เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 89 อิจฉา
ตอนที่ 89 อิจฉา
เย่ฉูฉู่เห็นการแสดงออกของเขาก็รู้แล้วว่าเขาคิดอะไร เธอจึงกลอกตาใส่พลางกล่าว “รอให้ฉันได้เงินเดี๋ยวคุณก็รู้” พี่สะใภ้สามพอใจกับแบบร่างเหล่านั้นจริง ๆ เธอก็ต้องทำเงินได้อยู่แล้วน่ะสิ?
จ้าวเหวินเทาย่อมต้องง้อภรรยาของตัวเอง หลังจากง้อเสร็จจึงพูดว่า “ภรรยาจ๋า คุณดูสินี่อะไร?”
เขานำเงินที่ได้กลับมามอบให้ภรรยา
กระเป๋าเงินของจ้าวเหวินเทาในวันนี้อยู่ในสภาพการณ์ที่ดีขึ้น จากขาไปที่ใช้เพียงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กห่อเงินก็ได้เปลี่ยนเป็นกระเป๋าสะพายใบเล็กสีเขียวทหารแล้ว
กระเป๋าใบนี้มีความทนทาน ใส่เงินได้เยอะเชียวล่ะ
เย่ฉูฉู่เทเงินออกมานับ
แม้ว่าในนั้นจะเป็นเงินเฟินและเหมาทั้งหมด แต่วันนี้ก็สามารถทำเงินได้ 5-6 หยวน ตอนที่การค้าดี ๆ ก็ได้มากกว่าสิบหยวนเช่นกัน ซึ่งนี่เป็นเงินที่ได้หลังจากแบ่งกับพี่สามแล้ว
เมื่อคำนวณเช่นนี้ต่อไป หนึ่งเดือนสามารถทำเงินได้หนึ่งถึงสองร้อยหยวนเชียวล่ะ!
ในยุคนี้ เงินจำนวนนี้ถือว่าเป็นรายได้จำนวนมากแล้ว
จ้าวเหวินเทาและพี่สามเย่หมิงเป่ยทำการค้าขายอย่างมีชีวิตชีวา ทำให้พวกพี่ชายและพี่สะใภ้ต่างก็เกิดความอยากจนยากที่จะอดทน
พี่รองจ้าวและพี่สี่จ้าวก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก คนหนึ่งก็ทำหน้าที่อย่างซื่อตรง ส่วนอีกคนก็ไม่ได้สนใจการค้าขาย จึงอยากทำงานในนาให้ดี
แต่พี่สะใภ้รองจ้าว พี่สะใภ้สี่จ้าวไม่ได้เป็นแบบนั้น นอกจากอิจฉาตาร้อนแล้วยังร้อนใจอีก
พี่สามจ้าวก็เช่นกัน เมื่อเห็นเจ้าหกมีสีหน้าท่าทางเปี่ยมพลังแบบนั้น เขาก็ปวดใจจริง ๆ
แต่เมื่อเทียบกับพี่สะใภ้รองและพี่สะใภ้สี่แล้ว เขายังดีหน่อย เพราะเขายังได้ขายเต้าหู้
เงินที่เขาได้ในทุก ๆ วันมากกว่างานหัตถกรรมของพี่สะใภ้รองจ้าวและพี่สะใภ้สี่จ้าวเป็นไหน ๆ
เดิมทีเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจแล้ว แต่เมื่อเห็นจ้าวเหวินเทาได้ขับรถสามล้อติดเครื่องยนต์ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นรถที่เจ้าหกซื้อ แต่การได้ขับรถแบบนั้นก็ทำให้เขาอิจฉาอยู่ดี ทั้งยังทำให้รู้สึกได้ว่าจ้าวเหวินเทาทำเงินได้มากด้วย
ภายในใจย่อมรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก
“เลิกปวดใจได้แล้ว ใครใช้ให้พวกคุณไม่มีญาติดี ๆ กันล่ะ!” พี่สี่จ้าวรู้สึกรำคาญกับเสียงบ่นของพี่สะใภ้สี่ เขาจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ทำเอาพี่สะใภ้สี่เกือบสำลักตาย พี่สะใภ้รองจ้าวที่เดินผ่านมาได้ยิน ก็แอบกลอกตามองบนอยู่ในใจเช่นกัน
ญาติที่ร่ำรวยอย่างตระกูลเย่จะมีสักกี่คนกันเชียว?
