เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 - ตอนที่ 17 การแสดง
บทที่ 17 การแสดง
หากเมื่อครู่เป็นเพียงแค่การเล่นละครตบตา ซูต้าเฉียงก็คงจะได้รับรู้แล้วว่าแท้จริงแล้วมารดาคิดต่อเขาอย่างไร หากเป็นเช่นนั้นจริงซูต้าเฉียงก็คงคิดได้สักทีว่าไม่ควรทำดีต่อแม่เฒ่าเจี๋ยไปมากกว่านี้
ซูต้าเฉียงหาเงินได้จากการทำงานอย่างหนัก และแม่เฒ่าเจี๋ยก็ต้องการเงินนั่น ดวงตาของหญิงชราสั่นระริกด้วยความร้อนรน ด้วยหากซูต้าเฉียงตายจริงมันคงจะทำให้นางรู้สึกโล่งใจเสียกว่า!
เมื่อเห็นว่าซูต้าเฉียงลืมตาขึ้น ก็ยังไม่วายหันไปต่อว่าซูต้าเฉียง “ทำไมเจ้าต้องแกล้งตาย! รู้หรือไม่ว่ามันทำให้แม่คนนี้เป็นห่วงมากเพียงใด”
นางเคยเป็นห่วงด้วยหรือว่าซูต้าเฉียงจะเป็นหรือตาย? หญิงชราไม่เคยรับรู้เลย ซูหวานหว่านหัวเราะในใจก่อนจะเอ่ยประชดประชัน “เฮอะ ข้าไม่เคยเห็นท่านเป็นห่วงท่านพ่อมาก่อนเลยว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ที่ผ่านมาท่านไม่เคยแสดงออกเลย ข้าว่าที่ท่านห่วงน่ะคือห่วงเงินที่ท่านพ่อข้าหามาให้ท่านมากกว่า ห่วงว่าใครจะไปเกี่ยวข้าวให้พวกท่าน ห่วงว่าใครจะคอยทำงานหนักแทนคนในตระกูล ห่วงว่าจะไม่มีคนคอยรับใช้ท่านเยี่ยงม้าเยี่ยงวัว! ข้าสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดท่านถึงปฏิบัติกับท่านพ่อข้าเช่นนั้น แต่ตอนนี้ความจริงปรากฏออกมาแล้ว เพราะท่านพ่อข้าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของท่านนั่นเอง เพราะเหตุนี้ท่านถึงปฏิบัติต่อเขาแบบนั้น!”
“ไร้สาระ! ที่ข้าพูดเมื่อครู่ก็เพราะข้าตกใจจึงพูดจาเช่นนั้นออกไป ใครกันที่บอกว่าข้าไม่เป็นห่วงเขา ข้าถึงขนาดตามหมอมารักษาเขาเชียวนะ!” ด้วยความร้อนรนของแม่เฒ่าเจี๋ยทำให้นางโกหกออกมา
“หากตามหมอมาแล้ว ไหนล่ะหมอ หมอที่ท่านเรียกมาอยู่ที่ใด?” ซูหวานหว่านพูดอย่างโกรธจัด
ซูต้าเฉียงจับใบหน้าของแม่เจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นเลือดที่ไหลอาบหลังของภรรยา สีหน้าและดวงตาของเขาก็แปรเปลี่ยนในพลันใด สายตาของซูต้าเฉียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาใช้สายตาเดียวกันนั้นมองไปยังมารดาของตนด้วยความผิดหวัง “ท่านแม่…ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของท่าน แต่ข้าก็ซาบซึ้งในความกรุณาของท่านที่เลี้ยงดูข้ามาจนเติบใหญ่ ตอนนี้ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรจะแยกครอบครัวกันซะที! เงินที่ข้าหามาให้ท่านตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา มันมากพอแล้วสำหรับการตอบแทนบุญคุณ”
“ให้ตายเถอะ! แค่นั้นมันไม่พอหรอก! ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ข้าไม่ยอมให้เจ้าแยกครอบครัวออกไป! หากเจ้ากล้าล่ะก็ข้าจะจัดการครอบครัวพวกเจ้าให้หมดสิ้น” แม่เฒ่าเจี๋ยตะโกนอย่างไร้สติ
ลองมาคิดดูแล้ว หากว่าไม่ต้องส่งเงินที่ได้มาให้กับมารดา เขาก็คงไม่ต้องมาอดอยากหิวโซอยู่เช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เขาจะไม่กลัวอะไรอีกแล้ว! ซูต้าเฉียงจะต่อต้านแม่ตนเองเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้…
ซูต้าเฉียงคิดอยู่สักพักพลางส่ายหัวด้วยความลังเล เขาหันกลับไปมองคราบเลือดที่แห้งกรังบนหลังของภรรยาอีกครั้ง และเอ่ยออกมา “ข้าไม่สน ข้าจะแยกครอบครัว….”
