เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 - ตอนที่ 5 พ่อหนุ่มผู้หล่อเหลา
บทที่ 5 พ่อหนุ่มผู้หล่อเหลา
ซูหวานหว่านสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้เป็นแม่ ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณแรกเริ่มที่ดี
“เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย ในอนาคตทุกอย่างจะดีขึ้น”
“ใช่ ข้าเห็นด้วย” ซูหวานหว่านพูดพลางเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มแม่เจิ้น
ซูจิ่นเฉียงกำหมัดแน่น เขาเกลียดตระกูลซูเป็นที่สุด อยากจะออกจากที่นั่นมานานแล้ว!
ซูจิ่นเฉียงสาบานกับตนเองไว้ว่า หลังจากที่หลุดพ้นจากตระกูลซูได้ เขาจะพยายามแบ่งเบาภาระของมารดาด้วยการหาเลี้ยงน้อง ๆ และช่วยเก็บหอมรอมริบค่าสินสอดของน้องชายคนเล็ก
“ข้าด้วย!”
“ข้าก็เช่นกัน ๆ” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองที่เดินตามหลังเอ่ยสัญญาเสียงดัง
แม่เจิ้นยิ้มทั้งน้ำตา ถึงแม้ว่านางจะไม่มีสามีคอยอยู่เคียงข้างอีกต่อไป ทว่านางก็ยังคงมีเด็ก ๆ ที่น่าภูมิใจอยู่ข้างกาย
เมื่อทุกคนต่างอารมณ์ดีและมีกำลังใจแล้ว ทั้งหมดก็พากันเดินทางต่อไปยังจุดมุ่งหมายของการเดินทางครั้งนี้
ในระยะเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป พวกเขาได้เดินทางมาถึงเรือนพักพิง…
ซูหวานหว่านเดินตรงไปเคาะประตู
หญิงสาวรับรู้ได้จากเศษเสี้ยวความทรงจำ ว่าภายในที่แห่งนี้มีหญิงชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ ว่ากันว่าคู่หมายของนางได้เสียชีวิตลงในสนามรบ ต่อมาพ่อแม่ของนางเสนอให้แต่งงานใหม่กับชายอื่น ทว่านางไม่ตกลงและเปลี่ยนตนเองเป็นหญิงถือพรหมณจรรย์ไปตลอดชีวิต อาศัยอยู่ในเรือนพักพิงมานานกว่า 40 ปีแล้ว
กล่าวตามตรง ซูหวานหว่านนับถือในตัวหญิงชราคนนี้มาก นางสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยวทั้งที่เวลานั้นนางอายุเพียง 17 ปี และใช้ชีวิตเสมือนแม่ชีมา 40 ปีนับจากนั้น
“นั่นใคร?”
ไม่นานเกินรอ ประตูบานตรงหน้าก็ถูกเปิดออก ปรากฏให้เห็นหญิงชราร่างเล็กที่มีแววตาสุกใส
“แม่เฒ่าเจียง ข้าเอง” นั่นคือชื่อของแม่เฒ่าผู้ถือพรหมจรรย์ผู้นี้
แม่เจิ้นรู้จักหญิงชรา นางอธิบายสาเหตุของการปรากฏตัวของนางและลูก ณ ที่แห่งนี้
แม่เฒ่าเจียงชำเลืองมองพวกเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ “เข้ามาเถิด ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียว ดีเสียอีกข้าจะได้มีเพื่อนคุย แต่สภาพแวดล้อมภายในค่อนข้างทรุดโทรม… ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะไม่คุ้นชิน”
ซูหวานหว่านประคองมารดาเข้าไปด้านใน นางส่งยิ้มบาง ๆ และเอ่ยกับแม่เฒ่าเจียงว่า “ที่นี่ดีกว่าถ้ำเสือและถ้ำหมาป่ามาก ขอบคุณท่านแม่เฒ่าเจียงที่ให้พวกเราอาศัยอยู่ที่นี่นะเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าเจียงหรี่ตามองซูหวานหว่าน “เจ้าเด็กน้อยคนนี้ ช่างพูดเสียจริง”
ซูหวานหว่านส่งยิ้มให้กับคำพูดของแม่เฒ่าเจียง
หญิงชราพาพวกเขาเข้าไปด้านใน และชี้ไปยังห้องต่าง ๆ “พวกเจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ จัดการแบ่งพื้นที่กันเอง พวกเจ้ามีของกันมาเท่านี้หรือ? ถึงแม้ว่าจะลำบากหน่อย แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เตาไฟอยู่ในห้องนี้ ฟืนอยู่ตรงนี้ แล้วก็มีบ่อน้ำอยู่ด้านหลัง…”
หญิงชราเอ่ยอย่างช้า ๆ ทว่าซูหวานหว่านสังเกตได้ว่านางมีความสุขไม่น้อย อาจจะเป็นเพราะอยู่คนเดียวมานานหลายสิบปี… แต่ตอนนี้มีคนมาอยู่กับนางแล้ว!
