เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 102 ความจริงแสนซึ้ง
“ซวี่เอ๋อร์…ลำบากเจ้าแล้ว…ฮือๆๆ…” พระชายาจิ้งเฟยกล่าวจบก็คิดจะกอดซูสุ่ยเลี่ยนที่พิงหัวเตียงอยู่ แต่กลัวว่านางไม่ยอม ได้แต่ยืนเช็ดน้ำตาป้อยๆ อยู่ข้างกายท่านอ๋องจิ้ง ตั้งแต่รู้ว่าซูสุ่ยเลี่ยนก็คือลูกสาวนางที่เฝ้าคิดถึงหลังจากจากไปหลายปีตั้งแต่แบเบาะ นางเอะอะอะไรก็เอาแต่ร้องไห้“เฮ้อ ทุกอย่างโทษข้าเองที่ตอนนั้นตรวจสอบไม่ละเอียดพอ ไม่คิดว่าเจ้าจะถูกฟางฉิงพาไป” ท่านอ๋องจิ้งถอนหายใจกล่าวเบาๆ แม้ว่าลูกสาวตรงหน้าที่ไม่ได้พบกันสองปี แต่งงานและกำลังจะมีลูกแล้วไม่ได้เย็นชาเหมือนกับเมื่อสองปีก่อนที่ได้พบกันในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า นางจะยอมรับบิดามารดาแท้ๆ ได้อย่างง่ายดาย
“แค่ก…คือว่า…ข้า…” ซูสุ่ยเลี่ยนเดิมคิดว่าอ้างเพราะนางความจำเสื่อมจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับบิดามารดาเบื้องหน้านี้อย่างไร
กลับถูกเฟิงไฉ่อวิ้น กล่าวตำหนิตัวเองแทรกขึ้นอย่างร้อนใจว่า “เด็กดี แม่รู้ว่าเจ้าลำบาก ความผิดทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของพวกเราเอง อย่าได้นึกโทษตัวเอง นะ? แม่ก็ช่างเลอะเลือน ไม่ควรกล่าวเรื่องพวกนี้กับเจ้าตอนนี้ ยังอยู่ไฟหลังคลอดไม่ควรคิดเรื่องที่ทำให้ต้องเปลืองน้ำตาที่สุด เด็กดี อยู่ไฟไปดีๆ พ่อกับแม่ไม่บีบบังคับเจ้า ยอมรับพวกเราหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า”
“ใช่แล้ว ซวี่เอ๋อร์ ขอเพียงเจ้ายินยอม คิดอยากอยู่ที่ไหน คิดอยากทำอะไร พวกเราสนับสนุนอย่างไร้เงื่อนไข เรื่องยอมรับวงศ์ตระกูลก็ตามแต่เจ้าตัดสินใจ ขอเพียงไม่ปฏิเสธให้พวกเราต้องรอหน้าบ้าน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เจ้าพอใจ” เหลียงเสวียนจิ้งก็รีบพยักหน้าสำทับอย่างเห็นด้วย
ชีวิตนี้ของเขามีลูกชายลูกสาวไม่น้อย แต่กับภรรยาเอกนี้มีเพียงคนเดียว แม้ในใจจะร้อนใจอยากให้ ซูสุ่ยเลี่ยนยอมรับวงศ์ตระกูลโดยเร็ว แต่ก็รู้ถึงปมในใจของนางดี ดังนั้นตลอดทางมาที่นี่ก็หารือกับเฟิงไฉ่อวิ้นแล้ว ขอเพียงลูกสาวยอมให้อภัยพวกเขา ยอมรับวงศ์ตระกูลหรือไม่ ล้วนฟังความยินยอมของนาง พวกเขาไม่บังคับเด็ดขาด
ซูสุ่ยเลี่ยนสบตากับหลินซือเย่าอย่างแปลกใจ ไม่ใช่ร่ำลือกันว่าท่านอ๋องผู้เฒ่าจวนอ๋องจิ้งแห่งเมืองหลวงเอาแต่ใจและวางอำนาจหรือ ทำไมภาพตรงหน้าจึงต่างจากคำร่ำลืออย่างสิ้นเชิง
หลินซือเย่าย่อมเดาความคิดในใจซูสุ่ยเลี่ยนออก ได้แต่เลิกคิ้วอย่างนึกขำ กุมมือนางไว้อย่างอ่อนโยน “อย่าคิดมาก เรื่องอะไรก็ให้อยู่ไฟครบกำหนดก่อนค่อยว่ากัน”
ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า กล่าวกับท่านอ๋องผู้เฒ่ากับพระชายาเฒ่าด้วยสีหน้าจริงใจน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คือว่า…ที่นี่สู้จวนอ๋องไม่ได้ หาก…ขาดเหลืออะไร ขอท่านโปรดบอกมาได้เลย หรือพวกท่านอยากจะรีบกลับเมืองหลวง?” แม้ว่าในตอนนี้จะเอ่ยปากเรียกสามีภรรยาคู่นี้ว่าท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้อภัยหรือไม่ให้อภัย แต่เป็นเพราะนางไม่ใช่เหลียงเอินซวี่ตัวจริง
“ไม่ๆๆ ครั้งนี้พวกเรามาเดิมคิดจะรอให้เจ้าอยู่ไฟครบก่อนค่อยกลับ จะว่าไปงานเลี้ยงพวกเด็กครบเดือน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ ครั้งนี้พี่ใหญ่เจ้าก็จะมาด้วย แน่นอนว่าหากซวี่เอ๋อร์คิดจะกลับไปจัดงานเลี้ยงที่เมืองหลวง พวกเราก็จะได้กลับไปพร้อมกัน”
เหลียงเสวียนจิ้งกับเฟิงไฉ่อวิ้นได้ยินลูกสาวกล่าวเช่นนี้ก็โบกมือติดๆ กัน กว่าพวกเขาจะเร่งเดินทางจากเมืองหลวงมาได้ คงไม่ใช่ว่าเห็นหน้าลูกสาวแวบเดียวก็จะกลับ
“พี่ใหญ่?” ซูสุ่ยเลี่ยนมองตาค้างปริบๆ เป็นนานก่อนจะได้สติ พี่ใหญ่นี่ย่อมไม่ใช่พี่ใหญ่ภพนั้น ที่พวกเขากล่าวถึงก็ควรจะเป็นในผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋องในตอนนี้…เหลียงเอินไจ่ ไม่ใช่พี่ใหญ่ซูถิงอี้แห่งตระกูลซู
“ใช่แล้ว แม้เขาไม่ใช่พี่ใหญ่แท้ๆ เจ้า แต่ก็เป็นญาติผู้พี่ที่สนิทที่สุดบนโลกนี้ของเจ้า” เหลียงเสวียนจิ้ง กล่าววาจาที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกใจ แน่นอนผู้ใดจะรู้ความจริงนี้นอกจากเฟิงไฉ่อวิ้น
ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งฟังเหลียงเสวียนจิ้งเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยน้ำเสียงแหบพร่าจบลง เป็นความลับอีกช่วงชีวิตหนึ่งของจวนอ๋องที่ปกปิดมานานแล้ว…
เดิมทีเหลียงเอินไจ่ไม่ใช่ลูกชายเหลียงเสวียนจิ้ง ควรกล่าวว่าคนที่เรียงอยู่หน้าพี่ชายสามคนของซูสุ่ยเลี่ยนก่อนหน้านี้ไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของเหลียงเสวียนจิ้ง แต่เป็นบุตรชายของเหลียงเสวียนอาน พี่ชายฝาแฝดของเขา
ตอนนั้นเหลียงเสวียนอานขัดคำสั่งบิดา ไม่เพียงไม่ได้แต่งบุตรสาวเสนา แต่ยังพานางคณิกาต่ำต้อยหนีออกจากบ้านไป ทำเอานายท่านเหลียงถึงกับมีคำสั่งตัดความสัมพันธ์พ่อลูก ตระกูลเหลียงจากนี้ไปมีแต่เหลียงเสวียนจิ้ง
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งปี เหลียงเสวียนอานก็ให้คนส่งเหลียงเอินไจ่ที่ยังเป็นทารกแบเบาะในห่อผ้ามาพร้อมจดหมายฉบับหนึ่ง เขียนไว้ว่าฝากบุตรชายให้จวนอ๋องเลี้ยงดู
นายท่านรู้เรื่องนี้แล้วก็โมโหมาก แต่ก็ทำอย่างไรได้ หนึ่ง ไม่รู้ที่อยู่ของบุตรชาย สอง เอินไจ่อย่างไรก็เป็นหลานชายตระกูลเหลียง
