เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 - ตอนที่ 2 การแสดงเพื่อหันเหความสนใจ
บทที่ 2 การแสดงเพื่อหันเหความสนใจ
ซูหวานหว่านเดินเข้าไปหาเหมี่ยวอี้เซิง นางจ้องเขาในขณะที่ค่อย ๆ ก้าวไปด้วย บรรยากาศเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตัวของนางทำให้เขารู้สึกขนลุกชัน
น่ากลัว…เขาคิด
ซูหวานหว่านรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวของอีกฝ่าย นางเห็นดังนั้นจึงถอยหลังออกมาสองก้าวเพราะเกรงว่าหากอยู่ใกล้เกินไปคนตรงหน้าอาจจะกลัวจนสลบไปเสียก่อน
หากเป็นแบบนั้นนางก็จะด่าเขาไม่ได้น่ะสิ…
“นี่เจ้าจะทำอะไรน่ะ!?” เหมี่ยวอี้เซิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เดิมที…หากสุนัขในปากของเจ้าหัดสงบปากสงบคำลงบ้าง ข้าก็คงไม่ต้องลำบากมาเปิดโปงกำพืดของเจ้าหรอก แต่นี่เจ้าดันปล่อยให้สุนัขในปากของเจ้าไล่เห่าไปทั่วแบบนี้ รู้หรือไม่ว่ามันรบกวนคนอื่น ทั้งยังทำให้บรรยากาศดี ๆ พังไปเสียหมด”
ดวงตาคู่งามของซูหวานหว่านไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของอารมณ์ใด ๆ นางพูดออกมาทีละคำด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้ากล้าเรียกข้าว่าสุนัขอย่างนั้นรึ!” เหมี่ยวอี้เซิงโกรธจนหน้าสั่น เขากำมือแน่น บังอาจ!! นังบ้านนอกนี่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!
“ใช่! ข้าเรียกเจ้าว่าสุนัข และเจ้าก็เป็นสุนัขจริง ๆ นั่นแหละ ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนสุนัขเห่า คิดว่าตัวเองสูงส่งนักหรือไง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าเป็นคนแบบไหน…” หญิงสาวทิ้งช่วงไม่พูดต่อ
“บะ…แบบไหนที่เจ้าว่าหมายถึงอะไร!” เหมี่ยวอี้เซิงตะโกนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เขาได้แต่ภาวนาขอให้นางไม่พูดในสิ่งที่เขาคิด
“พวกตัดแขนเสื้อ[1]…” เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อซูหวานหว่านพูดประโยคนั้นออกมา
[1] 断袖 duan4 xiu4 ตัดแขนเสื้อ ซึ่งมีความหมายเปรียบเปรยถึงคนรักร่วมเพศ
“เรื่องที่เจ้าแอบปลูกดอกไม้ไว้ที่หลังเรือน[2] ข้าไม่ถือสาหรอกนะ แต่นี่เจ้ากลับเอาตัวเองไปขายให้กับตระกูลที่ร่ำรวยกว่าอย่างตระกูลซื่อ เหอะ! ขายตัวเองแลกกับทรัพย์สมบัติ ศักดิ์ศรีของเจ้ามันก็เป็นแค่เศษผ้าเท่านั้นแหละ ช่างน่าสมเพช!”
[2] 后-庭开花 hou4 ting kai1 hua1 เพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง
“แค่คิดว่าเคยหมั้นกับคนแบบเจ้า ข้าก็พะอืดพะอมเต็มทน หากเจ้าไม่มาขอถอนหมั้นในวันนี้ข้านี่แหละจะเป็นคนขอถอนหมั้นเอง สวะอย่างเจ้าน่ะมีแต่จะทำให้ชีวิตข้าตกต่ำ! รีบ ๆ ไสหัวไปซะ!”