แม่เจิ้นสูดหายใจแผ่วเบาและเริ่มจัดเตรียมห้องหับ
เรือนพักพิงแห่งนี้มีห้องไม่มาก แต่ก็เพียงพอให้พวกนางแม่ลูกได้อยู่อาศัย
“โอ้โห ที่นี่มันใหญ่กว่าบ้านหลังเก่าเราอีก!”
“ท่านแม่ ข้าจะได้นอนกับพี่ใหญ่จริง ๆ หรือ”
ซูเสี่ยวเหยี่ยนและซูจิ่นหมิงวิ่งเข้าออกห้องนั้นบ้างห้องนี้บ้างอย่างสนุกสนาน
โดยเฉพาะจิ่นหมิง หลังจากที่ได้รู้ว่าจะได้นอนห้องเดียวกับพี่ใหญ่ เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก เอาแต่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
ดวงตาของแม่เจิ้นเอ่อคลอด้วยน้ำตา และตอบคำถามลูก ๆ ก่อนจะขอตัวไปเตรียมมื้อค่ำ
ตอนที่จากตระกูลซูมา พวกเขามีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้นและหนังสือของซูจิ่นเฉียงเพียงไม่กี่เล่ม แต่พวกเขาไม่มีอาหารติดตัวมาเลยแม้แต่น้อย
“แม่เฒ่าเจียงข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่าน…”
แม่เจิ้นต้องการปรึกษากับแม่เฒ่าเจียง ว่าวันนี้นางจะขอยืมวัตถุดิบในการทำอาหาร แล้วพรุ่งนี้เช้าจะรีบเข้าไปในเมืองเพื่อนำปิ่นปักผมสีเงินอันเป็นของหมั้นชิ้นสุดท้ายจากตระกูลซูซึ่งนางจะไม่มีวันลืม ไปขายแลกเงินเพื่อนำมาคืนแก่แม่เฒ่าเจียง
และแน่นอน…นางจะต้องหางานทำ!
