เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 10 เมืองฝานลั่ว
อาศัยจังหวะที่ท้องฟ้ายังไม่มืด หลินซือเย่ารีบพาซูสุ่ยเลี่ยนร่อนลงสู่ทางเล็กๆ บนท้องนาอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ชาวนาต่างเก็บเครื่องมือทำนากลับบ้านกันแล้ว ไม่อย่างนั้นได้เห็นภาพนี้เข้า ไม่รู้จะตกใจขวัญหนีดีฝ่อกันอย่างไร นี่มันคนกำลังวิ่งที่ไหน มันเหมือนผีกำลังลอยชัดๆ ด้านหลังยังมีสัตว์ประหลาดขนสีขาวราวหิมะอีกสองตัว
ก็ช่างน่าอึดอัดใจสำหรับเขาและนางโดยแท้ ชายชุดดำประหลาดอุ้มซูสุ่ยเลี่ยนที่แต่งกายประหลาดไม่ต่างกัน ไม่ใช่ความผิดหลินซือเย่าที่มองไกลๆ แล้วเหมือนกับวิญญาณผีขาวๆ รูปร่างประหลาด ยิ่งไม่ใช่ความผิดของลูกหมาป่าสองตัว
เอาละ ตอนนี้คงเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซูที่ตกงานแล้ว นางไม่ควรละโมบกับความสะอาด จึงฉีกชุดตัวนอกที่เปื้อนเลือดของหลินซือเย่าทิ้ง ไม่ควรรังเกียจที่ไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหลายวันจึงต้องไปตัดเอาเสื้อตัวกลางตัวนอกพวกนั้น และยิ่งไม่ควรละโมบผลไม้ป่ารสเปรี้ยวหวาน หนังเสือนุ่มอบอุ่นกับแหเถาวัลย์ที่เสียเวลาถักอยู่นาน จนต้องบังคับให้ลูกหมาป่าที่ยังไม่โตดีต้องมาแบกเอาไว้
“หรือว่า จากนี้ข้าไปต่อเอง” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ามองใบหน้าหลินซือเย่าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ รู้สึกละอายอยู่บ้าง หน้าร้อนเช่นนี้ยังถึงกับให้เขาอุ้มนางมาทั้งวันเช่นนี้ได้
หลินซือเย่าหลุบตาลงมองนาง ให้นางไปต่อเอง ก็หมายถึงแยกกันไป จะเร่งเดินทางไปถึงก่อนโรงเตี๊ยมปิดได้หรือไม่ยังไม่รู้ แต่ว่าจะพานางเร่งเดินทางต่อไปเช่นนี้ก็ไม่อาจทำได้ หมู่บ้านที่ใกล้ที่นี่ที่สุดก็อีกไม่ไกล เกิดถูกชาวบ้านพบเห็นว่านางถูกตนเองกอดเอาไว้ ก็คงทำลายชื่อเสียงวันหน้าของนาง
ขณะกำลังขมวดคิ้วอย่างนึกลำบากใจ ก็ได้ยินเสียงรถม้าดังแว่วมาเหมือนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ลี้ เขารีบหยุดเหินทะยานทันที หลังจากอุ้มนางหมุนวนกับที่หลายรอบแล้วก็วางนางลง
ซูสุ่ยเลี่ยนถูกเขาพาหมุนวนจนเวียนหัว พอเหยียบลงพื้นก็เกือบล้มลง หลินซือเย่าใช้แรงกระชากเข้าสู่อ้อมกอดตน “ระวังหน่อย” เสียงแหบพร่ากระซิบอยู่เหนือศีรษะนาง
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็ทั้งอับอายและโมโห ให้นายปล่อยฉันลงก็ไม่จำเป็นต้องหยุดความเร็วกระทันหันทันทีเช่นนี้นี่ ไม่รู้ว่ามันเวียนหัวหรืออย่างไร ยังจะมาบอกว่าระวังหน่อยอีก เหมือนกับว่าสาเหตุเป็นเพราะฉัน ฉันถูกนายกอดเอาไว้โอบเอาไว้ จะให้ระวังอย่างไรอีกล่ะ!
