เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 - ตอนที่ 264 พบเจอศัตรูหัวใจอีกครั้ง
ตอนที่ 264 พบเจอศัตรูหัวใจอีกครั้ง
ทุกคนต่างมองดูอย่างกังวลใจ ซูหวานหว่านหยุดการเคลื่อนไหว ทำให้พ่อบ้านหวังวิ่งไล่ตามขึ้นมาทัน เขาหอบหายใจพลางเอ่ยว่า “คุณหนูจ้าว ฮูหยินของพวกเรารอท่านมานานแล้ว! เทียบเชิญอันนี้ก็เป็นฮูหยินของเราสั่งให้คนรับใช้นำไปส่งให้ท่าน! ท่านรีบเข้าไปเถิด ฮูหยินของเราเตรียมน้ำอุ่น ๆ ไว้ให้ท่านล้างมือ และยังมีน้ำแกงอีกด้วย!”
“อืม” ซูหวานหว่านพยักหน้า หันหลังมุ่งหน้ากลับไปทางจวนอัครเสนาบดี
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเพียงก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าว พ่อบ้านหวังก็หัวเราะออกมา “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคุณใหญ่ตระกูลจ้าวจริงงั้นรึ? ไม่ใช่ว่าข้าพูดไปแล้วหรอกหรือ ยังจะคิดว่าเป็นเรื่องจริงอยู่อีก! ตระกูลจ้าวเป็นถึงแหล่งค้าเกลือใหญ่! มีที่ไหนจะแต่งกายดูซ่อมซ่อเช่นเจ้ากัน!”
พูดคนที่มองดูสถานการณ์อยู่ต่างรับรู้ได้ว่าพ่อหวังเพียงแค่แสร้งทำเป็นคิดว่าซูหวานหว่านคือคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าว และเมื่อนางตอบรับเขาก็จะหักหน้านาง การกระทำเช่นนี้จะทำให้ซูหวานหว่านอับอายขายขี้หน้าได้!
เคล็ดลับนี้ ยอดเยี่ยมมาก!
เมื่อทุกคนเห็นว่านางไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าว ฝีปากของเขาพวกก็เปลี่ยนไปในบัดดล “พ่อบ้านหวังเมื่อครู่ข้าเกือบจะเชื่อเสียสนิท! แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว ฮูหยินจ้าวมีเงินมากมาย จะให้หญิงสาวแต่งโทรมเช่นนี้มาได้อย่างไร?”
“ถูกต้อง! นางอาจจะแอบเข้าไปในตระกูลจ้าวแล้วขโมยมันมาตอนที่ฮูหยินเจ้าไม่ทันระวังตัวก็ได้! ข้าว่าพวกเรานำตัวนางไปส่งที่ศาลาว่าการเสียดีกว่า! ฮูหยินจ้าวต้องขอบคุณเราเป็นแน่!”
“…”
เมื่อเหล่าฝูงชนพูดออกมาแบบนี้ พลันใดนั้นก็มีเด็กรับใช้คนหนึ่งวิ่งมาทางซูหวานหว่านพร้อมกับเชือก! เขาต้องนำมันมามัดตัวนางอย่างแน่นอน!
ซูหวานหว่านมองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วเอ่ยเย้ยเยาะขึ้นมา “ด้วยฝีปากของพวกเจ้าแล้ว ข้าก็กลายเป็นคนไร้ค่า กลายเป็นขโมยขึ้นมาทันที ประเสริฐจริง ๆ เลย!”
“เดิมที่เจ้าก็ทำเรื่องราวนี้อยู่แล้ว เหตุใดคนอื่นถึงพูดไม่ได้กันเล่า?” เสียงอันแสนคุ้นเคยของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น เมื่อซูหวานหว่านมองไปตามเสียงก็พบว่าเป็นหญิงสาวที่ถูกม้าฉี่ใส่ได้ลุกขึ้นมาแล้ว นางมองซูหวานหว่านด้วยแววตาดุดัน “ทุกคนอย่าเพิ่งรีบร้อนจับนางไป ข้าคันไม้คันมืออยากลงมือกับนางก่อนแล้วค่อยส่งไปที่ศาลาว่าการ!”
“หากเจ้าไม่กลัว ก็เข้ามาได้เลย” ซูหวานหว่านพูดออกมาอย่างไม่หวาดกลัว ทันใดนั้นก็เห็นรถม้าคันหรูเคลื่อนตัวผ่านมาก ตอนนั้นเองหัวใจของเย่ชิงซินหยุดการกระทำต่าง ๆ เมื่อม้ารถม้ากำลังวิ่งมา หญิงสาวจึงร้องไห้ตะโกนออกมา “พี่ชาย! แย่แล้ว! เมื่อครู่มีคนรังแกข้า ท่านต้องชวนข้าสั่งสอนนาง!”