ญาติทางฝั่งแม่ที่มีกำลังแบบนั้นยากที่จะมี แถมยังเรียกคนไม่เอาถ่านแบบจ้าวเหวินเทาให้ไปร่วมด้วย
พวกหล่อนทำงานหนักด้วยความยากลำบากจะกินก็เสียดายจะดื่มก็เสียดาย แต่กลับไม่มีอะไรเลย พูดมาสิว่าสวรรค์ยังมีเหตุผลอยู่หรือเปล่า?
“ลอกเปลือกกัญชงอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน จะขายได้สักกี่หยวนกันเชียว!” พี่สะใภ้รองจ้าวกลั้นใจเดินกลับเข้าบ้าน เมื่อเห็นพี่รองจ้าวนั่งลอกเปลือกต้นกัญชงอย่างขะมักเขม้นก็โกรธขึ้นมา
พี่รองจ้าวขมวดคิ้ว “คุณเป็นอะไรของคุณอีกแล้วเนี่ย? คุณบอกว่าจะทำพื้นรองเท้าไม่ใช่เหรอ ผมไม่ลอกเปลือกกัญชงสักหน่อย คุณจะใช้อะไรถักเชือกป่าน?”
พี่สะใภ้รองจ้าวตื่นตระหนกอยู่ในใจ “คุณหวังพึ่งพื้นรองเท้าแค่ไม่กี่ชิ้นนั้นของฉันเนี่ยนะคะ นั่นมันจะขายได้สักกี่หยวนกันเชียว? ไม่ต้องพูดถึงน้องสามีเล็กที่ได้ขับรถสามล้อเครื่องยนต์หรอก แม้แต่น้องสามีสามก็ออกไปขายเต้าหู้ทุกวัน! คุณล่ะ? ช่วยมีความคิดออกไปขายของสักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง?”
พี่รองจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณพูดว่าขายอะไรงั้นเหรอ? พวกเรามีอะไรให้ขาย? คุณพูดมาสิ ถ้าคุณพูดออกมาได้ว่าให้ขายอะไร เราก็ขายอันนั้นแหละ!”
พวกผู้หญิงเหล่านี้ไม่ยอมใช้ชีวิตให้ดีเลยจริง ๆ ถ้าไม่เอาบ้านตะวันออกไปเทียบกับบ้านตะวันตก ก็พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นแหละ!
พี่สะใภ้รองจ้าวถึงกับสำลัก ขายอะไรงั้นเหรอ?
หล่อนเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะขายอะไรดี ขายเต้าหู้เหรอ? แบบนั้นไม่มีทางขายสู้เจ้าสามได้หรอก
ขายถั่วงอกเหรอ? ก่อนหน้านี้หล่อนก็เข้าไปในเมืองกับคนอื่นมาแล้ว แถมไปถามพี่สาวสามีมาแล้วด้วย จึงทราบว่ากำไรจากถั่วงอกไม่ได้สูง อากาศหนาวแบบนี้วิ่งไปขายถั่วงอก ไม่เพียงแต่จะไม่ได้เงิน เผลอ ๆ อาจจะหนาวจนเกิดปัญหาขึ้นอีก ไม่คุ้มทุนอยู่ดี
หล่อนเองก็รู้ดีว่าจ้าวเหวินเทาขายเนื้อเป็นหลัก อีกอย่างช่องทางในการนำเข้าเนื้อหมูก็เป็นเพราะความโปรดปรานที่จ้าวเหวินเทาได้รับ แต่พวกเขาไม่มี คิดไปคิดมาก็ยังไม่รู้เลยว่าจะขายอะไร
“คุณจะให้ฉันพูดอะไร ฉันเป็นผู้หญิง คุณเป็นผู้ชาย เป็นหัวหน้าครอบครัวในบ้าน คุณนั่นแหละที่ต้องคิด!” พี่สะใภ้รองจ้าวคิดไม่ออกจึงผลักภาระไปให้พี่รองจ้าว “ถ้าไม่ได้จริง ๆ คุณก็ไปหาเหวินเทาสิ คุณก็ไปวิ่งรถกับพวกเขาด้วยเลย หาอะไรทำสักหน่อยก็ได้แล้ว”
“คุณพอได้แล้วล่ะ!” พี่รองจ้าวมองหล่อนอย่างไม่สบอารมณ์ “รถเป็นรถที่ตระกูลเย่ออกเงินซื้อมา เจ้าหกเองก็ได้ผลประโยชน์จากทางฝั่งนั้นไปด้วย คุณจะให้ผมขึ้นไปขอส่วนแบ่งด้วยเนี่ยนะ? ผมต้องหน้าไม่อายขนาดไหนกัน!”
