะไม่ให้พวกเธอมากขึ้นแม้แต่เฟินเดียวด้วย ถ้ายังสงสัยนั่นสงสัยนี่ เห็นอีกฝ่ายเป็นหัวขโมย ฉันจะไล่ออกจากบ้านไปเลย ตระกูลจ้าวของฉันเลี้ยงลูกชายลูกสะใภ้ที่เป็นแบบนี้ไม่ไหวหรอก!”
สีหน้าของทุกคนดูแตกต่างกันออกไป
มีแค่พี่สะใภ้สี่เพียงคนเดียวที่ปิดซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่ไหว คำพูดของแม่สามีให้ข้อมูลมากพอสมควร ดวงตาเล็ก ๆ ของหล่อนกลอกไหวอย่างรวดเร็ว พยายามฟื้นต้นสายปลายเหตุที่เป็นข้อมูลเดิมทั้งหมดกลับมา
หลังทนให้แม่สามีตนตีวัวกระทบคราดนานขนาดนี้ พี่สะใภ้รองได้ยินจึงพูดอย่างสู้สุดใจ “คุณแม่บอกว่าแม่ไม่ได้ให้เงินน้องสามีเล็ก แต่น้องสามีเล็กจะได้เงินมากขนาดนั้นจากการพึ่งพาการขายถั่วงอกเพียงอย่างเดียวเนี่ยนะคะ? ใช้ชีวิตกินอยู่สุขสบาย ซื้อผักกลับมาเป็นคัน ๆ รถ พูดออกไปใครจะไปเชื่อ! คุณแม่ คุณก็เอาแต่ลำเอียงไปหาน้องสามีเล็กตลอด พวกเราจะพูดอะไรได้? แยกบ้านกันแล้วก็ยังเป็นแบบนี้อีก แม่เป็นผู้ใหญ่แต่มีน้ำในถ้วยไม่เท่ากัน มันก็ไม่ต่างอะไรจากความลำเอียงนั่นแหละ แม่รักลูกชาย ก็เลยไม่รักหลานชายแล้วสินะคะ? พวกเราเลยได้ผักกันแค่นั้น ฤดูหนาวยาวนานขนาดนั้น ไหนจะฤดูใบไม้ผลิอีก ถึงเวลานั้นจะมีอะไรให้กิน ที่ฉันทำไปเพื่อใครล่ะ ก็เพื่อลูกของฉันนั่นแหละค่ะ!”
“ทำให้เธอรู้สึกถึงความอยุติธรรมจริง ๆ สินะ คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเสแสร้งแกล้งปั้นหน้าอยู่ในบ้านมานานขนาดนี้!” คุณแม่จ้าวแค่นเสียงเย็น ก่อนหน้านี้นางตาบอดจริง ๆ คิดว่าลูกสะใภ้คนนี้ไม่เลวเลย ฟังดูสิ แบบนี้ไม่เลวเกินไปแล้วจริง ๆ!
พี่สะใภ้สามถึงขั้นตกตะลึงจนเหม่อลอย นี่คือพี่สะใภ้รองคนที่แสนใจกว้างและเชื่อฟังคนนั้นเหรอ ทำไมถึงได้พูดกับแม่สามีแบบนี้ล่ะ?
“พี่สะใภ้รอง!” หล่อนรีบดึงเสื้อพี่สะใภ้รอง
พี่สะใภ้สี่เกิดความตื่นเต้นภายในใจขึ้นอย่างฉับพลัน รำพึงในใจว่า เป็นเพราะผักหนึ่งคันรถนั้นจริง ๆ ด้วยสินะ!
หล่อนก็ว่าอยู่แล้วเชียว พี่สะใภ้รองจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นได้อย่างไรกัน นั่นเป็นถึงผักหนึ่งคันรถใหญ่เชียวนะ น้องสามีคนเล็กผู้มีคุณธรรมคนนั้น ทั้งคุยโวโอ้อวดทั้งใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จะมีปัญญาหาเงินมาซื้อผักหนึ่งรถเข็นได้อย่างไรกัน ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่แอบเอาเงินไปให้ เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดแค่ครั้งสองครั้ง ใครจะไม่รู้บ้างล่ะ?
อีกอย่าง หล่อนเองก็อดไม่ได้ที่จะมองพี่สะใภ้คนนี้ใหม่อีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สะใภ้รองจ้าวที่แสนอ่อนโยนจะมีด้านที่แข็งแกร่งแบบนี้ กล้าต่อปากต่อคำกับแม่สามีด้วย
ไม่เหมือนกับหล่อน เป็นเพราะหล่อนไม่มีลูกชาย จึงไม่ได้มีความมั่นใจมากขนาดนี้ ทำได้เพียงแค่ให้พวกลูก ๆ ไปจ้องมอง จากนั้นก็แอบนินทาลับหลังนิด ๆ หน่อย ๆ
“ทำไมเธอถึงพูดกับแม่แบบนี้?” พี่รองจ้าวถึงกับโกรธเคือง ต่อหน้าน้องชายและภรรยาของน้องชาย ภรรยาของเขาพูดกับแม่แบบนี้ได้อย่างไร?