ดังนั้นโมโหส่วนโมโห นายท่านยังคงเลี้ยงดูเอินไจ่ และฝากเอินไจ่ไว้ภายใต้ชื่อของเหลียงเสวียนจิ้ง แต่ตอนนั้นเหลียงเสวียนจิ้งกับเฟิงไฉ่อวิ้นยังไม่แต่งงาน ได้แต่ฝากให้เยี่ยนฉวินหัวหน้าสาวใช้ของเหลียงเสวียนจิ้งเลี้ยงดูเอินไจ่ นานวันเข้าก็แพร่ออกไปว่า เอินไจ่ก็คือลูกชายของเหลียงเสวียนจิ้งกับสาวใช้ส่วนตัว โชคดีที่มีจดหมายจากเหลียงเสวียนอาน เฟิงไฉ่อวิ้นจึงได้เชื่อเหลียงเสวียนจิ้ง ยอมแต่งเข้าจวนเหลียง
เฟิงไฉ่อวิ้นแต่งเข้าจวนเหลียงปีต่อมาก็ตั้งครรภ์ ตอนนั้นเหลียงเสวียนอานก็ยังส่งบุตรชายแฝดเหลียงเอินเต๋อกับเหลียงเอินอี้มาอีกคู่ ภายหลังตายแต่ยังเด็ก นายท่านจึงได้รู้ว่าบุตรชายคนโตล้มป่วยหนักจากไปแล้ว สาเหตุเพราะเขาป่วยและรู้ว่าอยู่ได้อีกไม่นาน กลัวบิดามารดาเสียใจ และกลัวทำให้บุตรสาวเสนาเสียเวลาทั้งชีวิต ดังนั้นจึงขอให้หลิ่วถัง สตรีหอคณิการ่วมแสดงละครด้วย ผู้ใดจะคิดว่าระหว่างดูแลเหลียงเสวียนอาน หลิ่วถังจะตกหลุมรักเขา กลายเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ดังนั้นคลอดลูกชายมาสามคนก็นำมาฝากจวนอ๋องเลี้ยงดู และขอร้องนายท่านว่าหากบุตรชายทั้งสามโตเป็นผู้ใหญ่ อย่าได้บอกพวกเขาว่าบิดาพวกเขาก็คือเหลียงเสวียนอานที่เห็นแก่ตัวและอายุสั้น กลัวพวกเขาถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ
ชีวิตสุขสงบและวาสนาชีวิตสั้นๆ นี้ทำให้เหลียงเสวียนอานมีอายุยืนยาวไปอีกสามปี พอส่งเด็กแฝดมาแล้ว เหลียงเสวียนอานก็ไม่อาจมีชีวิตพ้นหน้าหนาวไปได้ ล้มป่วยจากโลกนี้ไป หลิ่วถังเสียใจมาก ไม่นานก็ตายตามไปด้วย
พอรู้ความจริงทั้งหมด นายท่านเหลียงก็ล้มป่วย ตอนหายป่วยก็ตามเหลียงเสวียนจิ้งมาที่ห้องหนังสือบอกว่าวันหน้าให้เรื่องของเหลียงเสวียนอานเป็นความลับในจวนอ๋อง หลายชายคนโตเอินไจ่จากนี้ไปก็เป็นบุตรชายคนโตของเหลียงเสวียนจิ้งไป วันหน้าให้สืบทอดตำแหน่งอ๋องในลำดับหนึ่ง
จะว่าไปก็แปลก เหลียงเสวียนอานมีลูกชายสามคน เหลียงเสวียนจิ้งกลับมีแต่ลูกสาวสิบคน
หลังมีเอินซวี่ที่เกิดจากภรรยาเอกเฟิงไฉ่อวิ้น พอคลอดแล้วก็ไม่มีวี่แววอีก เพื่อต้องการให้มีเรื่องมากระตุ้นเฟิงไฉ่อวิ้นตามความเชื่อ เหลียงเสวียนจิ้งจึงแต่งภรรยาน้อยอีกเจ็ด ลูกสาวรวมกันทั้งหมดสิบคน แต่ไม่มีใครได้ลูกชายสักคน
อาจเพราะชะตาฟ้าลิขิต จวนเหลียงมีเหตุเปลี่ยนแปลงกระมัง ตอนแรกเขาได้ตำแหน่งที่ควรเป็นของพี่ชายเขามา จากนั้นลูกชายคนโตของพี่ชายก็ได้กลายเป็นลูกชายเขาและได้สืบทอดตำแหน่งอ๋องที่ควรได้ไป…
เอาเถอะๆ เหลียงเสวียนจิ้งไม่สนใจของนอกกายพวกนี้อีกแล้ว จิตใจมุ่งมั่นเพียงหวังได้ใจเฟิงไฉ่อวิ้นผู้เป็นภรรยาคืนมา
