เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 113 จดหมายจากเมืองหลวง
แม้ว่าได้ยินหลินซือเย่าบอกแล้วว่าอาจจะขึ้นเหนือไปเมืองหลวงสักครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเขาขยับจะเดินทาง
แต่เขาไม่พูด ซูสุ่ยเลี่ยนก็ไม่ถาม แอบหวังว่าเขาจะไม่ไป การจากกันหนึ่งเดือนครั้งก่อนก็ทำให้นางคิดถึงแทบจะขาดใจแล้ว ความคิดถึงนี้ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว
ซือชงพาซือเล่าที่เจ็บหนักไม่ได้สติกลับมาที่เรือนต้นสนรักษาอาการบาดเจ็บ
นอกจากซือถูอวิ๋น ศิษย์ยี่สิบสี่คนของเขาถูกเขาไล่กลับไปหอกว่างชื่อโหลวหมด หนึ่ง ตอนนี้เขากับซือหลิงกลับมาแล้ว ความปลอดภัยย่อมไม่ต้องห่วงแล้ว ซือทั่วก่อนหน้านี้ว่างไม่มีอะไรให้ทำ แต่ตั้งแต่ซือเล่าบาดเจ็บ ก็เหมือนมีงานให้ทำฆ่าเวลามาก
นับประสาอันใดกับซือทั่วเองก็มาเมืองฝานฮัวด้วยตนเองเพื่อเลือกทายาทที่เหมาะสมที่สุดสืบทอดต่อหอเฟิงเหยา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ย่อมโยนกลับมาให้เขาตัดสินใจ
“นิสัยพวกเขา แอบประหลาดอยู่สักหน่อยไม่ใช่หรือ” เห็นซือทั่วจ้องดูหลินหลงที่เอาแต่ถีบเท้าตวัดมือไปมากับหลินเซียวที่นอนขดตัวนิ่งในอ้อมกอดไป๋เหอก็อึ้งไปเป็นนาน ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดส่งเสียงหัวเราะดังไม่ได้
อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อย เตียงตัวน้อยของหลินเซียวกับหลินหลงถูกย้ายกลับห้องปีกตะวันตกของทารกแฝดด้วยการอำนวยการโดยเฉพาะของหลินซือเย่า แม่นมสองคนก็ไปอยู่ที่ห้องหนังสือทางห้องปีกตะวันตก จะได้คอยดูแลพวกเขาได้สะดวก
พอเช่นนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนที่มีอาการเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียแต่ไม่แสดงออกให้เห็นก็ดีขึ้น ที่นางต้องทำก็แค่ตื่นเช้ามากับก่อนเข้านอนไปให้นมทารกแฝดมื้อหนึ่งก็พอ
ผ่านมาสามเดือน น้ำนมนางเริ่มลดลง แม้ว่าอาหารการกินเร่งน้ำนมของนางไม่ต่างกับแม่นมอีกสองคน แต่ได้ผลไม่ดีเหมือนแม่นมสองคน ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับสุขภาพส่วนบุคคลไหม
ก่อนนอนคิดถึงเหตุประหลาดนี้แล้ว ก็คุยกับอาเย่าทุกครั้ง ไม่ใช่ถูกเขาปลอบใจด้วยวาจาไม่กี่คำ ก็ถูกความร้อนแรงของเขาแผดเผาความคิดทบทวนของนางหมดสิ้น
“พวกเขา เกิดมาก็เป็นเช่นนี้หรือ” คำถามซือทั่วขัดความคิดไปไกลของนางขึ้น
