เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 - ตอนที่ 115 ความลับกำลังจะแตก
ตอนที่ 115 ความลับกำลังจะแตก?
เสียงของชายหนุ่มอ่อนโยนเต็มไปด้วยแรงดึงดูด ซูหวานหว่านรู้สึกว่าร่างกายอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง นางกะพริบตาถี่ ๆ รู้สึกตัวอีกที่แผ่นหลังของนางก็แตะลงบนเตียงเสียแล้ว
เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของอีกฝ่ายเนียนละเอียด ร่างกายของชายหนุ่มคร่อมอยู่บนร่างกายของเด็กสาว ริมฝีปากแดงสดจุมพิตลงบนใบหน้าของซูหวานหว่าน
เหตุการณ์เกิดขึ้นในเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น พลันใดเด็กสาวก็รู้สึกตัว พบว่ามีมือเรียวอยู่บริเวณเอวกำลังปลดผ้าคาดเอวของนางออก ชายหนุ่มค่อย ๆ ปลดเสื้อออกเผยให้เห็นเนินอกขาว…
ใบหน้าขาวของเด็กสาวขึ้นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย นางรีบยกมือขึ้นมาปกปิดร่างกายของตนด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจ้องมองใบหน้าอีกฝ่าย “ฉีเฉิงเฟิง เจ้าคิดจะทำอะไร!”
น้ำเสียงของซูหวานหว่านแผ่วเบา มันนุ่มนวลมากเสียจนตัวนางยังตกใจกับการกระทำของตนเอง
“เจ้าคิดว่าข้ากำลังจะทำอะไร?” ฉีเฉิงเฟิงกอบกุมมือของซูหวานหว่านเอาไว้ ชายหนุ่มลดใบหน้าลงพลางกระซิบข้างหู “เดิมทีข้าว่าจะรอให้เจ้าโตกว่านี้สักสองสามปีก่อน แต่ตอนนี้ ข้า…ไม่อยากจะรอแล้ว”
พูดจบก็ประกบริมฝีปากของตนเองเข้ากับริมฝีปากเรียวบางของซูหวานหว่าน ขณะที่สองคนกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ของกันและกัน ก็มีเสียงอันเย็นชาดังขึ้น “ฉีเฉิงเฟิง! เจ้าอาบน้ำเสร็จหรือยัง? ข้าเอายามาให้เจ้า—เฮ้ย พวกเจ้าสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่! น่าอายมาก! เหตุใดถึงไม่ออกไปทำกันข้างนอก! ทำไมข้าต้องมาเห็นภาพอะไรเหล่านี้ด้วย!”
“…”
ฉีเฉิงเฟิงรีบดึงผ้าห่มที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาปกปิดร่างกายซูหวานหว่านทันที ชายหนุ่มแต่งตัวอย่างใจเย็นก่อนจะเดินเข้าไปหยิบยาจากมือของหลิงเชอและอย่างเฉยชา “เจ้าออกไปได้แล้ว”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นที่ของเขาต่างหาก! หลิงเชอคิดไปสักครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปหาซูหวานหว่านที่ถูกห่อตัวด้วยผ้าห่มและพูดมาด้วยใบหน้าขมขื่น “เจ้าบ้าน! ท่านดูพ่อหนุ่มนั่นสิ เห็นอยู่ว่าเขาคือเสี่ยวซานที่มาทำลายความสัมพันธ์ของเรา และตอนนี้…”
เมื่อนางเอื้อมมือออกมาจากใต้ผ้าห่ม พลันใดนั้นหลิงเชอก็ตะโกนออกมาว่า “โอ๊ย! อย่าดึงหูข้า!”
ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เด็กสาวปล่อยมือและแต่งตัวให้เรียบร้อย เมื่อแต่งตัวเสร็จนางก็ลุกขึ้นและเดินออกกระท่อมไป โดยไม่ลืมพาฉีเฉิงเฟิงไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป
หลิงเชอที่นั่งอยู่คนเดียวที่ลานบ้านยิ้มขมขื่นพลางกล่าวว่า “น่าเสียดาย ข้าอุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้าบ้านมาเป็นเวลานาน แต่ท้ายที่สุดก็ถูกคนอื่นขโมยไปจนได้”
ในเวลานี้ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงนั่งอยู่ด้วยกันบนภูเขา เด็กสาวกลัวว่าฉีเฉิงเฟิงจะทำอะไรนางอีก จึงเว้นระยะห่างเอาไว้ไปเล็กน้อย ชายหนุ่มเอียงศีรษะเล็กน้อยและยิ้มออกมา เฝ้าดูใบหน้าด้านข้างที่งดงามของคู่สนทนากับริมฝีปากบางแดงระเรื่อ
ดูเหมือนว่าเขาจะ… เขาจะสูญเสียความเป็นตนเองอย่างมากเมื่ออยู่กับนาง ฉีเฉิงเฟิงออกแรงดึงข้อมืออีกฝ่ายจนตัวลอย ซูหวานหว่านตกใจเมื่อร่างกายของตนอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มและรีบตะโกนออกมาอย่างร้อนรน “ฉีเฉิงเฟิง! เจ้าคิดทำอะไรรุ่มร่ามที่นี่!”
