เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 - ตอนที่ 8 ต้นหลิวที่นิ่งสงบ
บทที่ 8 ต้นหลิวที่นิ่งสงบ
สตรีมักเป็นเพศที่ปากแข็งแต่ใจอ่อน…
“ต้าเฉียง…” แม่เจิ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ซูหวานหว่านใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นางมองแม่เจิ้นก่อนจะเหลือบตาไปเห็นแม่เฒ่าเจี๋ยที่กำลังเดินเข้ามา
“นังสารเลว ลูกชายของข้าต้องมาเป็นอย่างนี้ก็เพราะเจ้า! เร็วเข้าสิ นำปิ่นเงินนั่นออกมาแลกเงินเพื่อจ่ายค่ารักษาให้เขาซะ!!” แม่เฒ่าเจี๋ยส่งเสียงร้องคล้ายกับเสียงสุนัขหอนก็ไม่ปาน
แม่เจิ้นจับปิ่นเงินในห่อผ้าด้วยความลังเล ในเวลานี้นี่เป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ที่จะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ หากนางมอบสิ่งนี้แก่แม่เฒ่าเจี๋ย ลูก ๆ ของนางจะต้องหิวโหยจนอดตายเป็นแน่!
แต่หากไม่ให้…ซูต้าเฉียงจะเป็นเช่นไร?
“นำไปรักษาลูกของท่านอย่างงั้นเหรอ? แน่ใจเหรอว่าถ้าข้าให้ท่านไป ท่านจะเอามันไปรักษาลูกชายของท่านจริง ๆ พวกท่านไม่ได้ดูเหมือนคนที่มีจิตใจดีเลยนะ” ซูหวานหว่านกล่าววาจาถากถาง
ซูหวานหว่านรู้ดีว่าคนตระกูลซูจิตใจคับแคบเพียงใด โดยเฉพาะแม่เฒ่าเจี๋ย จิตใจของหญิงชรามีแต่ความสกปรกโสมม ไม่ง่ายเลยที่นางจะเกิดรักและเป็นห่วงซูต้าเฉียงขึ้นมา
แม่เฒ่าเจี๋ยที่ได้ยินดังนั้นก็โพล่งออกไปทันทีราวกับสุนัขที่ถูกเหยียบหาง พร้อมแว้งกัดคนอื่นไปทั่ว
“เด็กสารเลว! เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับย่าของเจ้าอย่างงั้นรึ หากเจ้าไม่ดูแลพ่อของเจ้าแล้ว นั่นก็นับเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องดูแล ข้าจะพาเขาไปรักษาหรือไม่ มันก็เรื่องของข้า!”
แม่เฒ่าเจี๋ยแว้ดออกมาด้วยความโมโห นางยกมือขึ้นหวังจะตบซูหวานหว่านให้เต็มแรง ทว่าซูหวานหว่านที่เดาได้ว่าแม่เฒ่าเจี๋ยจะลงมือกับตน นางจึงแกล้งกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น “ท่านย่าเสียสติไปอีกแล้ว!!”