พี่รองจ้าวปฏิเสธในคราวเดียว
ถ้าหากพี่เขยของเขาเป็นแบบนั้น เขาก็คงไปลองดูได้ แต่นี่เป็นพี่สามของภรรยาน้องชายเขา ลำดับญาตินี้ห่างกันไม่รู้ตั้งเท่าไร อีกอย่างเขาเองก็ไม่มีอะไรเลย จะให้เขาเอ่ยปากอย่างไร้ยางอายได้อย่างไรกัน?
ถึงเวลานั้นก็เท่ากับทำให้เจ้าหกต้องลำบากใจไปด้วยไม่ใช่เหรอ?
พี่รองจ้าวเป็นคนชอบคิดแทนคนอื่นมาก
แม้ว่าพี่สะใภ้รองจ้าวจะเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่รองจ้าวพูด หล่อนก็แค่เห็นด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับ
“อันนี้ก็ไม่ได้อันนั้นก็ไม่ได้ หรือว่าจะยืนมองคนอื่นเขาทำเงินแบบนี้เหรอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวโมโหขึ้นมาแล้ว จึงขึ้นเสียงใส่เขา
“พอได้แล้ว คุณอย่าวางแผนแบบหน้ามืดตามัวไปหน่อยเลย งานจริง ๆ จัง ๆ ยังทำไม่ได้ ยังมีหน้าไปคิดถึงเรื่องอื่นอีก! พรุ่งนี้ก็ถึงคิวเราต้องแปรรูปข้าวแล้ว คุณยังไม่นึ่งอาหารแห้งเลย อย่าปล่อยให้ไปถึงสิ้นปีล่ะ คงได้ทำงานยุ่งหามรุ่งหามค่ำแน่ แก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ ซะ” พี่รองจ้าวพูดจบก็นึกขึ้นได้ “แล้วก็ คุณบอกว่ายังเหลือรองเท้าอีกสองสามคู่ที่ยังทำไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ? คนเขารอใส่ช่วงปีใหม่อยู่นะ ตอนนี้คุณยังมีกะจิตกะใจไปเพ่งมองเจ้าหกอีก อย่ารอให้ถึงเวลานั้นแล้วยังทำอะไรไม่เสร็จสักอย่างล่ะ!”
พี่สะใภ้รองจ้าวหมดแรงที่จะโต้ตอบ หล่อนเองก็ลืมไปแล้วว่าพรุ่งนี้ถึงคิวแปรรูปข้าวของพวกหล่อนแล้ว การดำเนินการนี้ใช้เวลาสองวัน หลังจากทำงานเสร็จก็ยังต้องแช่ถั่วอีก
ไหนจะรองเท้าอีกสองสามคู่นั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้เสร็จ นั่นคือเงินเลยนะ!
หลังจากเข้าสู่ฤดูหนาวตอนที่แต่ละหมู่บ้านแปรรูปข้าว อาหารที่เข้าสู่ยุ้งจะไม่สามารถรับประทานได้โดยตรง จำเป็นต้องแปรรูป ซึ่งก่อนหน้านี้จะกลิ้งด้วยโม่หินบดแป้ง
ตอนนี้มีโรงโม่แป้งแล้ว ข้าวส่วนใหญ่จะแปรรูปที่โรงโม่แป้ง แลกกับเงินนิดหน่อยสำหรับค่าแปรรูป แป้งข้าวที่ใช้รับประทานในหนึ่งปีก็จะเสร็จเรียบร้อยใน 1-2 วัน หากใช้โม่หินบดแป้งต้องใช้เวลาถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เหนื่อยตายเลย!