แม่เฒ่าเจียงโบกมืออย่างเป็นกันเองพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้านำมันไปใช้เถอะ จะคืนหรือไม่เอาไว้พูดกันคราวหลัง”
แม่เจิ้นรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง นางรับปากว่าพรุ่งนี้จะนำมันมาคืนอย่างแน่นอน
ซูหวานหว่านอยากจะช่วยแม่ของนางทำอาหาร ทว่าถูกปฏิเสธและโดนไล่ให้ไปช่วยพี่ใหญ่และน้อง ๆ ทำความสะอาดบ้านแทน
ถึงแม้ว่าแม่เฒ่าเจียงจะอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้เพียงลำพัง ทว่าห้องแต่ละห้องถูกเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน ภายในห้องมีเตียงและโต๊ะ ทว่าไม่มีเครื่องนอน มีเพียงเตียงว่างเปล่าที่ปูด้วยเสื่อที่ทำจากใบตาลเท่านั้น
เมื่อมื้อค่ำพร้อมแล้ว แม่เจิ้นเอ่ยชวนแม่เฒ่าเจียงมาร่วมวงอาหารมื้อนี้ด้วยกัน ซึ่งแม่เฒ่าเจียงก็ตอบรับคำชวนทั้งยังแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อพวกเขา หลังทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว แม่เฒ่าเจียงก็ได้นำที่นอนมาให้พวกเขาอีกด้วย
แม้เวลานี้อากาศจะหนาวเย็น ร่างกายถูกปกคลุมเพียงผ้าห่มผืนบาง ทว่าในใจของแม่เจิ้นกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หลังจากแม่เฒ่าเจียงนำผ้านวมผืนบางมาให้ หญิงชราก็กลับห้องของตนไป …ซึ่งท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ คงไม่อาจรับรู้ได้เลยว่านางหลับไปแล้วหรือยัง
ซูหวานหว่านนอนห้องเดียวกันกับแม่เจิ้นและซูเสี่ยวเหยี่ยน ทั้งสามแม่ลูกนอนบนที่นอนซึ่งทำจากเศษผ้าเก่า ๆ และห่มร่างกายด้วยผ้านวมผืนบาง
“หวานหว่าน พรุ่งนี้แม่จะเข้าไปซื้อเสบียงอาหารในเมือง พวกเจ้าอยู่บ้านกันดี ๆ ล่ะ”
แม่เจิ้นห่มผ้านวมให้กับลูก ๆ ทั้งสอง ขณะที่เอ่ยคำว่า ‘บ้าน’ ก็ทำหัวใจของนางรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
นับตั้งแต่ที่พวกนางและลูกออกจากบ้านตระกูลซู ก็ไม่เห็นวี่แววซูต้าเฉียงผู้เป็นสามี… ดูเหมือนว่านางคงต้องยอมแพ้แล้วจริง ๆ
“อื้อ” ซูหวานหว่านพยักหน้า
“ท่านแม่ ต่อจากนี้เราจะทำอย่างไรกันดี”
จู่ ๆ ซูเสี่ยวเหยี่ยนก็ถามออกมาด้วยเสียงอู้อี้ นางชอบที่จะอยู่ที่แห่งนี้ ทว่าก็กลัวว่าท่านพ่อจะหาพวกนางเจอ!
“ไม่ต้องกลัวไป แม่อยู่ที่นี่ เอาล่ะ…นอนกันเถอะ” แม่เจิ้นตอบกลับลูกสาวคนเล็กของนางพลางลูบหลังเบา ๆ จนเด็กสาวเคลิ้มและผล็อยหลับไป
ระหว่างนั้น ซูหวานหว่านเองก็หลับตาลงโดยที่หญิงสาวไม่ได้ง่วงเลยสักนิด
หัวใจของนางกำลังแตกสลาย…
ตกดึก ซูหวานหว่านตัดสินใจลุกขึ้นและย่องออกจากเรือนพักพิง มุ่งหน้าไปยังด้านหลังภูเขา
ถึงเวลาแล้วที่นางจะต้องจัดการให้ชีวิตห่วย ๆ นี่ให้ดีขึ้นเสียที!
“จี๊ด ๆ !”
