เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 - ตอนที่ 100 แม่นางยั่วสวาท
ตอนที่ 100 แม่นางยั่วสวาท
แผ่นป้ายคาดเอวคือตำแหน่งของชายชราผู้นี้ เขาคือท่านนายอำเภอ!
ซูจินฮัวกำลังพูดคุยอยู่กับท่านนายอำเภออย่างงั้นหรือ!?
มุมปากของซูหวานหว่านกระตุกยิ้มน้อย ๆ พร้อมทั้งเอ่ยเรื่องที่มารดาของนางถูกวางยาให้แก่ชายชราฟัง ท่านนายอำเภอจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้ามีหลักฐานและได้ฟังความทั้งหมดแล้ว! นำตัวเขาออกไป! ข้าจะยังตัดสินเขาให้ข้อหาติดสินบนอีกด้วย!”
ยังไม่ทันที่นายอำเภอจะพูดจบ ไป๋หยวนซูที่รออยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาจับกุมซูจินฮัว
ซูจินฮัวมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา ร่างกายของเขาพลันอ่อนแรงลง ปล่อยให้ไป๋หยวนซูมัดเชือกที่แขนอย่างง่ายดาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ไม่ ไม่จริง ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ เขาไม่ใช่ท่านนายอำเภอ! ข้าเคยเจอกับเขามาก่อน ข้าได้ส่งเงินให้เขาเป็นการส่วนตัว! นี่ นี่”
เขายังไม่เชื่ออีกงั้นหรือ? ไป๋หยวนซูมัดตัวซูจินฮัวเอาไว้และกล่าวออกมาเสียงดัง “นั่นคือท่านนายอำเภอคนเก่า เนื่องจากนายอำเภอคนก่อนติดสินบนผู้อื่นมากมาย อีกทั้งยังนำเงินไปเลี้ยงดูหญิงสาวคนหนึ่งทำให้ถูกภรรยาของตนเองร้องเรียน ตอนนี้เขาได้ถูกไล่ออกและกำลังถูกไต่สวนในการทำทุจริตในหน้าที่ และท่านผู้นี้คือนายอำเภอคนปัจจุบัน!”
จากนั้นไป๋หยวนซูก็กล่าวต่อ “ท่านนายอำเภอได้ยินว่าหมู่บ้านแห่งนี้ค่อนข้างมั่งมีแล้ว ดังนั้นเขาจึงลงมาตรวจสอบด้วยตนเอง ข้าเลยถือโอกาสมาเยี่ยมแม่นางซู! แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะมาได้ยินเรื่องที่มันไร้สาระเช่นนี้!”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง!
ชาวบ้านทุกคนต่างพากันตกตะลึง พวกชาวบ้านเบนความสนใจไปที่ซูหวานหว่านอีกครั้ง “ซูหวานหว่านได้รับการดูแลจากท่านนายอำเภอเป็นพิเศษอย่างงั้นหรือ!”