“ว่าอย่างไรนะ!” แม่เฒ่าเจี๋ยหันไปมองฮวงชุ่นเจินและถามออกมาเสียงดัง “เมื่อครู่เขาว่าอย่างไรนะ!”
แม่เฒ่าเจี๋ยคิดว่าซูต้าเฉียงพูดผิด แต่ฮวงชุ่นเจินกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ครอบครัวของซูต้าเฉียงจะแยกตัวจากไป เพราะนั่นเท่ากับว่าที่ดินในส่วนของครอบครัวซูต้าเฉียงจะเป็นตกเป็นของครอบครัวนาง ฮวงชุ่นเจินสังเกตว่าผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูมากขึ้นแล้วจึงถือโอกาสตะโกนออกไป “เขาต้องการแยกครอบครัว เต็มใจยอมออกไปและพาครอบครัวออกไปด้วย และจะไม่เอาสมบัติของตระกูลหรือแม้กระทั่งข้าวสักเม็ดไปด้วย!”
หลังจากที่พวกเขาได้แยกตัวออกไปแล้ว ซูต้าเฉียงผู้เป็นลูกชายจะส่งเงินกลับมาให้แม่ของเขาบ้างหรือไม่ เรื่องนั้นไม่อาจคาดเดาได้… และนั่นก็ทำให้แม่เฒ่าเจี๋ยรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก
ซูหวานหว่านส่งสายตามีเลศนัยไปยังแม่เจิ้น ไม่กี่วินาที่ต่อมาแม่เจิ้นก็ล้มตัวลงข้าง ๆ ซูต้าเฉียง ทำให้เขาตกใจมากรีบเข้าไปประคองภรรยาของตนขึ้นมาอย่างเป็นห่วง ส่วนซูหวานหว่านก็รีบวิ่งเข้ามาสำรวจลมหายใจของผู้เป็นแม่ก่อนจะอ้าปากกว้าง
“ท่านแม่ไม่หายใจแล้ว!” นางเหลือบตามองไปหลังของแม่ที่เต็มไปด้วยเลือดอย่างตื่นตระหนก “ทำไมหลังของท่านแม่ถึงมีเลือดไหลออกมามากมายเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะถูกท่านย่าทุบตีแน่ ๆ!” นางทำเหมือนเพิ่งรับรู้เรื่องพวกนี้และแสดงอาการตกใจออกมา “อะไรกัน! ท่านย่ากะเอาให้ถึงตายเลยหรือไง!”
“ตายไปได้ก็ดี!” แม่เจิ้นก็แค่โชคร้ายเกินไป นางไม่เคยเห็นหัวสะใภ้สามมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เพราะสะใภ้สามต่อต้านนาง และยังยุยงให้ลูกชายของนางแข็งข้อกับตน ตายเสียได้ก็ดี!
ทว่าจะทำอย่างไรให้ผู้คนที่มุงมองดูอยู่ไม่รู้ว่าแม่เจิ้นถูกนางทุบตีจนตาย หากข่าวนี้แพร่กระจายไปจะทำอย่างไร!
แม่เฒ่าเจี๋ยกังวลจนคิดไม่ตก
“ท่านแม่ไม่รู้สึกอะไรกับการตายของลูกสะใภ้เลยหรือ!” ซูต้าเฉียงกุมมืออันแข็งทื่อของภรรยา พร้อมถอนหายใจอย่างจนปัญญาราวกำลังตัดสินใจบางอย่าง “ท่านแม่ ข้าขอท่านเพียง 2 ตำลึง 2 ตำลึงเท่านั้น… ข้าจะพาภรรยาของข้าไปหาหมอ”
“ว่าอย่างไรนะ? เจ้าจะแยกครอบครัวออกไปแล้วยังมีหน้ามาของเงินจากข้าอีกงั้นเหรอ! ฝันไปเถอะ! ไสหัวไปได้แล้ว!” หลังพูดจบแม่เฒ่าเจี๋ยก็รู้สึกเสียดาย เพราะหากต้องแยกกันจริง ๆ นางจะเสียผลประโยชน์มากกว่านี้อีกน่ะสิ!
ชีวิตคนคนนึงกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทว่าท่านแม่ของเขาไม่แม้แต่จะให้เงินเขาอย่างงั้นหรือ?
“หากว่ามีแม่เช่นนี้ข้าต้องตายแน่ ๆ! ขนาดลูกชายป่วยจะตายอยู่แล้วยังไม่ให้ค่ารักษาสักตำลึง นับประสาอะไรกับแม่ของหลานเล่า!”
