เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 - ตอนที่ 69 แสแสร้งแกล้งทำว่าอ่อนแอ
เมื่อซูหวานหว่านเดินออกไปก็พบกับหญิงสาวผู้หนึ่งสวมชุดที่ถูกเย็บปักด้วยลวดลายดอกบัวสีเขียว สวมทับด้วยเสื้อคลุมยาวสีชมพู ยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องครัว
ซูฉิงฉิงเดินเข้ามาหานางอย่างนุ่มนวล พร้อมกับหยิบเอาดอกไม้ที่ซ่อนเอาไว้อยู่ในแขนเสื้อแขนยาวออกมา แล้วเดินเลยเข้าไปในครัว “อาสะใภ้สาม ดอกไม้นี่สำหรับท่านเจ้าค่ะ”
แม่เจิ้นตกตะลึงไปชั่วขณะ นางอายุเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะติดดอกไม้เลยนะ! “เจ้าก็เอาไปติดเองสิ ข้าจะเอาไปทำไมกัน! หากข้าติด ข้าอาจจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้”
“ท่านก็ยังอายุไม่มากเท่าใด อีกทั้งผิวพรรณของท่านก็ยังงามนัก! หากท่านติดมันจะไม่สวยได้อย่างไรกันเจ้าคะ!” หลังจากซูฉิงฉิงกล่าวจบ นางก็ได้เอาดอกไม้ไปติดให้แม่เจิ้น ทว่าแม่เจิ้นก็ยังคงปฏิเสธเช่นเดิม ในขณะนั้นนางจึงเสแสร้งทำเป็นหกล้มแล้วผลักแม่เจิ้นไปที่เตาฟืน
กระทะที่อยู่บนเตาร้อนมาก!
จะเป็นอย่างไรหากมือของคนไปโดนมันเข้า!
“อาสะใภ้สาม ระวัง!” ซูฉิงฉิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่แววตาของนางกำลังยิ้มเยาะอย่างคนมีชัย
เมื่อเห็นว่ามือของแม่เจิ้นกำลังจะไปโดนกระทะน้ำมัน ใบหน้าของนางยังคงทำเป็นตกตะลึงพร้อมกับรีบเอามือของตนปิดตาแล้วพูดออกมาอย่างขมขื่นว่า “อาสะใภ้สาม!”
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ นางก็ไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องที่คาดหวังเอาไว้ ซูฉิงฉิงจึงค่อย ๆ เปิดตาของตัวเองและมองลอดผ่านนิ้วมือ นางเห็นว่าซูหวานหว่านคว้ามือของแม่เจิ้นเอาไว้ทัน
ซูหวานหว่านไม่ได้อยู่ข้างนอกหรอกหรือ? แล้วจู่ ๆ นางก็เข้ามาข้างในตั้งแต่เมื่อใดกัน!
ซูฉิงฉิงรู้สึกงงงวย เมื่อเห็นว่าซูหวานหว่านมองนางด้วยความโกรธ นางก็รีบเอามือลงทันทีพร้อมกับขมวดคิ้ว “น้องหวานหว่าน มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าดูแลอาสะใภ้สามไม่ดีเอง ข้าเกือบจะทำให้อาสะใภ้สามล้มลงไปโดนกระทะแล้ว…เจ้า…หากเจ้าอยากจะทุบตีข้า ด่าข้า ว่าข้าก็ได้เลยนะ ข้าจะไม่ถือโทษโกรธเจ้าเลย”
แน่นอนว่านางเป็นนักแสดงชั้นยอดเลย!