ซูจินฮัวค่อนข้างไม่พอใจและเชื่อว่านี่เป็นแผนของซูหวานหว่าน “ซูหวานหว่าน เจ้า…”
ไป๋หยวนซูนำเศษผ้ายัดเข้าไปในปากของซูจินฮัวและนำตัวเขาออกไป ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้รับการแก้ไขปัญหาแล้ว ท่านนายอำเภอจึงพยักหน้าให้กับซูหวานหว่าน นางจึงเชิญท่านนายอำเภอเข้ามานั่งคุยในบ้าน
เหล่าชาวบ้านอยากจะเข้าไปฟังด้วยแต่เกรงว่ามันจะดูไม่มีมารยาท ทว่าความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาก็ยังไม่หมดไป จึงใช้หูของตัวเองแนบไปที่กำแพงเพื่อแอบฟัง
ท่านนายอำเภอจึงเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าได้ทราบเรื่องของเจ้าจากไป๋หยวนซูแล้ว ข้าเพิ่งรู้ว่ามีคนมีความสามารถถึงเพียงนี้อยู่ อีกทั้งข้ายังได้ยินเรื่องของเจ้ามาไม่น้อย เจ้าไม่เพียงแต่หาเงินทำให้ครอบครัวของเจ้าร่ำรวยขึ้น แต่เจ้ายังช่วยชาวบ้านหารายได้อีกด้วย มันไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ๆ เลยที่คนคนหนึ่งจะทำได้ขนาดนี้”
“ท่านกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” ซูหวานหว่านปฏิเสธอย่างสุภาพ ทว่านางสามารถเดาออกว่าเจตนาของท่านนายอำเภอต้องการอะไร “ครอบครัวของข้าแค่พัฒนามีฐานะที่ดีขึ้นเพียงเท่านั้น ข้าเองอยากจะให้พวกชาวบ้านมีรายได้เหมือนกันและมีความเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน หากว่าข้ามีโอกาส ข้าก็อยากให้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงหรือแม้แต่คนที่อาศัยอยู่เมือง มีชีวิตที่รุ่งเรืองไปด้วยกันเจ้าค่ะ”
“พูดได้ดี!” ท่านนายอำเภอรู้สึกพอใจกับคำพูดของซูหวานหว่านเป็นอย่างมาก “ข้ามาคราวนี้ก็เพื่อเรื่องนี้ ข้าขอพูดตามตรง ข้ารับราชการมาหลายปีแล้ว ได้แก้ปัญหาเพื่อประชาชนมาก็มาก แต่ข้าไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเรื่องปากท้องของพวกชาวบ้านได้หมด มันเหมือนเป็นหนามในใจของข้าที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ให้กับผู้คนได้ เจ้าเป็นคนใจกว้างมาก ข้าขอขอบคุณเจ้าแทนพวกชาวบ้านทุกคนที่นี่ด้วย!”
“ท่านไม่ต้องขอบคุณข้าขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ” ซูหวานหว่านยิ้ม นางนำชาและขนมออกมาต้อนรับ
ท่านนายอำเภอยกชาขึ้นดื่มก่อนที่จะเอ่ยขอตัวกลับ ทว่าก่อนไปเขายังทิ้งท้ายเอาไว้ “แม่นางซู หากต้องการความช่วยเหลือใดที่ข้าสามารถช่วยได้ และตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เช่น การฆาตกรรมหรือการลอบวางเพลิง ขอเพียงแค่เจ้าบอกข้า ข้ายินดีช่วยเจ้าเสมอ”
“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณท่านแล้วเจ้าค่ะ” ซูหวานหว่านตอบรับพร้อมเดินไปส่งเขาบริเวณหน้าบ้าน แต่เมื่อเขากำลังจะก้าวเดินออกจากบ้าน เขากลับหันหลังมาและสะดุดตากับภาพเขียนหมึกบนผนัง “เหตุใดภาพวาดนี้ถึงมาอยู่ที่นี่!”