ใบหน้าของซูหวานหว่านเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก หญิงสาวยกเท้าขึ้นและเหยียบเข้าไปที่เท้าของแม่เฒ่าเจี๋ยอย่างเต็มแรง
“โอ๊ยย” แม่เฒ่าเจี๋ยร้องคร่ำครวญ และเมื่อได้ยินท่านย่าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเช่นนั้น นางก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
ท่านย่าช่างเก่งกาจเสียจริง ๆ คราแรกก็หอนราวสุนัข หนนี้กลับขันเหมือนไก่เสียได้
ซูหวานหว่านเลิกสนแม่เฒ่าเจี๋ยแล้ววิ่งไปหาแม่ของตน นางนั่งลงข้าง ๆ ร่างของผู้เป็นพ่อเพื่อสำรวจอาการของเขา เมื่อนางเห็นใบหน้าของซูต้าเฉียงค่อนข้างคล้ำไปทางเหลืองและได้ยินเสียงร้องดังโครกครากจากท้อง หญิงสาวจึงได้ข้อสรุปว่า เขาแค่หมดสติไปเนื่องจากความหิว ไม่ใช่อาการบาดเจ็บใด ๆ ทั้งสิ้น
‘แม่เฒ่าเจี๋ย…ที่บอกว่ารักลูก จะรักษาลูกนี่โกหกทั้งเพ รักอย่างไรถึงปล่อยให้ลูกสลบไปเพราะความหิวเช่นนี้’
แม่เจิ้นหันไปหาลูกสาวที่กำลังทำหน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจ นางรับรู้ได้ว่าลูกสาวคิดในสิ่งเดียวกัน แม่เจิ้นจึงตัดสินใจพูดความจริงออกไป “ท่านแม่….จริง ๆ แล้วที่ต้าเฉียงเขาหมดสติไปมันเป็นเพียงเพราะเขาหิวมากเท่านั้นเอง แค่พาเขาไปพักผ่อน ทำอาหารให้เขากินเขาก็จะฟื้นขึ้น วันนี้ข้าและหวานหว่านต้องเข้าไปในเมือง เกรงว่าคงไม่มีเวลามากพอกับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าขอตัว เอาล่ะลูกไปกันเถอะ” พูดจบก็หันไปหาลูกสาวและนำตัวเองออกมาจากสถานการณ์อันแสนวุ่นวาย
แม่เฒ่าเจี๋ยได้ยินดังนั้นจึงโกรธมาก นางเท้าสะเอวอย่างแรง
“เขาจะหมดสติไปเพราะหิวได้อย่างไรกัน? เห็นอยู่ชัด ๆ เลยว่าเขากำลังจะตาย! ทำไมเจ้ายังไม่นำเงินมารักษาเขาอีก พวกเจ้าจะเฉไฉหาว่าข้าดูแลเขาไม่ดีอย่างนั้นหรือ!”
แม่เฒ่าเจี๋ยสั่งให้คนของตระกูลซูที่ติดตามมากดแม่เจิ้นให้ทรุดนั่งอยู่กับพื้น จากนั้นก็รีบกุลีกุจอเข้ามารุมสอดมือเข้าไปในห่อผ้าเพื่อควานหาปิ่นปักผม
ตระกูลซูขึ้นชื่อเรื่องความไร้ยางอาย สิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติ…
“โอ๊ย!! ข้าเจ็บนะ” แม่เจิ้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจากการโดนกดอย่างรุนแรง ไม่นานนักพวกเขาก็หยิบห่อนั้นขึ้นมาได้และรีบนำไปให้แม่เฒ่าเจี๋ย
แม่เฒ่าเจี๋ยยิ้มอย่างผู้มีชัยตอนที่ได้รับห่อผ้ามาแล้ว ทว่ารอยยิ้มบนหน้านางกลับมลายหายไปเมื่อเปิดห่อออก
“นี่มันอะไรกันเนี่ย!! ทำไมถึงกลายเป็นเพียงมีดเล่มนึงเท่านั้น นังสารเลว ปิ่นปักผมเงินของข้าอยู่ที่ใด! เอาคืนมาเดี๋ยวนี้!!” แม่เฒ่าเจี๋ยตะคอก
“ปิ่นเงินนั่น… ข้ามั่นใจว่าใส่มันลงไปแล้ว!” ใบหน้าของแม่เจิ้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทั้งยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า จะเป็นมีดไปได้อย่างไรในเมื่อนางเป็นคนใส่ปิ่นลงในห่อนั่นเองกับมือ
แม่เจิ้นจะสงสัยก็ไม่แปลกหรอก เพราะคนที่เปลี่ยนปิ่นปักผมให้เป็นมีดไม่ใช่นางแต่เป็นซูหวานหว่านต่างหาก