แต่โรงโม่แป้งจากทั้งมณฑลมีอยู่เพียงสองแห่ง ต้องต่อคิว หากพลาดไปก็ไม่รู้ว่าจะได้จองคิวเมื่อไร
แน่นอนว่ามีบางคนไม่ได้ไปโรงโม่แป้ง เพราะทำใจไม่ได้ที่ต้องใช้เงิน และรู้สึกยุ่งยาก จึงใช้โม่หินเพื่อประหยัดเงินอยู่ในหมู่บ้าน เหนื่อยหน่อยก็ยังคุ้มค่า
เพียงแต่ใช้ลูกกลิ้งหินก็ยังต้องต่อคิวเหมือนกัน เพราะชาวบ้านคุ้นชินกับการโม่แป้งด้วยโม่หินไปแล้ว บดข้าวให้กลายเป็นแป้ง จากนั้นจึงนำอาหารแห้งพวกนี้ไปนึ่ง พวกเขามีแผนในการนึ่งอาหารแห้งสำหรับปีใหม่อยู่แล้ว ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นไม่จำเป็นต้องวิ่งไปแปรรูปที่โรงงานแปรรูปถึงในมณฑลหรอก
ดังนั้น จนถึงตอนนี้จะใช้โม่หินก็ยังต้องเปลี่ยนเวรกัน
อีกอย่างก็คือ มีคนคิดว่าแป้งที่ได้จากการโม่ด้วยโม่หินอร่อยกว่าการใช้เครื่องจักรแปรรูป หนึ่งในนั้นคือพี่สามจ้าวที่คิดแบบนี้
เต้าหู้ที่พี่สามจ้าวทำเป็นของที่ใช้แรงงานคนทั้งหมด เขายืมโม่หินขนาดเล็กมาจากในทีม จากนั้นก็ให้พี่สะใภ้สามจ้าวใช้เครื่องโม่ขนาดเล็กบดถั่วเหลือง
การทำเต้าหู้ไม่ใช่งานง่าย ๆ ต่อให้ใช้เครื่องจักรเพื่อแปรรูปก็ยังเหนื่อยมากอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำด้วยมือทุกขั้นตอน
หลังจากแช่ถั่วแล้ว ใช้เครื่องโม่บดออกมา นำไปต้มให้สุก ตามด้วยน้ำนิดหน่อย บีบคั้นน้ำออกและขั้นตอนอื่น ๆ กว่าจะเสร็จก็เช้า คิดดูสิว่าแบบนั้นจะเหนื่อยขนาดไหน?
อันที่จริงตีสามกว่า ๆ ก็ต้องลุกขึ้นมาแล้ว ทำนู่นทำนี่ยุ่งจนถึง 6-7 โมงเช้า
ตอนนี้จะปีใหม่แล้ว จำเป็นมีน้ำเต้าหู้เยอะ ๆ เต้าหู้ที่พี่สามจ้าวทำอร่อย สินค้าจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการ
พี่สามจ้าวรู้สึกมีความสุข เขาอยากทำให้มากสักหน่อย ผลลัพธ์ที่ได้คือพี่สะใภ้สามจ้าวเหนื่อยเจียนตายอยู่แล้ว
หล่อนต้องบดถั่ว ซึ่งถั่วก็ไม่ได้บดง่ายขนาดนั้น หล่อนเหนื่อยจนแขนทั้งสองข้างปูดบวมขึ้นมา แม้แต่จะทำอาหารก็ทำไม่ไหว
“ฉันไม่บดแล้ว คุณไปแปรรูปที่โรงโม่เถอะ” พี่สะใภ้สามจ้าวเอนตัวบนเตียงขบฟันด้วยความเจ็บปวด ขณะพูดอย่างหมดแรง
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สะใภ้รองอย่าโลภมาก เดี๋ยวลาภจะหายนะคะ
สงสารสะใภ้สามจัง พี่สามมาช่วยภรรยาหน่อย ไม่ก็ยอมต่อคิวเข้าโรงโม่เถอะ งานฝีมือมันมีคุณค่าก็จริง แต่ถ้าต้องเหนื่อยร่างพังแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ
ไหหม่า(海馬)