“มีอะไรผิดปกติกับภาพวาดนี้อย่างงั้นหรือเจ้าคะ?” ซูหวานหว่านถามออกมาด้วยความสงสัย และทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าแม่เจิ้นเป็นคนนำมาแขวนเอาไว้ โดยภาพวาดนี้มันเป็นของที่ฉีเฉิงเฟิงให้มา ซึ่งตัวนางเองยังแอบยกย่องอยู่ในใจชั่วขณะหนึ่ง
“ไม่ผิด! เอาแขวนเอาไว้ตรงนี้คือถูกต้องแล้ว! นี่คือภาพวาดที่มีชื่อเสียงมาก
ชุนรื่อซานจูทู ในยุคของราชวงศ์หมิง!” ท่านนายอำเภอตกตะลึงพร้อมทั้งส่ายหน้าและเอ่ยออกมาอีกครั้ง “ภาพวาดนี้มันจะต้องเป็นภาพเลียนแบบอย่างแน่นอน เพียงแค่ข้านึกถึงตอนนั้น ที่ข้าโชคดีได้เข้าไปในเมืองหลวงและได้เข้าไปที่จวนอัครเสนาบดีและบังเอิญเห็นภาพวาดนี้ จึงใช้เวลาชื่นชมมันอยู่นานทีเดียว”
หลังจากพูดจบเขาก็มองไปที่ภาพวาดอย่างตัดใจไม่ได้ ซูหวานหว่านอยากจะยกภาพวาดนี้ให้กับท่านนายอำเภอไป ทว่าเขาปฏิเสธไม่รับ จากนั้นก็ขอตัวแล้วพาคนอื่น ๆ และซูจินฮัวกลับเข้าเมืองไป
เมื่อมองด้านหลังของท่านนายอำเภอที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ซูหวานหว่านจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา
เนื่องจากภาพวาดนี้มันหายากมาก ๆ ที่มีอยู่ในจวนอัครเสนาบดี แล้วฉีเฉิงเฟิงไปเห็นภาพวาดนี้ได้อย่างไรกัน? ซูหวานหว่านสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของฉีเฉิงเฟิงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาคงไม่ใช่ลูกชายของท่านอัครเสนาบดีหรอกนะ หรือเขาอาจจะเป็นลูกชายของข้าราชการที่มียศสูงก็ได้?
แล้วเหตุใดถึงพาตัวเองมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้? ซูหวานหว่านเดินไปเดินมาและพยายามใช้ความคิดของตัวเองในการค้นหาคำตอบ นางกำลังจะเดินออกไปถามฉีเฉิงเฟิง ทว่านางกลับถูกพวกชาวบ้านรายล้อมตัวนางเอาไว้เสียก่อน
“ซูหวานหว่าน! เจ้าเป็นคนที่ทำให้หมู่บ้านของเรามีหน้ามีตาจริง ๆ! จากนี้ไปไม่ว่าเจ้าจะให้การช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไร เจ้าจะต้องจำเอาไว้ว่าต้องช่วยเหลือคนในหมู่บ้านของเราด้วย!”
“ใช่แล้ว!”
“…”
ซูหวานหว่านเงยหน้าขึ้นและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เมื่อเห็นวัตถุดิบขนภูเขานางก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ตัดสินใจจ้างคนขึ้นไปเก็บวัตถุดิบภูเขามาให้นาง ซึ่งนางลืมเรื่องตามหาฉีเฉิงเฟิงไปหมดสิ้นและเปิดรับสมัครคนงานทันที
เหล่าชาวบ้านแนะนำตัวเองกันอย่างกระตือรือร้น นางก็รู้สึกว่าได้เวลาที่จะต้องขึ้นไปบนภูเขาเพื่อไปเก็บวัตถุดิบแล้ว แต่เมื่อลองมองหาฉีเฉิงเฟิงอีกครั้งก็กลับหาไม่พบ
ทันใดนั้นเสียงของหลิงเชอก็ดังขึ้นมาในหัวของซูหวานหว่าน “ให้ข้าบอกไหมว่าเขาไปที่ใด สัมผัสที่หกของข้านั้นดีมากและตอนนี้เขากำลังอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง!”
“หุบปาก!” ซูหวานหว่านรู้สึกโกรธมากจนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป นางจึงเข้าไปตรวจดูเห็ดที่นางได้มาจากชาวบ้านบางส่วน
ป๋ายเยว่ซินเดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้าขุดผักป่า เอ่ยพูดติดตลกเล็กน้อยว่า “ซูหวานหว่าน ข้าไปขุดผักป่ากลับมา ข้าเห็นฉีเฉิงเฟิงด้วย เจ้าลองเดาดูสิว่าเขาไปทำอะไรที่หน้าหมู่บ้าน?”