ฉีเฉิงเฟิงลอบเลียริมฝีปากของตัวเองและยิ้มออกมา ดวงตาของเขาเปล่งกระกายส่งผลให้ซูหวานหว่านไม่สามารถละสายตาจากฉีเฉิงเฟิงได้
เมื่อเห็นอาการของซูหวานหว่าน ฉีเฉิงเฟิงก็หัวเราะออกมา เด็กสาวรู้สึกตัวจึงปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เห็นดังนั้นฉีเฉิงเฟิงจึงเปลี่ยนเรื่องพลางชี้ไปยังพื้นที่ที่พวกเขาอยู่แล้วถามว่า “ที่นี่คือที่ไหน?”
“เจ้าลองเดาสิ?” ซูหวานหว่านคลี่ยิ้ม พลางครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรดี
ฉีเฉิงเฟิงคนนี้เป็นบุคคลที่ฉลาดปราดเปรื่อง มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งและนางไม่สามารถทำให้เขาเชื่อคำพูดทั้งหมดของนางได้
“ข้าถามก็เพราะว่าข้าไม่รู้” ฉีเฉิงเฟิงชี้ไปที่ทุ่งพริกที่อยู่ไกลออกไป “ข้าไม่เคยเห็นเจ้าปลูกพริกในหมู่บ้าน แต่กลับปลูกเอาไว้ที่นี่แทน เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีที่แห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมือง?”
หากมีสถานที่ที่สวยงามและกว้างใหญ่อยู่ใกล้เมืองนี้ เหตุใดถึงไม่มีใครรู้จักและอยากที่จะยึดครองที่แห่งนี้?
ซูหวานหว่านกระตุกยิ้ม “ไม่ใช่ ที่แห่งนี้ข้าค้นพบเองคนเดียว ไม่มีใครรู้จักที่นี่นอกจากข้า”
หลังเอ่ยจบ ซูหวานหว่านก็เอื้อมมือคล้องคอฉีเฉิงเฟิง เด็กสาวลอบใช้สันมือตีเข้าไปบริเวณท้ายทอยของอีกฝ่ายจนสลบไป
นางเกรงว่าฉีเฉิงเฟิงจะแกล้งเป็นลมเหมือนครั้งก่อน ซูหวานหว่านจึงให้ฉีเฉิงเฟิงกินยาเข้าไปด้วย จากนั้นจึงย้ายเขาออกมาจากมิติฟาร์มมานอนที่เตียงในห้องรับรอง
หลังจากนั้นเด็กสาวก็หยิบเอาเงินออกมาและเข้าไปที่มิติฟาร์มอีกครั้งเพื่อทำอะไรบางอย่าง นางได้เข้าไปทำหน้ากากที่ทำมาจากเงิน
นางใช้เวลาอยู่ในมิติฟาร์มเป็นเวลาหนึ่งวันเพื่อทำหน้ากากอันนี้ขึ้นมา ซึ่งเท่ากับเวลาครึ่งชั่วยามของภายนอกเท่านั้น เมื่อเด็กสาวออกมาก็พบว่าฉีเฉิงเฟิงได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบ ๆ อย่างประหลาดใจจึงถามออกมาว่า “เราอยู่บนภูเขาไม่ใช่หรือ? เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
“ภูเขาอะไร? เมื่อวานเจ้าตกลงจากหน้าผา ข้าใช้เวลาตามหาเจ้าอยู่นานพอสมควรกว่าจะพบ” ซูหวานหว่านพูดออกมา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวล เพราะกลัวว่าฉีเฉิงเฟิงจะไม่เชื่อคำพูดของตน
“เพิ่งจะผ่านมาแค่หนึ่งวันเองงั้นหรือ?” ฉีเฉิงเฟิงลูบหัวตัวเองด้วยความงุนงง ทว่าเขารู้สึกว่าเหมือนว่าเขาอยู่ในป่ามา 5-6 วันแล้ว ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด
ซูหวานหว่านจึงพูดออกมาอีกครั้งว่า “หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ออกไปถามดูซะ”
หลังจากพูดจบ นางก็สวมหน้ากากให้ฉีเฉิงเฟิง และพูดออกมาอย่างเฉยชา “ข้าไม่รู้ว่าสือเป้ยเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ออกไปจากที่นี่หรือยัง เจ้าไม่ควรใช้ชื่อฉีเฉิงเฟิงอีกต่อไป”
“ตกลง” ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าชายหนุ่มยังไม่ได้เดินออกไปแต่อย่างใด เขากลับเดินไปที่ห้องครัว จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ฉีเฉิงเฟิงก็นำอาหารออกมาวางสองสามอย่าง เด็กสาวเห็นว่าอาหารแต่ละจานหน้าตาดูดีไม่น้อย จึงเรียกเสี่ยวเฮ่ยออกมากินข้าวทันที