แต่ด้วยนิสัยเดิมของนางที่เป็นคนอ่อนโยนและคล้อยตาม ทำให้นางได้แต่โมโหทว่าไม่กล้าพูดอะไรอย่างไรเขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไร เป็นนางที่ไม่ได้เรื่องเอง หมุนแค่รอบสองรอบก็หัวหมุนจับทิศทางไม่ถูก
ครั้งนี้หลินซือเย่าไม่ทันได้สังเกตสีหน้าอับอายและโมโหของนาง มัวแต่สนใจเสียงรถม้าที่ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คิดจะก้าวเข้าไปขวางไว้ขอให้พาพวกเขาสองคนและสุนัขสองตัวเข้าเมืองอย่างสะดวก
“อู้ว” คนขับรถม้าอาศัยแสงสลัวๆ มองเห็นคนขวางรถก็ตกใจ น่าจะเป็นคนที่คิดจะอาศัยรถม้าตนเองเข้าเมือง มีคนทำเช่นนี้มีมากมาย ทุกวันไม่รู้มีมากมายเท่าไร นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ แล้ว แม้ว่าตอนนี้จะสงบสุขมาหลายปี ทำให้ทหารเฝ้าประตูเมืองเริ่มขี้เกียจ เริ่มออกมาปิดประตูเมืองหลังเที่ยงคืนไปแล้ว แต่หากยังไม่รีบเข้าเมืองอีก โรงเตี๊ยมที่มีอยู่ไม่เกินห้าแห่งในเมืองก็คงมีแขกจองพักกันเต็มไปหมดแล้ว เห็นหนุ่มสาวสองคนแต่งกายประหลาด มั่นใจว่าไม่ใช่คนในพื้นที่
พอวิเคราะห์ได้เช่นนี้ คนขับรถก็กล้าพอที่จะหันไปตะโกนบอกพวกซูสุ่ยเลี่ยน “ทั้งสองท่านคิดจะอาศัยรถหรือ ได้เลย สามสิบอีแปะ วันนี้ข้าจะพาพวกท่านเข้าไป”
สายตาหลินซือเย่าเย็นเยียบ กำลังคิดจะเข้าไปถีบเขาแล้วแย่งรถ กลับถูกวาจาแฝงความยินดีของซูสุ่ยเลี่ยนยั้งไว้ “มี สามสิบอีแปะใช่ไหม ได้ๆ พวกเราขึ้นไปกันเถอะ เสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ย เร็วหน่อย”
คนขับรถม้าได้ยินก็อึ้งไปทันที อะไรนะ ไม่ใช่แค่สองคนหรือ จากนั้นก็มีแสงวาบสีขาวสองสายพุ่งมาตรงหน้าพอ พอตั้งสติมองดูให้ชัด เป็นสุนัขสีขาวปลอดสองตัวที่แบกอะไรไว้บนหลังอีก ทำเอาตกใจลงนั่งแผละกับพื้นรถทันที
ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้ม ลากหลินซือเย่าเข้าไปในรถม้า จากนั้นก็ปลดห่อผ้าบนหลังหลินซือเย่าลง ควักเอาเศษก้อนเงินเล็กๆ ในนั้นออกมาก้อนหนึ่ง ส่งให้คนขับรถ “พี่ชาย พอไหม”
คนขับรถ รับไปดูถึงกับเป็นก้อนเงินแท้ๆ ราคาเกินร้อยอีแปะเลยทีเดียว ก็ยิ้มแย้มดีใจกล่าวว่า “พอ พอ พอ เพียงพอแล้ว ทุกท่านนั่งให้ดีๆ ข้าจะออกรถแล้ว”
หลินซือเย่าเปล่งประกายเยียบเย็นรอบกายยิ่งหนักขึ้น ไม่ได้โมโหที่ซูสุ่ยเลี่ยนให้เงินคนขับรถ แต่เพราะประกายสังหารที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของตนเอง
ก้มหน้าหลุบตามองดูสองมือที่เปื้อนเลือดจนยากจะล้างสะอาดของตนเองแล้ว ตนและนางต่างกันราวฟ้ากับดิน คิดเช่นนี้แล้ว รอบกายหลินซือเย่าก็มีประกายเยียบเย็นแผ่กำจายออกมาอีกครั้ง ทำเอาลูกหมาป่าสองตัวตกใจก่อนจะนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่กับที่อย่างว่านอนสอนง่าย ไม่กล้าไปออดอ้อนเอาใจซบอกซูสุ่ยเลี่ยนอีก
“เจ้า…ไม่เป็นไรใช่ไหม” พอขึ้นรถมา ซูสุ่ยเลี่ยนก็มองสีหน้าอึมครึมเคร่งเครียดจมอยู่ในภวังค์ความคิดของหลินซือเย่าอย่างรู้สึกเป็นห่วง ยังคิดไปว่าเพราะเขาอุ้มนางมาทั้งวันจึงเหนื่อยมากไป อย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกแรงวิ่งทะยานหลังจากหายป่วย กลัวว่าจะกระทบกระเทือนอาการบาดเจ็บเขาอีก นางไม่ได้คิดอันใดมาก เอื้อมมือออกไปแตะหน้าผากเขา