“ปิ่นเงินบ้าอะไรล่ะ แหกตาดูดีดี!” พูดจบแม่เฒ่าเจี๋ยก็โยนมีดไปทางแม่เจิ้น มีดเล่มนั้นพุ่งตรงไปยังหน้าของนาง แม่เจิ้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ซูหวานหว่านเห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้ายกมือขึ้นมาปัดมีดออกไปเพื่อปกป้องแม่ของตน คมมีดสร้างบาดแผลลึกบนมือของซูหวานหว่าน เลือดสีแดงสดไหลออกจากบาดแผลไหลไล่ลงมาตามข้อมือ นางนิ่วหน้าเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด
“หวานหว่าน!” แม่เจิ้นกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นเลือดไหลออกมาจากบาดแผลของลูกสาว ความโกรธของแม่เจิ้นทำให้นางลุกขึ้นและตรงเข้าไปผลักแม่เฒ่าเจี๋ยอย่างแรง แต่ด้วยความต่างของขนาดตัว แม่เฒ่าเจี๋ยจึงแค่เซไปเล็กน้อยเท่านั้นส่วนตัวของนางนั้นกลับเซถอยหลังจนล้มลง
“สมน้ำหน้า! สวรรค์ได้ลงโทษเจ้าแล้ว! กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายผู้อาวุโส!” แม่เฒ่าเจี๋ยพูดพร้อมถกแขนเสื้อขึ้นแสดงท่าทางจริงจังราวกับจะฆ่าจะแกงแม่เจิ้นเสียให้ได้
แม่เจิ้นลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโสที่เอาแต่รังแกผู้น้อยอย่างท่าน ข้าไม่นับว่าเป็นผู้อาวุโสหรอก!”
แม่เจิ้นตัดสินใจที่จะต่อกรกับคนตระกูลซู ความคับข้องใจตลอดหลายปีที่ผ่านได้ปะทุออกมาในวันนี้ นางรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นอย่างน่าประหลาด
ซูหวานหว่านมองไปที่แม่ของตนด้วยความยกย่องเหลือคณานับ ในที่สุดท่านแม่ของตนก็ลุกขึ้นมาต่อสู้กับพวกคนเลวซะที!
ฮวงชุ่นเจินกรอกตาอย่างเบื่อหน่ายเมื่อเห็นว่าแม่เฒ่าเจี๋ยไม่สามารถจัดการสถานการณ์ตอนนี้ได้ “เอาล่ะ!! หากเจ้ากล้าที่จะทำร้ายแม่ของข้า ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสของการถูกตีว่ามันเป็นอย่างไร!!”
ซูหวานหว่านเตะก้อนหินไปทางฮวงชุ่นเจินอย่างหมั่นไส้ หญิงร่างท้วมที่หน้ามืดเพราะความโกรธปรี่เข้าไปหาแม่เจิ้นจนไม่ได้สังเกตก้อนหินที่กลิ้งมา ทำให้นางสะดุดล้มไปกองอยู่กับพื้นอีกรอบ ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาอย่างชอบใจโดยไม่ปิดบัง “หมูป่าสะดุดล้มมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ช่างเป็นบุญตาเสียจริง ๆ ที่ได้เห็น”
ชาวบ้านที่ดูเหตุการณ์อยู่รอบ ๆ ต่างหัวเราะขบขันตามไปด้วย บางส่วนยังกล่าวยุยงให้เกิดการต่อสู้ จนกระทั่งหัวหน้าหมู่บ้านได้ปรากฏตัวขึ้น เมื่อแม่เฒ่าเจี๋ยหันไปเห็นจึงโวยวายออกมา “ฮืออ! ลูกของข้า…ข้าเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ มิหนำซ้ำยังเก็บเงินแทบตายเพื่อให้เขาแต่งภรรยา แต่ใครมันจะไปคิดล่ะว่า ลูกสะใภ้ของข้าจะทุบตีข้าเช่นนี้ ฮืออ สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเลย”
แม่เฒ่าเจี๋ยแกล้งคร่ำครวญทันทีเมื่อรับรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านมา
คิดว่าเสแสร้งได้คนเดียวงั้นหรือ?