ฉีเฉิงเฟิงไม่รู้ว่าเสี่ยวเฮ่ยเป็นใคร อีกทั้งซูหวานหว่านก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาและเขาก็ไม่คิดที่จะถาม พวกเขาสามคนต่างนั่งกินอาหารเงียบไร้เสียงพูดคุย ทว่าบรรยากาศการระหว่างมื้ออาหารอบอุ่นมาก
“อร่อยหรือไม่?” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยถาม
“อร่อย” ซูหวานหว่านตอบ แต่ภายในใจของนางกลับรู้สึกขมขื่นเพราะว่าฉีเฉิงเฟิงนั้นใส่เกลือเยอะเกินไปราวกับว่านางกำลังกินผักดองเกลืออยู่ เด็กสาวไม่รู้จะพูดบอกอย่างไรดีเพราะร่างกายของฉีเฉิงเฟิงยังไม่หายดี แต่ดันลุกขึ้นทำอาหารให้นางกิน
นางไม่กินก็คงจะไม่ได้ ซูหวานหว่านฝืนยิ้มออกมาอย่างขมขื่นเพราะนางพ่ายแพ้ต่อสายตาของฉีเฉิงเฟิงที่มองมาอย่างเฝ้ารอคำตอบ นางจะตอบออกไปแบบไม่รักษาน้ำใจได้อย่างไรกัน
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่ด้านนอก “แม่นางซู! ท่านนายอำเภอมาขอเชิญตัวเจ้า”
ซูหวานหว่านจำเสียงนี้ได้ เป็นคนของที่ร้านอาหารเจวียเซ่อของนาง
ทว่าเหตุใดท่านนายอำเภอจึงเรียกนางไปพบ? แล้วเหตุใดถึงมีคนจากร้านอาหารเจวียเซ่อมาตามตัวนาง ซูหวานหว่านชะงักไป นางถือโอกาสนี้วางถ้วยข้าวลงแล้วเดินไปที่ประตูบ้านทันที “ข้ามาแล้ว”
เมื่อเปิดประตูออกไปเพื่อเอ่ยถามว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ชายผู้นั้นก็รีบพูดออกมาทันที “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ข้าเห็นว่าหญิงสาวจากร้านหงเหมินอยู่ที่ห้องโถงที่ทำการอำเภอ! พวกเขากำลังก่อความวุ่นวายและพูดจาใส่ร้ายท่าน! ท่านนายอำเภอจึงส่งคนมาบอกข้าแล้วสั่งให้ข้ามาบอกท่านอีกที”
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปทำงานเถอะ” หลังจากพูดจบซูหวานหว่านก็มุ่งหน้าไปที่ที่ว่าการอำเภอ
เวลานี้มีคนยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่มาก พอเห็นซูหวานหว่านเดินเข้ามาสายตาทุกคนก็จับจ้องมาที่นาง
“ซูหวานหว่านมาแล้ว! ทุกคนโปรดหลีกทางไป! อย่าให้ต้องพูดซ้ำ!” มีคนหนึ่ง ๆ ตะโกนออกมา
“หุบปากเหม็นเน่าของเจ้าซะ!” ซูหวานหว่านจ้องไปยังบุคคลนั้น ทำให้เขาสงบปากสงบคำทันที
สือเป้ยเอ๋อร์เหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย ความตื่นตระหนกพลันวิ่งแล่นเข้ามาในจิตใจ นางจึงถามคนแถวนั้นว่าซูหวานหว่านมาหรือไม่ เมื่อไม่เห็นร่องรอยของซูหวานหว่าน หญิงสาวจึงคิดใช้ประโยชน์จากที่นางไม่อยู่สร้างเรื่องขึ้นมา แต่… เหตุใดซูหวานหว่านถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่!
สือเป้ยเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง และจ้องมองไปที่ชายชราในชุดเสื้อคลุม
นางส่งสัญญาณให้ชายในชุดคลุมยาวกันอย่างลับ ๆ จากนั้นชายชราก็คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับตะโกนออกมาทันที “เป็นนาง! นางได้เอาเครื่องปรุงที่ทำมาจากพริกที่มีพิษมาปรุงอาหาร! ทำให้แขกของเรากินเข้าไปแล้วเสียโฉม!” หลังจากพูดจบเขาก็เริ่มร้องไห้และพูดออกมาว่า “ร้านหงเหมินของเราเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ อีกทั้งพวกเราไม่ได้คิดที่จะกุเรื่องนี้ขึ้นมาเล่น ๆ เพื่อทำลายชื่อเสียงของร้านตนเอง! ท่านนายอำเภอท่านได้โปรดให้ความยุติธรรมแก่พวกเราด้วย!”
สร้างเรื่องขึ้นมาแบบไม่มีมูล!
คิดว่านางจะกลัวอย่างงั้นเหรอ? ดวงตาของซูหวานหว่านเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ครั้นชายชราเห็นสายตาของนางก็แทบจะกลืนน้ำลายตัวเองด้วยความกลัว