“ใช่ แปลกมากหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนได้สติคืนมามองไปยังทารกแฝดที่กำลังเล่นเบิกบานใจบนเตียงตัวน้อยส่งเสียงอ้อแอ้ พลางยิ้มถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คือ…” ความจริงเขาสงสัยมากว่าซือหลิงจงใจหาเรื่องพวกเขา เพราะไม่ต้องการให้เขาพาคนใดคนหนึ่งไปง่ายๆ นั่นก็คือพาคนหนึ่งไปเป็นประมุขหอเฟิงเหยาคนต่อไป…ผู้สืบทอดที่เขาวาดหวัง
ตามรายงานด่วนของศิษย์ซือชง กับที่สายตาตนเองเห็นเอง แสดงให้เห็นว่า ทารกแฝดอายุเพียงแค่สามเดือน ดูท่าหลินหลงเหมาะจะเป็นประมุขหอเฟิงเหยามากกว่าหลินเซียว
นางชอบเคลื่อนไหวไปมา ตื่นมาไม่หิวก็เอาแต่เล่นคนเดียว อยู่คนเดียวได้โดยไม่ต้องการคนเป็นเพื่อน หากหิวขึ้นมาก็จะแผดเสียงร้องลั่นดังทันที จะไม่ยอมทนเด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใบหน้าน่ารักที่เริ่มมีแววเย็นชาเหมือนกับซือหลิงราวกับเบ้าเดียวกัน
หลินเซียวกลับตรงกันข้าม ปกติพอตื่นมาก็จะต้องการคนมาอุ้มเขาไปเล่น แม้ว่าหิวก็จะส่งเสียงร้องแอะเบาๆ คนอุ้มเขาก็จะรู้ว่าต้องป้อนนมเขา อารมณ์แสดงออกชัดเจนผ่านใบหน้าเล็ก เดาอารมณ์เขาได้ทันที
ซือทั่วแทบไม่อยากจะเชื่อ นิสัยหลินเซียวตอนนี้แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าหมด ท่าทางและการติดคนก็เหมือนกับทารกหญิง โตมาจะฝึกสอนให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขได้อย่างไร
ไม่ต้องพูดเลย นิสัยหลินหลงเหมาะสมยิ่งกว่า
เพียงแต่เริ่มแรกเขากังวลว่า ซือหลิงกับอาซ้อจะมีปฏิกิริยากับการเลือกของเขาไหม ทารกหญิงควรอยู่แต่ในบ้านให้คนคอยรักใคร่ปกป้องไหม
เฮ้อ ช่างเป็นทางเลือกที่ยากตัดสินใจจริงๆ
……
“ร้อนใจทำไม ตอนพิธีทำนายครบเดือนก็[1] ค่อยตัดสินใจสิ” ซือชงหัวเราะมองซือทั่วที่ตอนนี้ยังนั่งอึ้งหลังจากไปดูทารกแฝดที่ห้องปีกตะวันตกมาได้หนึ่งชั่วยาม ซือทั่วปกติก็หน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์ ตอนนี้ถึงกับมีสีหน้านิ่งงันเหมือนคนปกติ ทำให้เขาอดเลื่อมใสทารกแฝดที่ยังแบเบาะในเปลนั่นไม่ได้
“พิธีทำนายครบเดือน?” ใช่แล้ว ครั้งหน้าเอาของที่เป็นของประมุขหอเฟิงเหยามาด้วย…แหวนหยกมรกต…เอามาให้สองทารกได้เลือกก็เรียบร้อยนี่! ผู้ใดได้ไป ผู้นั้นก็คือประมุขหอเฟิงเหยาคนต่อไป ไม่ว่าเป็นผู้ใด เขาล้วนต้องทุ่มเทกำลังฝึกสอนเต็มที่
เอาอย่างนี้แล้วกัน! จะได้ไม่ต้องให้เขามาปวดหัวคิดเรื่องพวกนี้อีก
“ได้ยินว่าองค์กรลับ ‘จอมยุทธ์’ ที่ลึกลับที่สุดในยุทธภพปรากฎตัวแล้วหรือ” ซือชงคิดถึงก่อนหน้านี้เดือนหนึ่ง เขากับซือหลิงได้รับข่าวลับมา จึงได้ถามอย่างแปลกใจ