ซูหวานหว่านอยากจะปรบมือให้กับการแสดงของซูฉิงฉิงในทันที ทว่าในดวงตาของนางตอนนี้ยังคงเย็นชา
“น้องหวานหว่าน…”
ซูฉิงฉิงค่อย ๆ ก้มศีรษะลงและกัดฟัน กำผ้าในมือแน่นจนเกือบจะขาด
พอนางเงยหน้าขึ้น ความเกลียดชังในดวงตาของซูฉิงฉิงพลันหายไป แทนที่ด้วยน้ำตาที่ไหลริน ซูฉิงฉิงใช้มือของตัวเองตบไปที่ใบหน้าของตนเองอย่างแรง พร้อมกับพูดว่า “น้องหวานหว่าน ตีข้าสิ ด่าข้าสิ! หากเจ้าไม่ตีข้าและด่าข้า ข้าจะถือว่าเจ้ายังโกรธข้าอยู่…”
แม่เจิ้นไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป นางปล่อยมือของซูหวานหว่านแล้ววิ่งเข้าไปหาซูฉิงฉิงอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับจับไปที่มือของนางที่กำลังตบหน้าตนเองอยู่ “หวานหว่านไม่ได้โทษเจ้า! เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน? เจ้าเด็กคนนี้ หยุดตบตีตัวเองได้แล้ว ป้าไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของเจ้าเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ข้าโทษตัวเองต่างหาก เพราะข้ายืนไม่มั่นคงเองเลยเสียหลักเกือบล้มลงไปโดนกระทะน้ำมันได้!”
“เฮ้อ!” ท่านแม่ของนางที่ตามคนไม่ทันนั้นโดนหลอกง่ายเกินไปแล้ว? ซูหวานหว่านถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหัวไปมา “ท่านแม่ ข้าว่าพวกท่านสองคนควรออกไปคุยกันข้างนอกน่าจะดีกว่านะ เพราะในครัวมันค่อนข้างอันตราย ข้าจะเป็นคนทำอาหารเอง และท่านก็ชวนพี่ฉิงฉิงอยู่ทานข้าวด้วยกันสิ”
นางไม่อยากเกลือกกลั้วกับสตรีที่เสแสร้งเก่งขนาดนี้หรอก! แววตาของซูหวานหว่านก็เต็มไปด้วยความขยะแขยง
“งั้นก็รบกวนเจ้าแล้วกันนะ เดี๋ยวข้าจะออกไปคุยกับฉิงฉิงสักพัก”
แม่เจิ้นพาซูฉิงฉิงไปนั่งที่ห้องโถงในบ้านพร้อมกับเริ่มพูดคุยสนทนาด้วยรอยยิ้ม
ชั่วครู่ต่อมา นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนกำลังเดินเข้ามาในห้องครัว เสียงฝีเท้านั้นเงียบมากไม่เหมือนว่าเป็นคนในบ้านและซูหวานหว่านก็รู้สึกสงสัยว่าเป็นใครกัน
ซูฉิงฉิงก็ได้เดินเข้ามาพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “น้องหวานหว่านกำลังทำอาหารอะไรอยู่รึ? อาสะใภ้สามให้เข้ามาดูแล้วบอกให้ข้ามาบอกเจ้าว่า เมื่อวานนี้ที่ครอบครัวหลี่เอากระต่ายตากแห้งครึ่งตัวมาให้ ให้เจ้านำมาปรุงอาหารด้วยนะ”
เหอะ!
นางจำได้ว่าแม่เจิ้นได้พูดก่อนหน้านี้ว่านางจะไม่เอากระต่ายมาปรุงทำอาหารจนกว่าบ้านจะถูกสร้างเสร็จ รู้สึกว่าซูฉิงฉิงจะมีความสามารถเสียเหลือเกิน นางไม่รู้ว่าซูฉิงฉิงไปพูดอะไรกับแม่เจิ้น จนแม่ของนางนั้นถึงยอมให้นำกระต่ายครึ่งตัวนั่นออกมาปรุงอาหารให้นางกินได้!
ซูหวานหว่านไม่ได้พูดอะไรออกมาและยังคงไม่ไปหยิบเอาเนื้อกระต่ายป่าออกมาแต่อย่างใด ทว่านางกำลังผัดผักอย่างใจเย็น จนทำให้ซูฉิงฉิงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าของซูฉิงฉิงยิ้มกว้างขึ้นมาพร้อมกับกล่าวว่า “น้องหวานหว่าน เจ้าเป็นคนที่ใจกว้างไม่ใช่หรอกหรือ? เหตุใดเพียงแค่เนื้อกระต่ายยังไม่เอามาปรุงอาหารให้กับพี่สาวเจ้ากินเลย?”