“หื้อ? ใครมันบังอาจกล้ารังแกเจ้า!” เสียงชายหนุ่มที่ดังมาจากทางรถม้า ซูหวานหว่านรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก!
ซูหวานหว่านมองไปทางรถม้าที่กำลังวิ่งมาทางนี้ ก็เห็นเพิ่งผ้าม่านของมันถูกเปิดออกมาเท่านั้น ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงมา ใบหน้าขาวสะอาดทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อีกได้ยินคำวิจารณ์ของเหล่าชาวบ้านก็รู้ว่าเขาคือนายน้อยเย่ เย่หลิงเฉิน ซูหวานหว่านจึงนึกออกขึ้นมาทันใด นางเอ่ยออกมาเสียงเรียบว่า “คนตระกูลเย่ของเจ้าจะลงมือกับข้างั้นรึ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็รีบเข้ามาเลย! ได้โปรดอย่าทำให้ข้าเสียเวลาไปมากกว่านี้อีก!”
ประโยคที่เต็มไปด้วยโทสะของซูหวานหว่าน กล่าวได้ว่ามันช่างดูหลงระเริงเป็นอย่างมาก เมื่อเหล่าฝูงชนได้ยินเช่นนั้นหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังให้เย่หลิงเฉินที่มีอำนาจลงมือกับซูหวานหว่าน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เห็นเย่หลิงเฉินลงม้าและคำนับต่อซูหวานหว่าน “วันนี้ช่างบังเอิญเสียจริง ๆ! คุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวก็มาที่จวนอัครเสนาบดีเช่นกัน!”
นับตั้งแต่ถูกซูหวานหว่านปฎิเสธที่ถนนในวันนั้น เย่หลิงเฉินก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงส่งให้มาคอยสอดแหนมซูหวานหว่านอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นเขาก็ได้รับรู้ว่านางเป็นลูกสาวของแม่จ้าว เป็นผู้สืบทอดการค้าเกลือตระกูลจ้าว ส่วนตัวเขายังหาวิธีการขอโทษซูหวานหว่านไม่ได้ ดังนั้นเมื่อได้พบนางอีก จึงรีบทำตัวอ่อนน้อมและสุภาพกับนางในทันที
เมื่อเห็นหญิงสาวไม่ได้พูดอะไร เย่หลิงเฉินก็ยังคงคิดว่าซูหวานหว่านยังคงไม่พอใจเขาอยู่ จึงสั่งให้คนหยิบดอกได้สีสดจากบนรถม้าของตนมามอบให้กับนาง และเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน “คุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าว สำหรับความไม่พอใจที่เกิดขึ้น ข้าหวังว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวจะให้อภัย หากหลังจากนี้เราได้พบกันอีก ก็ให้นับว่าข้าเป็นสหายเถิด”
ดอกไม้หลากสีสัน ตรงกลางของมันมีสีขาว กลีบดอกมีสีแดงสดก่อนจะเคลื่อนแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพู หากมองดูดี ๆ แล้วจะพบว่าดอกไม้ดอกนี้มีสีแเดง ชมพู และสีขาวทั้งหมดสามสีด้วยกัน ซึ่งหาได้ยากมาก
นอกจากนี้ยังถอดแบบภาพลักษณ์อันมีเสน่ห์ของนางออกมา ผู้คนที่เห็นดังนั้นต่างตกตะลึง ของกำนัลชิ้นนี้มีค่ามากมาย เป็นไปได้หรือไม่ว่าซูหวานหว่านเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวจริง ๆ?
เมื่อคิดถึงความจริงข้อนี้ ใบหน้าของเหล่าชาวเมืองก็พลันซีดขาว และคนที่รู้สึกเสียใจที่สุดก็คือพ่อบ้านหวัง บนใบหน้าของเขาแทบจะเขียนคำว่า ‘เสียใจ’ ลงไปแล้ว
พ่อบ้านหวังเดินมาหยุดลงที่ข้างกายของเย่หลิงเฉิน และเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ ว่า “นายน้อยเย่ นาง… นางเป็นเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวจริงหรือ?”
เมื่อเย่หลิงเฉินได้ยินประโยคนี้ของเขา ในตอนนั้นก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ในที่สุดก็มีโอกาสเอาอกเอาใจซูหวานหว่านแล้ว! เย่หลิงเฉินรีบยกมือขึ้นมาฝาดลงไปบนใบหน้าของพ่อบ้านหวังดังเพียะ “นางเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลจ้าว! เรื่องนี้จะสามารถหลอกกันได้อย่างไร!”