การกระทำของนางทำให้หลินซือเย่าได้สติ มองดูสายตาเป็นห่วงของนางแล้วก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร” ค่อยๆ ดึงมือนางลง ความอ่อนโยนของปลายนิ้วสัมผัสทำให้เขาพยายามเก็บงำกลิ่นอายสังหารและความเย็นเยียบที่ตนเป็นประกายออกมารอบตัวกลับคืนไป กลัวจะทำให้นางตกใจ
ลูกหมาป่าสองตัวตอนนี้หากอ่านใจคนได้จริง ก็คงกำลังตะโกนโต้ว่า ‘พี่ชาย พี่ทำพวกเราตกใจต่างหาก เจ้านายไม่ได้รู้สึกอะไรกับกลิ่นอายสังหารของพี่เลย ตกลงไหม’
……
เดินทางมาได้ราวสามชั่วยาม ซูสุ่ยเลี่ยนก็รู้สึกว่าความเร็วของรถมาเหมือนจะผ่อนลง เลิกผ้าม่านในรถม้าขึ้นโผล่หน้าออกไปมองข้างนอกอย่างอยากรู้อยากเห็น
“โอ งามจริง” ซูสุ่ยเลี่ยนอุทานขึ้นก่อนจะแอบนึกในใจต่อว่า เทียบกับภาพริมฝั่งแม่น้ำในฤดูกาลชิงหมิงที่ตนปักผืนนั้นแล้ว มีแต่เหนือกว่าอย่างไม่ต้องคิดเปรียบเทียบ
หลินซือเย่าได้ยินก็แอบขมวดคิ้ว ก็แค่เมืองเล็กๆ ห่างไกลความเจริญ ควรแค่แก่การอุทานชื่นชมของนางเช่นนี้หรือ หรือว่าบ้านเดิมของนางเทียบกับเมืองเล็กๆ นี่ยังไม่ได้?
ซูสุ่ยเลี่ยนกลับจมจ่อมอยู่กับแสงสีเสียงสว่างไสวของเมืองฝานลั่ว
ที่นี่แม้ว่าไม่ได้คึกคักและรุ่งเรืองเหมือนเทศกาลตามท้องถนนในเมืองซูโจว แต่มีบรรยากาศพิเศษอย่างหนึ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่ามีความเรียบง่ายที่บอกไม่ถูก ใช่แล้ว ที่นี่ล้าหลังกว่าเมืองซูโจวในปีสาธารณรัฐที่ 23 แต่ความล้าหลังไม่ได้ยากจะยอมรับได้ ในทางตรงกันข้าม ชีวิตในป่าสามเดือนที่ผ่านมา ทำให้ซูสุ่ยเลี่ยนยิ่งตื่นตาตื่นใจกับความคึกคักบนท้องถนนในยามนี้
น่าจะกลัวว่าต้องตกไปอยู่ในที่ที่ไร้ผู้คนอีกครั้งเป็นแน่ นางแอบหัวเราะขำตัวเอง
“นายท่าน นี่ก็ถนนที่คึกคักที่สุดในเมืองฝานลั่ว วันนี้เป็นวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด ท้องถนนคึกคักพอควรเลย อีกสักพักก็คงลอยโคมดอกบัวกับเทพท่องราตรี พวกท่านอยากจะลงตรงนี้ไปเดินเล่นหรือว่าจะให้ข้าพาไปถึงหน้าโรงเตี๊ยมเลย” คนขับรถลากบังเหียนรถม้า “อู้ว์” หันกลับไปเลิกม่าน มองไปทางซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าแล้วถามขึ้น ได้รับค่าตอบแทนสูงเช่นนี้ย่อมต้องบริการให้ถึงที่
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็หันไปมองหลินซือเย่า นางไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ย่อมยากที่จะตัดสินใจ
หลินซือเย่ารับรู้ได้ถึงคำถามไร้เสียงที่นางส่งต่อมา จึงออกคำสั่งไปยังคนขับรถ “โรงเตี๊ยมสิงไหล”
“ได้เล้ย~” คนขับรถได้รับคำสั่ง ก็รีบยกแส้ขึ้นทันที “อู้ว์!” รถม้าค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปยังถนนสายหลักเมืองฝานลั่ว
ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังพิงหน้าต่างมองสิ่งของต่างๆ บนท้องถนนที่ขายกันอย่างคึกคักด้วยความเพลิดเพลินตื่นเต้น ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวที่คนขับรถแนะนำเมื่อครู่ รีบหันกลับไปถามหลินซือเย่าที่นั่งหลับตาอยู่อย่างไม่เข้าใจว่า “อะไรคือวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด? แล้วลอยโคมดอกบัวกับเทพท่องราตรีคืออะไร”