พี่สะใภ้รองรีบหันไปมองพี่รองจ้าวและน้องสามีอีกสองคนทันที “ทำไมล่ะ ฉันพูดผิดตรงไหนคะ? เจ้าสาม เจ้าสี่ พวกนายเองก็ได้ยินแล้ว พวกนายคิดว่าฉันพูดผิดไหมล่ะ?”
พี่สามจ้าวย่อมเสริมคำพูดของหล่อนอยู่แล้ว เขาพูดเสริมให้กำลังใจไปว่า “พี่สะใภ้พูดถูก บ้านพี่มีลูกตั้งหลายคน เด็กผู้ชายวัยกำลังโตกินเยอะจะตายไป ที่พี่ทำแบบนี้ก็เพื่อเถี่ยต้านกับหลูต้านทั้งนั้นแหละครับ!”
พี่สี่จ้าวกล่าวเสียงเรียบ “นั่นสิ ก็เพื่อเถี่ยต้านกับหลูต้าน ดังนั้นแม่ก็ควรให้เงินพวกพี่ ให้พวกพี่ซื้อผักหนึ่งคันรถใหญ่ถึงจะถูก มีลูกเยอะก็แบบนี้แหละครับ”
“เจ้าสี่เธอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?” พี่สะใภ้รองโกรธจนทนไม่ไหว
พี่สี่จ้าวบุ้ยปาก มาตะคอกใส่แม่ของเขา สุดยอดจริง ๆ!
สะใภ้สี่รีบพูด “พี่สะใภ้รองอย่าโกรธไปเลยค่ะ เขาไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้นแหละ แม่คะ ฉันว่าเรียกน้องสามีหกออกมาเถอะค่ะ ถามเรื่องผักคันนั้นไปเลย พี่สะใภ้รองจะได้ไม่เข้าใจผิดด้วย”
พี่สะใภ้สามกล่าว “เข้าใจผิดอะไรกัน ต่อให้แม่จะให้เงินน้องสามีหกก็เป็นเงินของแม่ มีอะไรให้เข้าใจผิด?”
“ดูพี่สะใภ้สามพูดเข้าสิ มันไม่ใช่ปัญหาตรงไหนกัน? เป็นลูกเป็นหลานเหมือนกัน น้ำหนึ่งถ้วยก็ต้องให้อย่างเท่าเทียมกันสิ ไม่งั้นใครจะไปรู้ล่ะว่าเมฆก้อนไหนจะมีฝน” คำพูดด้านหลังของพี่สะใภ้สี่เบาลง แต่ทุกคนในบ้านก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
คุณแม่จ้าวแอบแค่นเสียงเย็นในใจ คำพูดนี้ช่างน่าฟังดีจริง ๆ เมฆก้อนไหนจะมีฝน เธอพูดแบบนี้ เมฆก้อนไหนจะมีฝน ก็คงเป็นเมฆก้อนของเธอนั่นแหละที่วางใจไม่ได้
“ฉันจะบอกพวกเธออีกครั้ง พวกฉันไม่ได้ให้เงินเจ้าหกแม้แต่เฟินเดียว พวกเธอจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ” คุณแม่จ้าวแค่นเสียงเย็น
“แม่คะ เรียกน้องสามีออกมาถามเถอะค่ะ” สะใภ้สี่กระซิบ
พี่สามรีบพูดต่อ “ใช่ ถามเขาดูเถอะครับ ถามให้ชัดเจนก็สิ้นเรื่องแล้ว เอ้อร์หยา หม่าต้าน ไป ไปเรียกอาเล็กมา”
เขาหันไปพูดกับลูกที่กำลังยืนดูฉากตื่นเต้นอยู่ด้านนอกประตูด้วยความประหม่า
ลูกทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดของผู้ใหญ่ จึงรีบไปเรียก
คุณแม่จ้าวเห็นว่าลูกชายคนเล็กต้องมาเผชิญหน้า จึงชี้หน้าด่าลูกชายและลูกสะใภ้ที่อยู่ในห้อง “พวกทัศนวิสัยแคบ พวกเธอนี่มันเก่งจริง ๆ เลยนะ ตัวเองไร้ความสามารถแล้วยังกล้ามาสงสัยเหวินเทาอีก…”
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คุณแม่จ้าวฟาดหนักมาก หน้ากากคุณธรรมสะใภ้รองแตกละเอียดเลยทีเดียว
เหวินเทามาแล้วคงมีหลายคนหน้าแตกแหง
ไหหม่า(海馬)