นี่กำลังพูดว่านางเป็นคนขี้เหนียวงั้นเหรอ?
ใช่ นางเป็นคนใจกว้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลคนนั้นคือใครด้วย หากเป็นคนที่นางเกลียด แน่นอนว่านางจะเป็นคนขี้เหนียวมากจนไม่อยากให้เลยด้วยซ้ำและจะไม่ยอมเสียเปรียบให้ใครง่าย ๆ ด้วย
ซูหวานหว่านไม่ได้มองไปที่ซูฉิงฉิง นางกล่าวเสียงดังขึ้นมาทันที “ท่านอยากกินเนื้อกระต่าย! เหตุใดท่านใจร้ายนัก! กระต่ายช่างน่ารักมากเลย เหตุใดอยากจะกินเนื้อของมันได้ถึงเพียงนั้น!”
“เจ้า!”
เหตุใดซูฉิงฉิงจึงรู้สึกว่าคำพูดนี้มันถึงคุ้นเคยขนาดนี้กัน?
ซูฉิงฉิงหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ทว่านึกเท่าใดก็นึกไม่ออกเสียที นางได้ยินเสียงซูหวานหว่านหัวเราะออกมา “ท่านพี่ฉิงฉิง นั่นคือสิ่งที่เจ้าเคยพูดกับข้าก่อนหน้านี้อย่างไรล่ะ ตอนนั้นที่ข้าจับกระต่ายได้มาจากบนเขาและเจ้าก็ขอให้ข้าเลี้ยงมันเอาไว้ เจ้ามีจิตใจที่มีเมตตามากและไม่สามารถที่จะกินกระต่ายได้ลง แล้วข้าจะให้เจ้ากินเนื้อกระต่ายได้อย่างไรกัน? หากข้าให้เจ้ากินมันก็เหมือนว่าข้าได้ทำร้ายเจ้าทางอ้อมน่ะสิ!”
ไม่ต้องการให้นางได้กินเนื้อกระต่ายหรือ?
ในขณะนั้นซูฉิงฉิงก็มีสายตาลุกลี้ลุกลน และบีบน้ำตาไหลออกมา พร้อมกับพูดอธิบายกับซูหวานหว่าน “ดูเหมือนว่าหากข้าจำไม่ผิด เจ้าจะไม่กินเนื้อกระต่ายได้อย่างไร? วันที่สองที่เจ้าได้นำกระต่ายกลับมาที่บ้าน ครัวที่บ้านของเจ้าก็ได้ส่งกลิ่นเนื้อลอยออกมา พอข้าไปเคาะประตูบ้านเจ้าก็ไม่ให้ข้าเข้าไปในบ้าน! บอกว่ากลัวข้าจะเห็นกระต่ายที่ตายแล้ว”
นางกำลังพูดให้ตัวเองอยู่สูงขึ้นถูกไหม?
ซูฉิงฉิงเหลือบไปมองที่ซูหวานหว่าน เด็กสาวคนนี้เปลี่ยนไป! นางไม่ได้เป็นคนที่ไร้สมองเช่นเมื่อก่อนแล้ว!!