ซูหวานหว่านทิ้งตัวลงบนพื้นแทบเท้าอวบอ้วนของสตรีร่างท้วม นางร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านป้าได้โปรดช่วยท่านพ่อของข้าที เขาไม่ได้กินข้าวครบสามมื้อ หรือนอนหลับดีมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้บ้านของข้าไม่อาหารเหลือแม้แต่ข้าวสักเม็ดหรือผักสักใบ เช่นนี้จึงทำให้พ่อของข้าเป็นลมล้มลง ได้โปรดเถิด ช่วยท่านพ่อข้าด้วย”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้แล้วว่าซูหวานหว่านและพี่น้องของนางได้เก็บผักป่ากินเพื่อประทังชีวิต แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าครอบครัวของพวกนางจะน่าสงสารถึงเพียงนี้!!
“โอ้โห…ท่านป้า ทำไมขาของท่านถึงหนาเพียงนี้ ท่านเป็นหมูหรืออย่างไรกัน แต่ก็ไม่น่าใช่ จากที่ข้าได้ยินท่านพ่อของข้าพูดถึงหมู มันก็ไม่น่าจะอ้วนได้ขนาดนี้นะ!” หญิงสาวพูดต่อด้วยท่าทีที่กวนประสาท
ฮวงชุ่นเจินโกรธจนเลือดขึ้นหน้า หล่อนง้างมือขึ้นหมายจะตบเข้าที่หน้าของหญิงสาว ทว่าไม่ทันที่จะลงมือหัวหน้าหมู่บ้านก็เข้ามาห้ามเสียก่อน “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” ท่านหัวหน้าหมู่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
ฮวงชุ่นเจินดึงมือกลับอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก ซูหวานหว่านรีบวิ่งไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน และ ‘บังเอิญ’ เหยียบเท้าหญิงอ้วนตอนวิ่งผ่าน “ท่านปู่! ท่านปู่ต้องช่วยพวกเรานะเจ้าคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากเดิม
ระหว่างนั้นนางก็เผลอไปสบตากับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สายตาของเขานุ่มลึกเฉกเช่นดวงดาวนับพันที่ส่องแสงเปล่งประกายงดงามกระทบผืนทะเลกว้าง ความรู้สึกอันคุ้นเคยทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัว ใช่เขาหรือไม่?
“เราจะแก้ไขปัญหากันอย่างไรดี?” ท่านหัวหน้าหมู่บ้านไม่สนใจซูหวานหว่าน ทว่ากลับหันไปถามชายหนุ่มผู้นั้นแทน
“อย่างแรก…ลองดูจากสถานการณ์โดยรวมดู จากนั้นค่อยสรุปว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะสิ่งที่เห็นและได้ยินมาจะจริงหรือเท็จ เราไม่สามารถรรับรู้ได้ อีกทั้งเราจะไม่ฟังความข้างเดียวเพราะนั่นมันไม่ยุติธรรมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นเราควรจะเข้าใจในสถานการณ์จริง ๆ ให้ดีนี้ถึงจะตัดสินใจได้”
“อืม…ใช่แล้ว” หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับความคิดเห็นของชายหนุ่ม และอนุญาตให้ทั้งสองแม่ลูกออกเดินทางไปทำธุระก่อนได้ ส่วนทางนี้เขาจะจัดการเอง
แม่เจิ้นรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยด้วยความเกรงใจที่ต้องรบกวนท่านหัวหน้าหมู่บ้านให้จัดหาอาหารให้กับซูต้าเฉียง แต่ตนก็มีธุระจะต้องไปทำ จึงได้เพียงขอบคุณและเอ่ยขอตัว
ซูหวานหว่านเองก็รู้สึกขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านและชายหนุ่มไม่น้อย พวกเขาช่วยนางแก้ปัญหาได้ดีจริง ๆ
หลังจากที่ออกเดินทางมาได้สักพัก ซูหวานหว่านหลับตาพักผ่อนด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าจากเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทว่ากลับได้ยินเสียงใครบางคนพูดถึง ‘คุณชายฉี’ จึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ นางแสร้งหลับตาอยู่ราวกับไม่ได้สนใจเรื่องที่ได้ยิน
“คุณชายฉีน้ำใจกว้างยิ่งนัก เมื่อวานข้าไหว้วานให้เขาเขียนจดหมายให้ข้า”
“หืม ฉีเฉิงเฟิงเขาทั้งรูปงาม ทั้งปราดเปรื่องขนาดที่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านช่วยเหลือสนับสนุนเลี้ยงดูให้เขาเป็นบัณฑิตประจำหมู่บ้านเชียว ว่าแต่เจ้าชอบเขาหรือ~”
“มะ…ไม่มีทาง!”