ซูหวานหว่านเดินตรงไปยังที่ราบลุ่มบนภูเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านเท่าไรนัก
นางยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง จากนั้นหญิงสาวก็เปล่งเสียงร้องแปลก ๆ ออกมา หนูภูเขาตัวน้อยพลันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านาง
“ข้าให้” หญิงสาวหยิบเมล็ดแตงโมกำหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ วางมันลงหน้าเจ้าหนูภูเขา
ความสงสัยได้ฉายผ่านออกมาทางนัยน์ตาเล็ก ๆ ของหนูภูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ามันก็สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว และเข้ามากินเมล็ดแตงโมตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อกินเสร็จเจ้าหนูป่าก็เปล่งเสียงร้องแหลมเล็กออกมาสองถึงสามครั้ง หญิงสาวจึงได้ถามบางอย่างกับมันเล็กน้อย เจ้าหนูป่าตัวนั้นพยักหน้าให้นางราวกับมนุษย์ และก้าวขาไปด้านหน้า
“ดีเลย ขอบคุณมากนะ! หากเจ้ามีเรื่องให้ข้าช่วยสามารถบอกข้าได้เสมอ ข้ายินดี!” เมื่อหญิงสาวได้ทราบข่าวจากเจ้าหนูป่าตัวนั้นแล้ว หัวใจของนางก็รู้สึกเบ่งบานเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
นางไม่คาดคิดเลยว่าตนเองจะเป็นคนโชคดีเยี่ยงนี้ ที่ด้านหลังภูเขาแห่งนี้มีโสมอยู่จริง ๆ! สาเหตุที่นางออกมาข้างนอกอย่างเงียบ ๆ ก็เพื่อตามหาสัตว์ตัวเล็ก ๆ และถามพวกมันว่าที่ด้านหลังภูเขาแห่งนี้มีของมีค่าเช่นพืชลักษณะกลม ตั้งตรง และมีรากอวบอิ่มอย่างโสมหรือไม่ เนื่องจากพรุ่งนี้หญิงสาวกับแม่จะออกไปขายของในเมืองกัน
การเจอโสมนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง!
หลังจากที่ตามเจ้าหนูภูเขาตัวนั้นวิ่งเข้าไปในป่าเป็นเวลาเกือบหนึ่งก้านธูป หญิงสาวก็ได้หยุดฝีเท้าลงอยู่ตรงที่ที่มีโสมฝังอยู่
“ไม่เลวเลย” สายตาของซูหวานหว่านเป็นประกายเมื่อได้มองไปยังโสม ไม่รอช้านางก็ใช้มือของตนจัดการขุดมันทันที
“อย่าขยับนะ!”
ทว่าโชคไม่ค่อยดีเอาเสียเลย ก่อนที่หญิงสาวจะขุดไปได้มากกว่านี้ เสียงตะโกนลั่นก็ดังขึ้นพร้อมมีคนผู้หนึ่งพุ่งตัวเข้ามากระชากมือของนางแล้วบีบข้อมือบางแน่น
ด้วยความตกใจที่ถูกกระชากอย่างแรง นางจึงใช้ศอกอีกข้างหวดกระทุ้งเข้าไปที่ใบหน้าของบุคคลนิรนามอย่างรวดเร็ว
ชายแปลกหน้าคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะตอบโต้กลับมาเช่นนี้ เขารีบปล่อยมือของนาง เอี้ยวตัวหลบข้อศอกของหญิงสาวที่เกือบจะปะทะเข้ากับหน้าของเขาอย่างเฉียดฉิว ก่อนกระโดดถอยหลังออกไปเพื่อตั้งหลัก
ซูหวานหว่านจิ๊ปากอย่างขัดใจ หญิงสาวรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก หากว่านี่เป็นร่างของนางในโลกเดิมแล้วล่ะก็ หมอนี่คงหน้าเสียโฉมไปแล้ว!
“เจ้าเป็นใครกัน!? เหตุใดต้องมาขโมยโสมของข้าด้วย!”
บุรุษนิรนามเอ่ยถาม ซูหวานหว่านที่ตั้งสติได้จึงหันไปมองหน้าชายแปลกหน้าผู้นั้น
ภายใต้ท้องนภาอันกว้างใหญ่ แสงจันทร์สาดส่องไปที่เสี้ยวหน้าของชายหนุ่ม ปรากฏให้เห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้าของเสียง
ดวงตาคู่สวยจดจ้องไปที่ซูหวานหว่านด้วยความโกรธ คิ้วเรียวสวยของชายหนุ่มขมวดเป็นปมแน่น แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาผู้นี้ดูดีน้อยลงเลยแม้แต่น้อย…