“ใช่ ๆ ข้าเห็นด้วย”
“…”
เสียงพูดคุยของพวกชาวบ้านเริ่มดังขึ้น ถึงแม้จะรู้สึกว่าการแยกครอบครัวของซูต้าเฉียงจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรก็ตาม แต่ก็ย่อมเป็นเรื่องที่สามารถให้อภัยได้
จิตใจของซูต้าเฉียงเย็นเฉียบ เขาไม่อยากกลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่แรก ไม่อยากหันกลับไปมองสายตาของมารดา ดังนั้นจึงกล่าวว่า “หากเช่นนั้นแล้ว ก็แยกกันไปให้จบ ๆ เถอะ!!”
เมื่อฮวงชุ่นเจินได้ยินเช่นนั้น ในใจของนางก็เบิกบานและหัวเราะอย่างยินดีให้กับโชคชะตาที่กำลังเข้าทางตน ทว่าใบหน้าที่แสดงออกมานั้นกลับยังคงแสร้งทำเป็นกังวลอยู่ “ท่านแม่! แม้แม่เจิ้นจะไม่ได้รับใช้ท่านเหมือนอย่างที่ควร แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับนังซูหวานหว่านอีก เพราะพี่สามเขาอ่อนแอไร้อำนาจเกินไป ดังนั้นมิสู่ปล่อยให้ไป ด้วยหากไม่ ข้าเกรงว่าหลังจากนี้เราจะพลอยถูกพวกเขากดขี่ไปด้วย!”
ถ้าไม่ใช่ในสถานการณ์นี้ สิ่งที่ฮวงชุ่นเจินได้กล่าวออกไปคงจะทำให้แม่เฒ่าเจี๋ยยอมตกลงให้พวกเขาแยกตัวออกไป ทว่าตอนนี้ไม่ใช่… แม่เฒ่าเจี๋ยที่ชอบกลั่นแกล้งครอบครัวของซูต้าเฉียงให้ตกเป็นรองอยู่เสมอ หากครอบครัวของซูต้าเฉียงแยกตัวออกไปแล้วนางจะใช้งานใครได้อีก? …ดังนั้นการให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อจึงเป็นเรื่องที่ดีสุดแล้ว
“จะไม่มีการแยกครอบครัวอะไรทั้งนั้น!” แม่เฒ่าเจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมีเหตุผล “พวกเจ้าจะแยกออกไปอยู่กันเองเพื่ออะไร? ถึงอย่างไรข้าก็ต้องยังเลี้ยงดูพวกเจ้าอยู่ดี นังแม่เจิ้นที่ป่วยก็เอามันไปห่อเสื่อเก่า ๆ หลังบ้านแล้วโยนทิ้ง ๆ ไปซะ ส่วนนังซูหวานหว่านก็เอามันไปขายถูก ๆ ค่าตัวถูก ๆ ของมันคงจะมาช่วยสมทบค่าสินสอดของหลานชายข้าได้!”
ซูหวานหว่านชักสงสัยขึ้นมาเสียแล้ว ว่าคนคนหนึ่งจะสามารถหน้าด้านได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ทว่าก่อนที่นางจะเอ่ยขัดแม่เฒ่าเจี๋ยออกไป หัวหน้าหมู่บ้านก็เคาะไม้เท้าลงกับพื้น และพูดออกมาอย่างทนไม่ได้ “เจ้าไม่เกรงกลัวกฎเกณฑ์บ้างเลยหรือแม่เฒ่าเจี๋ย!”
อะไรกัน… ท่านหัวหน้าหมู่บ้านกล้าใช้กฎเกณฑ์ของหมู่บ้านกับคนอย่างนางเหรอ? เขาจะใช้สิ่งที่น่าอับอายแบบนั้นกับนางไม่ได้นะ! “ข้าไม่ผิดนะ!!” แม่เฒ่าเจี๋ยตอบอย่างร้อนรน
หัวหน้าหมู่บ้านหยิบแผ่นกระดาษหนังสีเหลืองออกจากแขนเสื้อขึ้นมากางและอ่านมัน “แม่นางเจี๋ย แต่งงานเข้าหมู่บ้านฮวงตอนอายุ 16 เมื่อนางอายุ 17 น้องชายของสามีเจ้าได้เสียชีวิตลง หลังจากนั้นเจ้าก็ทำการขับไล่ครอบครัวของเขาออกไป ก่อนจะยึดครองที่ดินและทรัพย์สมบัติส่วนของน้องสามีเอาไว้ โดยการบังคับขับไล่หลิวเฝยเฟิงที่เป็นภรรยาม่ายของน้องชายสามีให้ออกจากตระกูลอย่างไม่ใยดี ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรง ถ้าหากหลิวเฝยเฟิงไม่เต็มใจจะจากไปตั้งแต่แรกและเอาผิดกับเจ้า เจ้าคิดว่าจะยังสามารถอยู่ในหมู่บ้านนี้ได้อีกงั้นหรือ?” ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านเงียบไปชั่วครู่และหันมาพูดด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้นพร้อมทั้งจ้องไปยังแม่เฒ่าเจี๋ยตรง ๆ “อายุก็แก่ปูนนี้แล้ว ยังจะมาสร้างปัญหาอยู่อีกหรือ? หากเจ้ายังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้างแล้วล่ะก็ เจ้าคงจะปฏิบัติกับลูกสะใภ้ของเจ้าดีกว่านี้แล้ว! ดูสิขนาดลูกชายของเจ้าเอง เจ้ายังปฏิบัติกับเขาเยี่ยงหมูกับเยี่ยงสุนัข เจ้าคิดว่ามันสมควรแล้วหรือกับคำว่าผู้อาวุโสที่อยากจะให้ใครต่อใครเขานับถือตัวเจ้า!!”