“อืม คิดไม่ถึงว่าเป็นคนทางการ” ซือทั่วพิงหน้าต่างจ้องมองพุ่มดอกไม้รับฤดูใบไม้ผลินอกหน้าต่าง พลางพยักหน้า
“ไม่ใช่ขุนนาง แต่เป็นราชวงศ์” ซือชงสำทับ “หากไม่ใช่ว่าสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงยากจัดการจริงๆ ‘จอมยุทธ์’ คงไม่ยอมปรากฏตัว เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าพวกเขาอำพรางตัวในยุทธภพเพื่ออะไร” ซือชงส่ายหน้า ตั้งแต่ ‘จอมยุทธ์’ ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ เขายังคิดไม่กระจ่างสักที
“จับตาดูราชสำนักกับยุทธภพ หากฝ่ายใดวุ่นวายก็จะจัดการฝ่ายนั้น หรืออาจบอกได้ว่า หากราชสำนักไร้คุณธรรม พวกเขาก็จะเข้าแทนที่” ซือทั่วผละแววตาจากการชื่นชมบุปฝา หันมามองที่นั่งหน้าโต๊ะ ก่อนจะเทน้ำชาหอมกรุ่นกล่าวต่อ
“ตอนนี้เผยตัวต่อราชสำนัก ไม่ต้องสงสัยว่ากำลังร้อนดังหนามตำหลัง”
“จึงต้องให้ซือหลิงออกหน้าอย่างไรเล่า”
“เขาต้องเข้าวังเข้าเฝ้าจริงหรือ”
“น่าจะนะ แม้ไม่อยากก็ไม่อาจเลี่ยงได้”
ใช่ คนมีครอบครัวไม่เหมือนกับพวกเขา ต้องแบกรับภาระมากมายอย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ขอเพียงพวกเขาคิดก็จะทำเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดมาผูกมัดจำกัดได้
ที่ซือหลิงต้องเข้าไปพัวพันกับสองแผ่นดินก็เหมือนกรรมหนีไม่พ้น ยังเพื่อช่วยซือเล่าอีก
แต่ซือเล่า…พวกเขาก้มหน้ามองไปยังซือเล่าที่ยังสลบไสลมานานจนสีหน้าซีดขาวไร้สีเลือดไปแล้ว พลางถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้
นี่มันโชคดีหรือโชคร้ายกัน? หากก่อนหน้านี้ซือเล่าไม่ไปหลางซีแก้แค้น ย่อมไม่บาดเจ็บหนักซ้ำอีกครั้ง และก็คงไม่ต้องพบแผนการของเซวี่ยหมิงเร็วเช่นนี้ สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงแอบซ่อนตัวอยู่ในหลางซีจะก่อเหตุขึ้นตอนไหนก็ยังไม่อาจรู้ได้
แต่จะว่าไปก็ถือเป็นเรื่องโชคดีของแผ่นดินต้าหุ้ยอยู่เหมือนกัน
เอ๋? พวกเขาสนใจความเป็นความตายคนอื่นตอนไหนกัน? พวกเขาก็แค่นักฆ่าเหรียญทองอันดับต้นๆ ในยุทธภพเท่านั้นนะ เฮ้อ แม้ว่าตอนนี้เปลี่ยนสถานะแล้ว คนหนึ่งรับหน้าที่หอการข่าว คนหนึ่งเป็นประมุขหอเฟิงเหยาที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปเป็น ‘กินหญ้า’ ไม่กินชีวิตแทนแล้ว แต่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรนี่ กลับมาคุยเรื่องความสงบสุขแห่งแผ่นดินและประชาราษฎร์อะไรกันอยู่ที่นี่เนี่ย นี่มัน…ไม่ใช่เจตนารมณ์เดิมของพวกเขาเลยนะ จริงนะ พวกเขาสาบานได้