เสียงก่นด่าดังราวกับเสียงฟ้าร้องก้องอยู่ในหูของเหมี่ยวอี้เซิง เขาได้แต่อ้าปากค้างเนื้อตัวสั่นเทาราวกับเห็นผี ซูหวานหว่านรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน…
ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มส่งเสียงเอะอะและมองไปที่เหมี่ยวอี้เซิงราวกับเขาเป็นสัตว์ประหลาด คนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนแรก บัดนี้ความข้องใจของพวกเขาได้กระจ่างชัดแล้ว
เพราะแบบนี้สินะ เหมี่ยวอี้เซิงถึงได้มาขอถอนหมั้นจากซูหวานหว่าน
แม่สื่อฉืออ้าปากค้างด้วยความตะลึงงันเช่นกัน เนื่องจากนางเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ความจริงเรื่องนี้…เรื่องที่เหมี่ยวอี้เซิงเป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ…
“เร็วสิ! รีบไสหัวออกไปได้แล้ว อย่ามาทำให้ที่นี่แปดเปื้อนไปมากกว่านี้เลย” ซูหวานหว่านพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นนางก็หันไปหาแม่และพี่น้องของนางก่อนจะพากันออกไปจากตรงนั้น
ไล่หลังซูหวานหว่าน เหมี่ยวอี้เซิงที่เพิ่งตั้งสติได้ก็ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะนังตัวดี!! ข้าบอกให้กลับมาไง!!!” แต่ซูหวานหว่านหาได้สนใจเสียงตะโกนของเขาไม่ นางเพียงแต่คิดว่าเมื่อไหร่เหมี่ยวอี้เซิงจะสั่งสอนสุนัขในปากของเขาให้รู้จักหยุดเห่าเสียที น่ารำคาญเป็นบ้า!
แม่สื่อฉือที่มีสติกว่าเหมี่ยวอี้เซิงจึงเกลี้ยกล่อมเขาให้ใจเย็นลง นางพูดออกมาด้วยเสียงต่ำ ๆ ที่ได้ยินเพียงแค่สองคน “อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย เรารีบกลับกันเถอะ ดูสิคนมองใหญ่แล้ว” เหมี่ยวอี้เซิงหันไปมองรอบข้างด้วยสายแข็งกร้าวก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดออกมาแล้วเดินไปตามแรงดึงของแม่สื่อฉือ
ด้านซูหวานหว่าน นางและครอบครัวเดินกลับเข้ามาที่บ้านของตน เอ่อ อันที่จริง…ซูหวานหว่านก็ไม่แน่ใจว่าที่ที่ตนอยู่สามารถเรียกว่าบ้านได้หรือไม่ เนื่องจากมันเป็นเพียงแค่ห้องเล็ก ๆ สองห้องติดกันซึ่งอยู่ในท้ายบ้านหลังเก่าของตระกูลซูที่ทั้งเก่า ทั้งโทรม แถมมีกลิ่นเหม็นสาบอีก
ครอบครัวของนางทนอยู่ที่นี่กันได้ยังไงนะ…?
ด้านหน้าบ้านตระกูลซู
ผู้คนมากมายที่มาออกันอยู่หน้าลานบ้านตระกูลซูไม่ได้แยกย้ายกันกลับไปในทันที พวกเขาต่างก็จับกลุ่มพูดคุยและนินทากันอย่างสนุกปาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ซูหวานหว่านถูกถอนหมั้น หรือแม้กระทั่งเรื่องราวฉาวโฉ่ที่ซูหวานหว่านได้เปิดโปงไปเมื่อครู่
“ข้าก็บอกไม่ได้หรอกนะว่าลูกชายคนเล็กของตระกูลเหมี่ยวเป็นคนดีหรือไม่”
“เขาเป็นคนดี เห็นได้ชัดเลยว่าเขาน่ะเป็นคนดีแน่นอน ฮ่าฮ่า เห็นเขาบอกว่าจะแต่งงานกับลูกสาวของซื่อต้าฟูนี่ เป็นคู่ที่เหมาะสมกันเสียจริงน้าาา”
“ได้ยินมาว่าลูกสาวของตระกูลซื่อที่เขาจะแต่งงานด้วยคือ ซื่อหนู[3]…”
[3] 石女 shi2 nu3 ผู้หญิงที่มีเนื้อเยื่อในช่องคลอดไม่สมบูรณ์โดยกำเนิด
“ฮ่าฮ่า คนนึงไม่อยากมีสามี อีกคนก็ไม่อยากมีภรรยา ข้าถึงได้บอกยังไงล่ะว่าคู่นี้น่ะเหมาะสมกันสุด ๆ ไปเลย!”