ซูหวานหว่านมองไปที่ใบหน้าของซูฉิงฉิงที่กำลังทำหน้าตาขมขื่น แล้วก็เดินเข้าไปที่ถังเพื่อไปเอาเนื้อออกมา ทว่าพบเพียงไก่สับที่เก็บเอาไว้
ซูฉิงฉิงก็เข้ามาใกล้พร้อมกับมองว่ามันคืออะไร ซึ่งนางมองไม่เห็น แต่นางได้กลิ่นอาหารที่หอมมาก พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอและท้องของนางที่กำลังส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหิวโหย
นางเพิ่งจะกลับถึงบ้านและพบว่าที่บ้านของนางนั้นไม่มีข้าวหรืออาหารหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงผักป่าแห้งเหี่ยวสองสามชนิดที่แม่เฒ่าซูขุดเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้
นางไม่กินของเหล่านั้นอยู่แล้ว นางได้ยินมาว่าครอบครัวของหวานหว่านร่ำรวยขึ้น นางเลยมาดู ทว่าก็คาดไม่ถึงเลยว่าครอบครัวหวานหว่านจะมีเนื้อสัตว์ให้นางกินจริง ๆ
ซูฉิงฉิงอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้าไปใกล้ และพบว่าซูหวานหว่านกำลังใส่เนื้อไก่เข้าไป หลังจากนั้นไม่นานกลิ่นของเนื้อก็ลอยออกมาและมันทำให้นางหิวขึ้นมาทันที นางมองเห็นตะเกียบคู่หนึ่งที่วางอยู่ข้าง ๆ จึงถือวิสาสะหยิบตะเกียบขึ้นมาเพื่อที่จะคีบชิมอาหาร
“น้องหวานหว่าน ข้าจะช่วยเจ้าชิมเองว่าใส่เกลือพอแล้วรึยัง”
เมื่อเห็นแบบนั้น ซูหวานหว่านได้ใช้ตะหลิวเอามาขวางตะเกียบของซูฉิงฉิงเอาไว้พร้อมกับยิ้มออกมา “ท่านพี่ฉิงฉิง ข้ายังไม่ได้เติมเกลือ ท่านยังไม่ต้องชิมหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น และซูหวานหว่านยังคงผัดอยู่ มันก็ทำให้ซูฉิงฉิงถึงกับเปลี่ยนสีหน้าทันที
จากนั้นซูหวานหว่านก็ได้ใส่เกลือลงไปหนึ่งช้อนใหญ่แล้วพูดว่า “ท่านพี่ฉิง ท่านชิมได้แล้ว”
ซูฉิงฉิงไม่รู้ จึงหยิบชิ้นที่ใหญ่ที่สุดแล้วชิมอาหารเข้าไปทันที พอชิมเข้าไปใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที พร้อมกับอาเจียนออกมา พลันดวงตาของนางก็เบิกกว้าง “ซูหวานหว่าน เหตุใดมันถึงได้เค็มเช่นนี้ ?”
ซูหวานหว่านถึงกับส่ายหัวไปมา “จริงหรือ ?”
หลังจากนั้นนางก็ได้เติมน้ำไปหนึ่งทัพพีแล้วคีบเนื้อหนึ่งชิ้นขึ้นมากินแล้วพูดอย่างไร้เดียงสาว่า “เกลือก็ใส่พอดีแล้วนะ”
ให้ตายเถอะ! เมื่อครู่มันไม่ใช่ว่าพอดีเสียหน่อย? ตอนนั้นที่นางชิมมันยังไม่ได้เติมน้ำ!
ซูหวานหว่านจงใจแกล้งนาง หรือคิดว่านางโง่กันที่จะตามนางไม่ทันกัน?
ซูฉิงฉิงกัดฟันด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำเพียงแค่คิดในใจว่าซูหวานหว่านช่างโง่เสียเหลือเกิน
นางกำลังคิดที่จะคีบชิ้นเนื้อที่สอง แต่ทันใดนางก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากประตู “ฉิงฉิง เหตุใดถึงได้หายไปนานขนาดนี้กัน? รีบมาพูดคุยกับป้าเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าเจอมาในสองสามวันนี้หน่อยสิ”
แม่เจิ้นเดินเข้ามาหา ช่างเหมาะเจาะจริง ๆ! เพราะแค้นเมื่อครู่ที่ซูหวานหว่านได้แกล้งนางนั้นยังไม่ได้รับการแก้แค้นเลย!
ใบหน้าของซูฉิงฉิงเปื้อนด้วยความเศร้าเล็กน้อย พร้อมกับพูดออกมาอย่างคร่ำครวญว่า “อาสะใภ้สาม ข้าว่าวันนี้ข้ากลับก่อนดีกว่า ข้าไม่อยู่รอกินข้าวกับท่านแล้ว น้องหวานหว่านนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ชอบข้าสักเท่าใด…”