……
“พี่สาวคนสวย พักนี้เสี่ยวฉุนเป็นอะไรไป ป่วยไหมนี่?” ซือถูอวิ๋นเดินกลับมาจากไปเยี่ยมเสี่ยวฉุนที่บ้านสุนัขด้านหลังถามอย่างอดเป็นห่วงไปได้ ตรงมาหาซูสุ่ยเลี่ยนที่กำลังหยอกล้อสอนภาษาให้กับทารกแฝด
“เปล่านะ ก่อนหน้านี้อาเย่าไปดูแล้ว อาจคิดถึงเสี่ยวเสวี่ยกระมัง” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็ส่ายหน้า
หลังจากนางตั้งครรภ์ เสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ไปไหนไกลจากบ้าน นอกจากนางออกจากบ้านไปเดินเล่น เสี่ยวฉุนจึงได้ตามหลังนางไม่ห่าง ครั้งนั้นเฟิงชิงหยาถล่มบ้านเก่าพวกเขา เพราะนางกับชุนหลันไปดูห้องใต้ดินบ้านใหม่ เสี่ยวฉุนก็ตามไปบ้านใหม่ด้วย มันจึงได้รอดพ้นความเป็นได้ที่อาจจะบาดเจ็บหรือตายมาได้
ต่อมาเพราะว่าท่านอ๋องจิ้งกับพระชายามาที่บ้าน คนมากวุ่นวายไปหมด เสี่ยวฉุนที่รักความสงบพอได้รับอนุญาตจากหลินซือเย่าแล้ว ก็หาเวลาว่างไปเที่ยวเล่นที่เขาต้าซื่อ กลับสู่ความคุ้นเคยที่หลินซือเย่าเคยพามันขึ้นเขาไปฝึกทุกวันตอนเช้า
บางครั้งมันก็คาบกระต่ายป่าหรือไก่ป่ากลับมา ให้คนเอาไปย่างให้มันกิน บางครั้งก็มีเอาผลไม้ป่ากลับมาบ้าง ในนั้นยังมีลิ้นจี่ลำไยที่เห็นขายกันในเขตการค้า คาบมาวางใส่แขนซูสุ่ยเลี่ยนท่าทางภาคภูมิ มอบให้นางกิน วันเวลาของมันก็ผ่านไปอย่างมีระเบียบและไม่น่าเบื่อเช่นนี้
เพียงแต่ตั้งแต่เดือนนี้มาแม้ว่ามันขึ้นเขาทุกวันเหมือนเดิม ปกติก็ไม่มีคนกล้าไปให้แหย่มันไม่พอใจ แต่สายตามันเหมือนไม่เบิกบานเท่าไร แม้แต่ซือถูอวิ๋นที่ชินกับการแหย่และเล่นกับมันทุกวันก็ดูว่ามันแปลกไป
“เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้น คงไม่ใช่ว่าตั้งท้องหรอกนะ?” ซือถูอวิ๋นขมวดคิ้วเอ่ยการคาดเดาออกมาอย่างไม่ผ่านสมอง ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนได้ฟังก็แทบอยากจะร้องไห้
“อวิ๋นเอ๋อร์ เสี่ยวฉุนเป็นตัวผู้”
“อย่างนั้นก็น่าเป็นโรคคิดถึง อาจารย์เคยบอกว่าไม่ว่าคนหรือสัตว์ ขอเพียงทั้งวันไม่คิดกินข้าวดื่มน้ำชา ก็อาจจะเป็นโรคคิดถึง” ซือถูอวิ๋นกล่าวจบก็ไม่ลืมที่จะตบมือดัง แปะ อย่างรู้สึกได้ใจ ใช่เลย
“เอ๋? เช่นนี้หรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ อยู่ๆ ก็นึกถึงตอนที่เสี่ยวเสวี่ยตั้งท้องลูกหมาป่าขึ้นมาพลันรู้สึกว่าก็พอมีเหตุผลอยู่เหมือนกัน
“แต่ว่า เสี่ยวฉุนขึ้นเขาทุกวันนี่ เอ่อ จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” ในเมื่อทุกวันได้พบคนรักทุกวัน แล้วจะเป็นโรคคิดถึงได้อย่างไร!