“…”
ใบหน้าของหญิงสาวขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
ซูหวานหว่านอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางลืมตาขึ้นและมองไปยังหญิงสาวแปลกหน้าทั้งสอง พลันความคิดแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นในใจ
หรือว่า… นางจะชอบฉีเฉิงเฟิงเข้าให้แล้ว?!
บ้า!
บ้าไปแล้ว!
เป็นไปไม่ได้!
ใครมันจะไปตกหลุมรักคนพรรค์นั้นกัน!
ซูหวานหว่านล่ะอยากทึ้งหัวตัวเองเสียให้ได้ นางกำลังคิดอะไรก็ไม่รู้ หญิงสาวสะบัดหัวอย่างแรงหวังไล่ความคิดไร้สาระออกไป
แม่เจิ้นสังเกตเห็นว่าลูกสาวของหล่อนกำลังสะบัดหัวไปมาจนกลัวเหลือเกินว่าหัวลูกสาวอาจหลุดออกจากบ่า ทั้งยังขมวดคิ้วแน่นเหมือนคิดกังวลเรื่องอะไรสักอย่าง จึงเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง
“หวานหว่าน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ห๊ะ! ข้าไม่เป็นไรท่านแม่…” ซูหวานหว่านส่ายหัวเชิงปฏิเสธ
“ถ้าไม่เป็นอะไรก็หยุดส่ายหัวเสียเถอะ เดี๋ยวคอจะเคล็ดเอา…”
ซูหวานหว่านหยุดส่ายหัวตามที่ผู้เป็นแม่บอก ก่อนจะสังเกตเห็นว่าตอนนี้พวกนางสองแม่ลูกรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเนื่องจากไม่ต้องนั่งแออัดกับผู้ร่วมทางคนอื่นในเกวียน เหตุเพราะไม่มีใครอยากเข้าใกล้พวกนางเท่าใดนัก ซูหวานหว่านก้มมองดูสารรูปของตนเองที่สวมใส่เสื้อเก่าซอมซ่อที่มีแต่รอยปะเย็บเต็มไปหมด อีกทั้งกลิ่นตัวเปรี้ยวก็ลอยแตะจมูกอีก อืม… สมควรที่ผู้คนจะตีตัวออกห่าง… หากไม่บอกว่าสองแม่ลูกมาจากในหมู่บ้านแล้วล่ะก็ พวกนางคงโดนไล่ตะเพิดเพราะคิดว่าเป็นขอทานแน่ ๆ
ครู่ใหญ่ เกวียนวัวได้เคลื่อนผ่านประตูหมู่บ้านและชะลอลงเพื่อรับผู้ร่วมทางเพิ่ม ทันใดนั้นซูหวานหว่านก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดสีเหลืองตัวยาว เกล้าผมแกละทรงซาลาเปาสองข้างประดับผมด้วยลูกปัดสีชมพูสวย
ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความงามของแม่หญิงตรงหน้า เมื่อซูหวานหว่านได้เงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาวสวยตรงหน้า กลับกลายเป็นว่าหญิงสาวสวยตรงหน้ากำลังส่งสายตามองมาที่นางด้วยท่าทางดูถูก
“นี่มันซูหวานหว่าน อะไรกันพวกเจ้ากำลังจะเข้าไปในเมืองกันอย่างงั้นหรือ? หึ พวกเจ้ามีเงินจ่ายค่ารถด้วยรึ ลงมาเถิด ให้ข้านั่งแทนเสียดีกว่า ข้าไม่อยากร่วมเดินทางกับคนอย่างพวกเจ้า”
“เหม็นสาบคนจน!”
ซูหวานหว่านถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
คนเหล่านี้จะไม่ให้นางกับท่านแม่พักหายใจเลยหรือ…?