หลินซือเย่าได้ยินก็ลืมตาขึ้น สบตากับสองตาเป็นประกายของซูสุ่ยเลี่ยน สองตาลุ่มลึก หากสองแก้มร้อนขึ้นอย่างไม่ทันรู้สึก
“เทศกาลคู่รัก” หลินซือเย่าอธิบายขึ้น “เจ้าอยากไปไหม” เขามองใบหน้าตื่นเต้นของซูสุ่ยเลี่ยนก่อนจะหลุดถามออกไป
“อืม!” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ มองหลินซือเย่าอย่างวาดหวัง ถามอ่อนโยนว่า “ได้ไหม”
หลินซือเย่าอดพยักหน้าไม่ได้ จากนั้นก็พบว่าตนเองเหมือนไม่อาจปฏิเสธคำขอของนางได้เลย
“ดีจัง” ซูสุ่ยเลี่ยนเผยรอยยิ้มกว้างงดงามที่แทบทำบรรยากาศรอบกายไร้สีสันไปเสียสิ้น ตามมาด้วยการดึงแขนเสื้อหลินซือเย่าอย่างไม่ทันรู้ตัวกล่าวว่า “ขอบคุณ”
หลินซือเย่าจ้องมองมือนางที่เขย่าแขนเสื้อตนไปมา ก่อนจะตกสู่ห้วงภวังค์
……
“สองห้องชั้นบน อีกหนึ่งก้านธูป น้ำร้อนอาหาร เสื้อผ้าชายหญิงสองชุด” ในโรงเตี๊ยมสิงไหล เสี่ยวเอ้อร์หน้าตายิ้มแย้มเพิ่งจะเชื้อเชิญซูสุ่ยเลี่ยนเข้ามาได้ ก็ได้ยินหลินซือเย่าสั่งเสียงเย็นเยียบเป็นชุด
“ได้เล้ย~ นายท่านเชิญชั้นบน จะรีบไปจัดการตามคำสั่งนายท่านทันที! อาเฟิง นำแขกสองท่านขึ้นไป ห้องระดับหนึ่งสองห้อง” เสี่ยวเอ้อร์ดีใจรับเงินมัดจำการเข้าพักเป็นเศษก้อนเงินจากซูสุ่ยเลี่ยน ได้ยินเสียงแขกทั้งสองบอกว่าต้องการน้ำร้อน อาหาร และยังมีเสื้อผ้า สีหน้าก็ยินดียิ่งขึ้น เช่นนี้ ตนเองก็จะทำกำไรได้อีกหลายอีแปะแล้ว
หลินซือเย่าไม่สนใจอีก เดินนำซูสุ่ยเลี่ยนกำลังจะขึ้นชั้นบน
“โอ นายท่านทั้งสอง คือว่า…ร้านข้าน้อยมีธรรมเนียม สุนัขหมาแมวพวกนี้ไม่ให้เข้าร้าน หรือว่าข้าน้อยช่วยนายท่านทั้งสองจูงไปเลี้ยงหลังร้าน?” เสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังเรียกแขกเข้าพักอย่างยินดี พอหันไปเห็นสุนัขสีขาวปลอดสองตัวแบกตะกร้าผลไม้ไว้บนหลังก็รู้สึกเอ็นดู แต่ธรรมเนียมร้านก็ไม่อาจละเมิด ได้แต่ตะโกนเรียกให้ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าที่กำลังจะขึ้นชั้นบนหยุด ก่อนจะก้มกายขออภัย
ซูสุ่ยเลี่ยนเม้มปาก ในใจก็รู้ว่าหากจะให้ลูกหมาป่าสองตัวเข้าไปนอนในห้องก็คงยาก ขณะลำบากใจอยู่นั้นเอง
“ทำตามที่เจ้าบอกละกัน” หลินซือเย่าทิ้งท้ายก่อนจะดึงซูสุ่ยเลี่ยนขึ้นชั้นบน ก่อนไปยังส่งสายตากำราบลูกหมาป่าสองตัว ลูกหมาป่าสองตัวรีบตามเสี่ยวเอ้อร์โรงเตี๊ยมด้านหลังร้านทันทีอย่างรู้ความ โบร๋ว โบร๋ว โบร๋ว เจ้านายเอ๋ย พวกเราน่าสงสารจริงนะ คิดจะนอนกอดเจ้านายสักหน่อย แต่ชายใจร้ายผู้นี้ก็น่ากลัวมากจริงๆ พวกเราสู้เขาไม่ได้ โบร๋ว โบร๋ว โบร๋ว
“นายได้ยินเสียงร้องเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนหยุดเท้า เอียงหน้าฟังครู่หนึ่ง หันไปถามหลินซือเย่า “เจ้าได้ยินไหม”
“ไม่ได้ยิน” หลินซือเย่าตอบโดยไม่ต้องคิดเลย “เจ้าหูแว่ว” ก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนต่อ
ครั้งนี้ไม่มีคนขวางพวกเขาเดินขึ้นห้องพักชั้นบนแล้ว