“พี่สาวคนสวย ท่านคงไม่รู้เสียแล้ว คำว่าวันหนึ่งไม่เห็นหน้าราวกับห่างกันสามฤดูใบไม้ร่วง ตอนที่อาจารย์ลุงซือหลิงไม่อยู่ ท่านก็ไม่ใช่รู้สึกทุกข์ใจหรอกหรือ ข้าว่าต้องใช่แน่ๆ…” ซือถูอวิ๋นอธิบายไปก็ไม่ลืมหยอกล้อซูสุ่ยเลี่ยนไปด้วย ไม่คาดว่ายังไม่ทันกล่าวจบก็เหมือนโดนอะไรเขกกะโหลก
“เจ้าเด็กบ้า ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่!!”
“โอ๊ย อาจารย์ลุง ข้าไม่ใช่กลัวว่าพี่สาวคนสวยจะฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไรเล่า” ซือถูอวิ๋นคลำหัวป้อยๆ บ่นเสียงน่าสงสารไม่หยุดพลางมองไปยังหลินซือเย่าที่เพิ่งเดินเข้ามาในลาน
“เรียกอาจารย์ป้า!” ผีน้อยนิสัยไม่เปลี่ยน! เรียกสุ่ยเลี่ยนว่าพี่สาวคนสวย เรียกตนว่าอาจารย์ลุง ใช่ว่าทำให้ตนเองแก่กว่าหนึ่งรุ่นหรือไง หลินซือเย่าไม่พอใจคำเรียกขานของซือถูอวิ๋น
“แหะๆ! อย่างนั้นไม่ใช่ว่าแก่ไปแล้วหรือ! พี่สาวคนสวยแค่สิบเจ็ด ข้าก็แค่สิบสาม ไหนเลยจะมีศิษย์กับอาจารย์ห่างกันแค่สี่ปีเล่า!” ซือถูอวิ๋นสำทับเน้นย้ำอย่างไม่กลัวตาย ก่อนจะรีบผลุบวิ่งเข้าด้านในทันทีพลางส่งสายตาซุกซนมองหลินซือเย่ามองตาปริบๆ “อาจารย์ลุง ไม่รบกวนท่านแล้ว ข้าไปเยี่ยมเสี่ยวฉุนอีกดีกว่า” กล่าวจบก็หายตัวไปทันที
“เด็กบ้านี่ ต้องให้ซือชงพากลับไปสั่งสอนใหม่แล้ว” หลินซือเย่าแค่นเสียงฮึไม่พอใจ ก่อนจะรั้งตัวซูสุ่ยเลี่ยนมากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รั้งให้นางกับหลินหลงในอ้อมกอดเข้าสู่อ้อมกอดเขา
“มีอวิ๋นเอ๋อร์อยู่ ข้าวางใจไม่น้อย” ซูสุ่ยเลี่ยนกลัวเขาจะไล่ซือถูอวิ๋นกลับไปคืนหอกว่างชื่อโหลวจริงๆ ดังนั้นจึงยิ้มกล่าวแก้ต่างให้ซือถูอวิ๋น หากข้างนอกมีอะไรให้นางต้องไปจัดการ มีซือถูอวิ๋นเฝ้าทารกแฝดไว้ นางวางใจไม่น้อย
“ข้ารู้” หลินซือเย่าวางคางลงบนไหล่นาง ตอบอย่างฮึดฮัด ก็เพราะว่ารู้ไม่อาจขาดการอารักขาของซือถูอวิ๋น จึงไม่มีหนทางไล่เขาไปได้ ถูกเขาทำเอาโมโหก็ได้แต่พูดๆ ไปเท่านั้น
“พี่ใหญ่เจ้ามีจดหมายมาเร่งให้พวกเราไปเมืองหลวงแล้ว” จากนั้นครู่หนึ่ง หลินซือเย่าก็กระซิบขึ้นเบาๆ ทำลายความเงียบในห้อง
“พวกเรา?” ซูสุ่ยเลี่ยนหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ ย้ำคำเขาอีกทีให้แน่ใจ
“ถูกต้อง พวกเรา” เขาตอบยืนยันแทบจะในเวลาเดียวกัน
——————————–
[1] พิธีทำนายครบเดือนหมายถึงเมื่อทารกมีอายุครบเดือนก็จะให้สุ่มหยิบสิ่งของเพื่อทำนายอาชีพหรือสิ่งที่ชอบในอนาคต