ตอนนี้กว่าจะได้ลูกสาวที่คิดว่าจากไปได้สิบห้าปีคืนมาอีกครั้ง ก็ยิ่งไม่สนใจสมบัติชื่อเสียงเงินทองที่คนนอกให้ความสำคัญกัน เพื่อเร่งรีบแก้ไขเรื่องคุณความแค้นที่ทำให้เอินซวี่หนีออกจากบ้านและตัดขาดวาสนาที่จะได้รู้จักกับพ่อแม่จริงๆ จึงปิดบังคนอื่นต่อไป แสร้งทำล้มป่วย ภาระที่แบกเอาไว้บนบ่าก็ส่งมอบให้กับเหลียงเอินไจ่อายุสิบเจ็ด ทำให้เอินไจ่ไม่อาจไม่รับตำแหน่งท่านอ๋อง และตอนอายุสิบแปดปีเต็มก็ขยายจวนอ๋องออกไปอีก แบกรับภาระหนักหนาในและนอกจวนอ๋องจิ้งได้เรียบร้อยทุกอย่าง ส่วนเขาก็สบายตัวพาภรรยาเฟิงไฉ่อวิ้นที่ไม่มีความแค้นต่อกันอีกเดินทางมานับพันลี้ มาถึงที่ที่รกร้างห่างไกลแม้แต่นกก็ยังไม่ออกไข่เช่นนี้ เพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวคลอดลูกอยู่ไฟ
……
“เมื่อครู่ ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม” เป็นนานกว่าในห้องที่เหลือแค่ซูสุ่ยเลี่ยนที่ยังดูซูบซีดอยู่ในอ้อมกอดของหลินซือเย่าจะเอ่ยขึ้น
เหลียงเสวียนจิ้งกับเฟิงไฉ่อวิ้นเล่าเรื่องความลับในจวนอ๋องให้ซูสุ่ยเลี่ยนฟังอย่างหมดเปลือก ไม่ถือสานางว่าจะเปิดเผยออกไปหรือไม่แม้แต่น้อย หากเปิดเผยออกไปจะทำให้เหลียงเอินไจ่พี่ใหญ่ของนางต้องเดือดร้อน
อาจเพราะต้องการให้นางเข้าใจว่านางคือลูกสาวที่เขาสองสามีภรรยาปกป้องด้วยดวงใจอย่างแท้จริง อย่างน้อยนางก็เป็นผลผลิตจากความรักของเขาสองสามีภรรยาอย่างไม่มีมือที่สามแต่อย่างใด พี่ชายสามคนที่เรียงลำดับอยู่หน้านางนั้น ไม่ใช่มารดานางให้กำเนิด แต่เป็นลูกพี่ลูกน้อง
สวรรค์ เรื่องราวกะทันหันเช่นนี้ทำให้นางที่เป็นวิญญาณมาครอบครองร่างนี้รู้สึกสะเทือนใจอยู่สักหน่อยเหมือนกัน
หากเหลียงเอินซวี่ได้รับรู้สาเหตุที่มาที่ไปนี้ ก็น่าจะละวางความขุ่นข้องในใจลง แล้วก็เรียกสองสามีภรรยาคู่นั้นว่าท่านพ่อท่านแม่กระมัง แต่นางไม่ใช่
เฮ้อ ใครบอกนางที ความวุ่นวายสับสนนี้ นางควรจัดการเช่นไร
“ไม่ผิด” หลินซือเย่าลูบไล้สองแก้มนิ่มละมุนของนาง หรี่ตามองตอบ เรื่องพวกนี้เป็นความลับจวนอ๋องไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขาขอเพียงมีสตรีตัวน้อยในอ้อมกอด ขอเพียงนางเบิกบานใจ สำหรับเรื่องอื่น ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แม้จะบอกเขาว่าจวนอ๋องจิ้งล้มครืนในคืนเดียว เขาก็ยังไม่รู้สึกอะไรด้วย
“อาเย่า เจ้าว่าข้าควรยอมรับพวกเขาไหม” หลังได้รับรู้ว่านางเป็นบุตรสาวสายภรรยาเอกของท่านอ๋องผู้เฒ่ากับพระชายาเฒ่าเพียงหนึ่งเดียว นางยังรักษาระยะห่างอย่างนี้ได้หรือ เจ้าของร่างที่มีจิตวิญญาณภายในเป็นซูสุ่ยเลี่ยน?