หน้าของแม่เฒ่าเจี๋ยหมองลง นางทั้งโกรธและอับอายกับความจริงที่หัวหน้าหมู่บ้านเพิ่งพูดออกมา ความจริงที่นางปิดบังมาหลายสิบปี… ซูหวานหว่านมองหน้าแม่เฒ่าเจี๋ยที่หมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัดพลางนึกสมเพชในใจ นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแม่เฒ่าเจี๋ยเคยทำเรื่องเช่นนี้!
“ข้าไม่เคยทำอะไรแบบนั้นนะ!!” ใบหน้าของแม่เฒ่าเจี๋ยแดงก่ำพล่างกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ถ้านางยอมรับในสิ่งที่หัวหน้าหมู่บ้านพูด นางก็คงไม่มีหน้าจะเดินไปไหนในหมู่บ้านนี้แน่ ๆ ที่ผ่านมานางเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวมานานหลายปี พยายามไม่พูดมันอีก ผู้คนในหมู่บ้านเองต่างก็ลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปแล้ว ทว่าสุดท้าย… ผู้คนก็กลับมาพูดถึงเรื่องนี้กันอีกครั้งเพราะหัวหน้าหมู่บ้านแท้ ๆ เลย!
“แม่เฒ่าเจี๋ย… เจ้าทำหรือไม่เจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจของเจ้า หากเจ้ายืนยันว่าเจ้าไม่ได้ทำ อย่างนั้นเจ้ากล้าสาบานต่อสวรรค์ไหมล่ะ?” ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านจับจ้องไปยังแม่เฒ่าเจี๋ยอย่างรู้สึกไม่ค่อยพอใจ เขารู้สึกว่าหญิงชราคนนี้ไม่เพียงแต่หน้าด้านเท่านั้น แต่ยังไร้ยางอายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อีก!!!
“ไม่มีเรื่องอะไรที่ข้าไม่กล้าลงมือทำหรอก!!” แม่เฒ่าเจี๋ยเริ่มทำตัวไม่ถูก มือของนางสั่นเทา ปากที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อแก้ตัวก็ขยับไปมาอย่างร้อนรนโดยไร้เสียง
ในเมื่อความจริงถูกเผยออกมาแล้ว…. ท่านหัวหน้าหมู่บ้านคิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา
เสียงของทุก ๆ คนที่พูดคุยไปในทางเดียวกันเริ่มดังขึ้น และเมื่อมีชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนออกมา จึงมีคนอื่น ๆ ที่คิดเห็นเช่นเดียวกันตะโกนสมทบ
“คนอย่างเจ้า คนที่ทารุณลูกชายและลูกสะใภ้อย่างไร้ปราณี ทั้งยังขับไล่น้องสะใภ้ออกจากบ้าน!! ไม่สมควรที่จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของเรา!”
“ไปเสียเถอะ คนอย่างเจ้าอยู่ไปก็มีแต่จะทำให้หมู่บ้านของเราเสื่อมเสียชื่อเสียง และทำลายบรรยากาศอันสงบสุขของที่นี่! ผู้ชายที่ไหนจะกล้าแต่งงานกับหญิงสาวของหมู่บ้านแห่งนี้หากมีคนเช่นเจ้าอยู่ด้วย!!”
“…”
เสียงโห่ร้องตะโกนขับไล่แม่เฒ่าเจี๋ยดังขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งหญิงชราก็ทำได้เพียงยืนตัวสั่นอย่างทำอะไรไม่ถูก นางทั้งโกรธทั้งอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป… แล้วนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ!!!!