โดยปกติแล้วในหมู่บ้านบนภูเขาเล็ก ๆ ในชนบทเช่นนี้ไม่ค่อยจะมีประเด็นร้อนให้ถกเถียงกันเท่าไรนัก แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลซูได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของคนที่นี่ จึงมีคนพากันพูดถึงมากมาย
ไม่มีใครสนใจหรอกว่าเรื่องที่ซูหวานหว่านพูดออกมานั้นจริงเท็จแค่ไหนและมีหลักฐานหรือไม่ ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ช่าง พวกเขาก็แค่ต้องการเรื่องสนุกไว้คอยนินทาคนอื่นเท่านั้นแหละ ยิ่งความเบื่อหน่ายของพวกเขามีมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะใส่ไฟและนินทาไปมากเท่านั้น
ซูหวานหว่านพาแม่และพี่น้องของนางกลับเข้าห้องเพื่อหลีกหนีสถานการณ์วุ่นวายด้านนอก อีกทั้งตอนนี้นางก็มีเรื่องสำคัญจะพูดกับแม่ของนางด้วย
สีหน้าแม่ของนางนั้นยังคงซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“หวานหว่านที่เจ้าพูดมันเป็นเรื่อง…จริงงั้นรึ?” พี่ใหญ่ของซูหวานหว่าน ‘ซูจิ่นเฉียง’ ที่มีใบหน้าไม่สู้ดีนักเอ่ยถามนางด้วยเสียงสั่นเครือ
“เรื่องจริง…ท่านพี่” หญิงสาวพยักหน้าให้กับพี่ชายของตน
“ไอ้สารเลวนั่น! ท่านพ่อไม่น่าเข้ามาห้ามข้าเลย ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็…ข้าเอามันตายแน่!!” ซูจิ่นเฉียงพูดพร้อมเอามือต่อยกำแพงด้วยความโมโห เขาต่อยมันอย่างแรงจนมือของเขาอาบไปด้วยเลือด
“ท่านพี่! ทำไมท่านถึงทำแบบนี้กัน” ซูหวานหว่านปรี่เข้าไปห้ามพี่ชายไม่ให้เขาทำร้ายตัวเองอีก นางนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดของเขาอย่างแผ่วเบา
“ท่านพี่ ท่านเจ็บมากไหม?” ซูหวานหว่านถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“หวานหว่าน…ข้า…ขอโทษ” ซูจิ่นเฉียงเอ่ยออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกผิด
‘เจิ้นซิวซิว’ ที่มองเห็นการกระทำของลูกชายตัวเองได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ และเมื่อนางเห็นเลือดที่ไหลอาบมือของลูกชาย น้ำตาก็พลันไหลอาบแก้มของผู้เป็นแม่
“โถ่…ท่านแม่ ท่านเป็นคนสอนพวกเราเองไม่ใช่หรือว่าอย่าเสียน้ำตาให้อะไรง่าย ๆ …แล้วเหตุใดท่านถึงได้ร้องไห้ออกมาอย่างนี้ล่ะ?” ซูหวานหว่านหันไปพูดกับแม่ในขณะที่ทำแผลให้พี่ชายอยู่
นางทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้เลย…ไหนจะต้องกล่อมให้พี่ชายใจเย็น อีกทั้งจะต้องปลอบแม่ที่ร้องไห้อีก ตอนนี้ตัวนางเองก็เหนื่อยล้าเต็มทนแล้ว
ถึงจะเหนื่อยล้าเพียงใด ทว่านางกลับรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะครอบครัวที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้ พวกเขามีความรักและเป็นห่วงนางเสมือนดั่งที่คนในครอบครัวควรจะมีให้แก่กัน ต้องขอบคุณสวรรค์ที่ประทานพรให้นางมีครอบครัวดี ๆ แบบนี้ในชีวิตที่สองของนาง…
ใช่แล้วล่ะ…ชีวิตที่สอง…
นางไม่ใช่คนในโลกนี้…อันที่จริงซูหวานหว่านเป็นเพียงดวงวิญญาณดวงหนึ่งหรือที่เรียกกันว่า ‘ผู้มาเยือน’ นางล่องลอยมาจากอีกโลกแล้วบังเอิญได้เข้ามาอยู่ในร่างของซูหวานหว่านบนโลกแห่งนี้