“ไม่เดา” ซูหวานหว่านตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์
ถึงแม้ว่าฉีเฉิงเฟิงจะไม่ชอบนาง ป๋ายเยว่ซินก็รู้สึกว่ามันก็ไม่สลักสำคัญอะไรกับนางอีกต่อไป ตรงกันข้ามนางกลับรู้สึกสบายใจและพูดออกมาว่า “ข้าเห็นฉีเฉิงเฟิงกำลังแบกสตรีนางหนึ่งขึ้นหลังที่น่าจะมีอายุสิบห้าสิบหก! ข้าแนะนำให้เจ้าไปดูเองเสียดีกว่านะ”
“ขอบคุณที่อุตส่าห์มาบอกข้า แต่ข้าเชื่อใจเขา” ซูหวานหว่านตอบกลับ ทว่าใบหน้าของนางเต็มด้วยความไม่มั่นใจ นางไม่แน่ใจว่าฉีเฉิงเฟิงกำลังจะทำสิ่งใดกันแน่ และยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางรู้สึกสงสัยในตัวของฉีเฉิงเฟิงมากขึ้นไปอีก เมื่อป๋ายเยว่ซินเอาเรื่องนี้มาบอกนาง
“เหอะ! ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ!” ป๋ายเยว่ซินขมวดคิ้ว “หากเขากำลังคิดที่จะมีเมียรองหรืออนุขึ้นมา ข้าขอแนะนำให้เจ้าอยู่ห่างจากเขาไว้แล้วกัน”
“หากเขากล้าที่จะมีเมียรองหรืออนุ! ข้าก็จะแต่งงานกับผู้ชายอีกสองคน! อย่างไรข้าก็จะไม่เสียเปรียบ” ซูหวานหว่านพูดออกมาด้วยใบหน้าเย็นชา
“อ๊ะ—คุณชายฉี เจ้าทำข้าเจ็บนะ” พลันใดนั้นก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้นที่หน้าประตู
ไม่แน่ทั้งสองคนอาจจะได้ยินสิ่งที่พวกนางกำลังพูดอยู่ก็เป็นได้ ป๋ายเยว่ซินปรับสีหน้าและเดินออกไปพร้อมตระกร้าผัก
ซูหวานหว่านชำเลืองมองหญิงสาวที่มีดวงตาเป็นประกาย ฟันของนางขาวเรียงตัวสวย ผิวพรรณงดงามถือว่าเป็นหญิงสาวที่สวยเลยทีเดียว นางเกาะอยู่บนหลังฉีเฉิงเฟิงอยู่และส่งเสียงร้องออกมา
ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ นางก้าวลงจากหลังของฉีเฉิงเฟิงและหันไปสบตาซูหวานหว่านที่กำลังยืนมองอยู่ นางพึมพำออกมาเบา ๆ ว่า “ฉีเฉิงเฟิง หญิงผู้นี้คือใครกัน? เหตุใดถึงเป็นผู้หญิงแบบนั้นได้! อีกทั้งนางก็ยังบอกอีกว่าจะมีสามีสองคน มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอายนัก”
ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้วเหลือบมองอย่างเย็นชา “นี่พี่สาวของเจ้า”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของฉีเฉิงเฟิง ซูหวานหว่านก็รู้สึกโกรธมาก
ฉีเฉิงเฟิงสัญญาแล้วว่าจะแต่งงานเข้าบ้านนาง! แล้วเหตุใดตอนนี้พาผู้หญิงที่ยั่วสวาทแบบนี้กลับมาด้วย มันหมายความว่าอย่างไร? อีกทั้งยังมาบอกว่าให้นางเรียกหญิงสาวนางนี้ว่าพี่สาว?
ซูหวานหว่านมองฉีเฉิงเฟิงพร้อมเอ่ยถามอย่างขุ่นเคือง “ฉีเฉิงเฟิง นางคือใครกันแน่?”