อย่าว่าแต่ท่านอ๋องผู้เฒ่ากับพระชายาเฒ่าที่ไม่รู้อะไรด้วยจะเสียใจ คนอื่นๆ ก็คงคิดว่านางแล้งน้ำใจ ไม่รู้ดีชั่วกระมัง เช่น หลินซือเย่า ที่นางใส่ใจที่สุดก็คือความคิดของเขา
“ตามใจเจ้า ขอเพียงเจ้าพอใจ” หลินซือเย่าตอบอย่างไม่แม้แต่จะคิด ขโมยจุมพิตริมฝีปากนางทีหนึ่ง
“อาเย่า…” นาง ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือควรหัวเราะดี การยอมรับและปกป้องของเขาทำให้นางสบายใจ แต่ก็แทบอยากจะร้องไห้กับความไม่ใส่ใจโลกของเขา อ้อ ควรกล่าวว่า ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจ แต่ไม่เอาเลยเสียมากกว่า ในใจของเขานั้นอยู่บนหลักการเพียงว่า ขอเพียงนางปลอดภัยดี เรื่องธรรมเนียมจารีตอะไรล้วนไม่อยู่ในสายตาเขาทั้งสิ้น เขาไม่เคยสนใจ
“อาเย่า ขอบคุณเจ้าตลอดมา หากไม่มีเจ้า ข้าเกรงว่า…” ไม่ใช่ตายอยู่ในป่าลึกก็คงวุ่นวายกับโลกใบนี้ ไหนเลยจะมีชีวิตที่สุขสบายและสงบเช่นตอนนี้ได้ ทุกเรื่องไม่ต้องให้นางมาวุ่นวายใจ นางแค่จัดการตัวเองให้ดีก็พอ
“วาจานี้ควรเป็นข้ากล่าว” หลินซือเย่าดูดดึงริมฝีปากอ่อนนุ่มหอมหวานของนางเอาไว้ ไม่คิดให้นางเอาแต่สะเทือนใจอย่างนี้ต่อไป เสียเวลาแสนอบอุ่นของเขาและนาง
“อืม…อาเย่า…”
“ชู่ว์…รับรู้ความสุขสัมผัสนี้…สุ่ยเลี่ยน ขอบคุณเจ้า ให้ข้าได้มีเจ้า นอกจากเจ้า ยังมีลูกอีกสองคนที่เป็นดังครอบครัว…” เป็นนานกว่าเขาจะยอมปล่อยริมฝีปากนาง ประคองแก้มแดงก่ำของนางไว้กระซิบเสียงทุ้มนุ่ม ตั้งแต่คลอดลูกมาถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะได้มีโอกาสกล่าวคำนี้
ซูสุ่ยเลี่ยนแววตาเป็นประกาย มุมปากยิ้มบาง แต่ไรมากับลูกนี้ เขาไม่มีทีท่าใส่ใจเท่าไร โดยเฉพาะตั้งแต่หมอบอกว่านางอาจจะมีอันตราย ก็ยิ่งแทบอยากให้นางไม่มีลูกสองคนนี้ ทุกอย่างล้วนทำให้นางคิดไปว่าเขาไม่ต้องการลูก
ที่แท้เขากลัวเสียนางไป แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่รักลูก ก็เหมือนที่เขาว่า นั่นก็คือสองคนที่เป็นดังครอบครัวเขาบนโลกนี้…