นางมาจากดวงดาวแห่งหายนะ ดวงดาว x หญิงสาวเสียชีวิตในขณะที่กำลังต่อสู้อยู่กับศัตรู นับว่าเป็นโชคดีที่วิญญาณของนางยังไม่เสื่อมสลายไป วิญญาณของนางล่องลอยมาที่โลกแห่งนี้พร้อมกับได้เกิดใหม่ในร่างของเด็กผู้หญิงอายุ 13 ปี ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบททางตอนใต้ในสมัยของราชวงศ์เซี่ย นามว่า ซูหวานหว่าน
เป็นระยะเวลาเกือบสัปดาห์แล้วที่นางมาอยู่ที่โลกใหม่แห่งนี้ ครอบครัวที่นี่แตกต่างกับครอบครัวเดิมของนางอย่างสิ้นเชิง นางรักครอบครัวปัจจุบันของตนมาก ยกเว้นก็แต่ผู้เป็นพ่อที่ซื่อสัตย์ อ่อนแอ และกตัญญูมากจนเกินพอดี
นอกจากครอบครัวของนางที่เป็นครอบครัวลำดับที่สามของตระกลูซูแล้ว ยังมีครอบครัวอื่น ๆ ด้วยอย่าง…ครอบครัวของท่านย่าผู้ขี้งก ครอบครัวของท่านลุงลำดับที่หนึ่งผู้ขี้เหนียว และครอบครัวของท่านลุงที่สอง อ่า…คงหมดแค่นี้แหละ…มั้ง
นางเพิ่งมาอยู่ไม่ถึงสัปดาห์ รู้เท่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้วล่ะหน่า…
“ท่านพี่ ๆ ท่านพี่สุดยอดไปเลย! ท่านรู้ไหมว่าไอ้คนสกุลเหมี่ยวอะไรนั่นที่ถอนหมั้นท่านไปน่ะ ถูกด่าว่าด้วยล่ะ ละคำนั้นที่พี่ใช้เรียกเขาว่าอะไรนะ …. อ่อ ไอ้คนสปีชีส์ต่ำตม! ข้าชอบคำนี้มาก แม้จะไม่รู้ความหมายก็เถอะ! แต่ท่านพี่ด่าเขาได้ถูกใจข้ามาก”
“ชายคนนั้นน่ะเขาต่อว่าแต่ท่านพ่อกับท่านแม่ แต่เขาไม่เห็นจะต่อว่าท่านย่าแล้วก็ท่านลุงเลย…เฮอะ! หงุดหงิดเป็นบ้า แต่ว่านะท่านพี่ แค่คำพูดไม่กี่คำของท่านก็ทำให้คนสกุลเหมี่ยวรู้สึกไม่สบอารมณ์และขายหน้าได้มากพอแล้ว! ท่านเก่งสุด ๆ ไปเลย!” เสียงใสของน้องชายคนเล็กผู้ที่วิ่งมาเรียกหญิงสาวในตอนแรก ตอนนี้เขากำลังมองไปยังพี่สาวของตนแล้วเอ่ยชื่นชมนางด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ขนาดน้องสาวที่ขี้กลัวอย่างซูเสี่ยวเหยี่ยนก็พยักหน้ารัว ๆ อย่างเห็นด้วย
“เขาจะเป็นใครก็ช่างเถอะ เราอย่าไปพูดถึงคนแบบนั้นกันดีกว่า เอาล่ะ… ท่านแม่…เมื่อท่านพ่อกลับมาแล้ว เรามาพูดถึงเรื่องการแยกครอบครัวกันดีกว่า” ซูหวานหว่านพูดพลางอมยิ้มและเอียงคอมองไปยังครอบครัวของตน
ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะที่จะพูดเรื่องนี้ที่สุดแล้ว!
ในช่วงเวลาบนโลกแห่งนี้ เป็นช่วงเวลาที่คล้ายกันของดวงดาวสีฟ้าดวงหนึ่งในยุคของราชวงศ์ถัง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพรสวรรค์ของนางหรือแม้กระทั่งพรจากฟากฟ้า แค่การเผชิญหน้ากับทุกสิ่งเป็นสิ่งที่เหมาะที่สุดในตอนนี้ ครอบครัวของนางจะต้องมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายกว่านี้แน่ ๆ!
และถ้าหากพวกเราแยกครอบครัวออกมาได้…
นางก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับใครอีก!!
“แยกครอบครัวกันงั้นรึ?” ดวงตาของผู้เป็นมารดาพลันเปล่งประกายขึ้น ทว่าทันใดนั้นก็กลับมืดมนลงเช่นเดิม “พ่อของเจ้าต้องไม่ยอมเป็นแน่….”