พ่อบ้านหวังกุมใบหน้าของตนเองโดยไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา ผู้คนรอบข้างก็ไม่กล้าที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย และมองไปที่ซูหวานหว่านอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ
เย่ชิงซินกวาดสายตามองซูหวานหว่าน เงียบไปอยู่พักใหญ่ เย่หลิงเฉินก็เห็นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก จึงเอ่ยถึงเรื่องที่น้องสาวของตนพูดออกมาก่อนหน้านี้ “บอกมาว่าใครรังแกเจ้า? คนคนนั้นอยู่ที่ใด! ข้าจะฉีกนางเป็นชิ้น ๆ!”
นางจะกล้าบอกได้อย่างไร! เย่ชิงซินสบตาซูหวานหว่านแวบหนึ่ง ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ “เมื่อครู่…ไม่มีอะไร เป็นข้าที่ไม่ระวังเองทำให้สะดุดล้ม ข้าไม่ไปที่จวนอัครเสนาบดีแล้ว ช้าจะกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย หากครั้งหน้ามีเวลา…ค่อยมาใหม่”
เย่หลิงเฉินยังไม่เชื่อในคำพูดของนาง ที่นี่ไม่มีบุคคลที่เขาไม่สามารถจัดการได้อยู่เหรอ! เย่หลิงเฉินเอ่ยออกมาอย่างโกรธเคือง “พูดมา! พี่ชายคนนี้จะสนันสนุนเจ้าเอง!”
เหล่าผู้คนต่างสบตากัน บางคนกำลังจะเกลี้ยกล่อมเย่หลิงเฉินไม่ให้ถามอีกต่อไป แต่ก็ได้ยินซูหวานหว่านพูดขึ้นมาว่า “นายน้อยเย่ เจ้าจะสนับสนุนนางจริง ๆ งั้นรึ เมื่อตอนที่ข้าลงมาจากรถม้านางฟาดแส้ใส่ข้า หากแต่มันไม่โดนข้า และทำให้ตัวนางเองตกลงจากหลังม้า หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงโดนม้าทำให้ขายหน้า นางบอกว่านั่นเป็นความผิดของข้า และต้องการตีข้า ทำไมรึ เจ้าอยากช่วยนางตีข้าอย่างนั้นหรือ? หื้อ?”
คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เย่ชิงซินต้องการจะสั่งสอนที่แท้คือซูหวานหว่าน! เย่หลิงเฉินรู้สึกเสียใจกับประโยคที่พูดออกไปเมื่อครู่ จนจะแทบจะคุกเข่าขอโทษ ต่อจากนั้นซูหวานหว่านก็ปล่อยพวกเขาไป เย่หลิงเฉินจึงรีบพาเย่ชิงซินกลับบ้านทันที
ในเวลานี้ ผู้คนหน้าจวนอัครเสนาบดีต่างมองหน้ากัน และไม่มีผู้ใดกล่าวดูหมิ่นซูหวานหว่านอีกต่อไป แม้แต่พ่อบ้านหวังก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาขณะที่คุยกับซูหวานหว่าน!
ซูหวานหว่านพูดออกมาเบา ๆ ว่า “อย่ากลัวกันไปเลย ข้าเป็นคนมีน้ำใจมาก พวกเจ้าทุกคนเข้าใจผิดในตัวตนของข้า บางทีอาจจะเพียงพวกเจ้าใช้ตาสุนัขมองคนอย่างต้อยต่ำ! เป็นสัตว์ร้าย ไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ข้าไม่ถือสาอยู่แล้ว!”
ซูหวานหว่านกำลังบอกว่าพวกเขาเป็นหมาใช่หรือไม่? พวกเขารู้สึกโกรธมาก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าโต้ตอบ ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนออกมา
พ่อบ้านหวังพาทุกคนเข้าไปยังจวนอัครเสนาบดี พาทุกคนไปยังห้องโถง ที่นั่นพวกเขาพบว่าฮูหยินยังมาไม่ถึง แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่แทน และซูหวานหว่านก็ได้พบกับสือเป้ยเอ๋อร์ดั่งที่นางต้องการเสียที
สือเป้ยเอ๋อร์กำลังจ้องมองไปที่ซูหวานหว่าน ใบหน้าของที่ไร้ผ้าคลุมของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางชี้ไปที่ซูหวานหว่านแล้วเอ่ยออกมาว่า “นี่เป็นคนรับใช้ตระกูลใด! รีบลากนางออกไปเสีย! อย่าให้ข้าได้เห็นนางอีก