“อ่า…งั้นสินะ? หากเป็นเช่นนั้นพวกเราก็คงไม่ต้องการเขาแล้วล่ะ ยังไงซะที่ผ่านมาพวกเราทั้งห้าก็อยู่ตามลำพังมาตลอดนี่นา!” ซูหวานหว่านพูดพร้อมกับบีบมือของตนแน่น คนแบบพ่อของนางน่ะ นางไม่ต้องการหรอก!
ที่นางต้องทำก็แค่บอกกล่าวให้เขารับรู้เท่านั้น ส่วนเขาจะเห็นด้วยหรือไม่นางไม่สนใจหรอก
“ไร้สาระน่า” หัวใจของผู้เป็นแม่สั่นสะท้าน แววตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่เข้าใจในตัวลูกสาวของนาง ยิ่งเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้นางยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ…เมื่อไหร่กัน ที่นางเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้!
อา… ช่างคล้ายกันเหลือเกิน…
“มันไม่ไร้สาระหรอกท่านแม่! เราต้องแยกครอบครัว! ที่ผ่านมาคนจากบ้านใหญ่ปฏิบัติกับพวกเราเยี่ยงหมูเยี่ยงสุนัขมามากพอแล้ว ไหนจะพวกผู้ชายที่อดทนให้พวกเขาใช้งานหนักอย่างกับม้ากับลา เราทนมาขนาดนั้นแล้ว แต่ดูสิท่านแม่! มันมีอะไรดีขึ้นไหม?”
“ฝีมือเย็บปักถักร้อยของท่านไม่เป็นสองรองใคร ท่านสามารถหาเงินมากมายได้จากตรงนั้น อีกทั้งพี่ใหญ่ของเราเองก็ฉลาดหลักแหลมมาก ๆ แต่สุดท้ายทั้งตัวข้าและน้อง ๆ รวมถึงพวกท่านก็ยังคงเป็นทาสของบ้านรองและบ้านใหญ่อยู่ดี”
ซูหวานหว่านพูดออกมาช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เจิ้นซิวซิวผู้เป็นแม่จ้องมองการกระทำและคำพูดอันแน่วแน่ของลูกสาว น้ำตาก็พลันจะไหลออกมาเสียให้ได้
บรรยากาศภายในห้องตึงเครียด ทุกคนปิดปากเงียบ…เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ
ในที่สุดแม่เจิ้นก็ตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกมา “หวานหว่าน บอกแม่ทีว่าเจ้ารู้เรื่องของเจ้าหนุ่มจากตระกูลเหมี่ยวคนนั้นได้อย่างไร?”
“ท่านแม่! ทำไมอยู่ ๆ ถึงเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ล่ะ!” ซูหวานหว่านเกิดอาการฉุนนิด ๆ ไม่คิดว่าแม่ของตนจะเฉไฉแล้วเปลี่ยนเรื่องเรื่องเสียได้ นี่นางจริงจังอยู่นะ!
“หวานหว่าน ตอบแม่มา…” แม่เจิ้นมองลูกสาวด้วยสีหน้าจริงจัง ซูหวานหว่านเม้มปากก่อนจะบอกออกไปแอบอ้อมแอ้ม
“อ่าา…อ้ะ! ใช่ ๆ มีคนเอาเรื่องนี้มาบอกข้าตอนที่ข้ากำลังเดินกลับบ้านน่ะ” ซูหวานหว่านพูดพลางเกาหัว “ข้าว่าเรากลับมาคุยเรื่องแยกครอบครัวกันดีกว่านะ แหะ ๆ” ซูหวานหว่านวกกลับมาพูดเรื่องเดิมพลางหัวเราะแห้ง ๆ
“คนที่ว่าน่ะใคร…ใครกันที่บอกเจ้า? แล้วบอกแม่ได้หรือไม่ว่าเจ้าไปเอาของหมั้นมาคืนคุณชายเหมี่ยวได้อย่างไร?”
แม่เจิ้นไม่เชื่อในสิ่งที่ลูกสาวบอก เพราะทั้งท่าทางและน้ำเสียงของซูหวานหว่านที่แสดงออกมาฟ้องว่านางกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง ผู้เป็นแม่จึงคาดคั้นลูกสาวของตนต่อ
ซูหวานหว่านได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ….
ซวยซะแล้วสิ…