เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 119 นายแห่งแผ่นดินเซวี่ยหมิง
ตอนเที่ยง ณ พระที่นั่งจินหล่วน วังหลวงแผ่นดินต้าหุ้ย เงียบจนน่าตกใจ ถึงกับเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงเข็มปักผ้าร่วงลงพื้นได้
ชายวัยกลางคนในชุดมังกรสูงศักดิ์ประทับนั่งอยู่ในตำแหน่งตรงกลาง สองตามองไปยังหน้าประตูพระที่นั่ง แววตาลุ่มลึกมองไม่เห็นที่สิ่งอยู่ลึกภายใน
“ฝ่าบาท คนในและนอกวังถอยออกไปหมดแล้ว” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงคนในวังคนหนึ่งก็รายงานดังเข้ามาในพระที่นั่ง
“ฝ่าบาท ประตูวังปิดหมดแล้ว” อีกพักหนึ่งก็มีอีกคนวิ่งมารายงาน
“รู้แล้ว ถอยออกไปได้” คนที่ประทับในตำแหน่งฮ่องเต้ เงียบเป็นนานก่อนจะโบกมือให้คนในวังถอยออกไป
“ฝ่าบาท…”
“เราบอกว่าถอยออกไป!” เสียงผู้ชายเน้นย้ำอีกรอบ ออกคำสั่งให้คนในวังสองคนที่คุกเข่าอยู่ต้องสบตากันและถอยออกไปอย่างเสียไม่ได้
“ในเมื่อมาแล้ว ทำไมไม่เข้ามา ต้องการให้เราออกไปรับด้วยตนเองหรือ” มองไปยังประตูพระที่นั่งพร้อมส่งเสียงเยียบเย็น ทำลายความเงียบในพระที่นั่งจินหล่วน
“คิดไม่ถึง ไม่เจอกันยี่สิบสี่ปี เจ้ายังคงไร้มารยาทเช่นนี้!” พอวาจากล่าวจบ หน้าประตูพระที่นั่งก็มีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งสวมชุดงดงาม หญิงสะคราญชายรูปงามค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามา
“กับเจ้าที่เป็นคนชั่วกล่าววาจาไร้สัจจะ เรายอมให้ทุกคนถอยออกไปให้หมด มาพบหน้าสักครั้งก็ถือเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว” ชายในตำแหน่งกลางพระที่นั่งก็คือฮ่องเต้แผ่นดินต้าหุ้ย ยามนี้เผชิญหน้ากับสองสามีภรรยาที่มาอยู่ในวังหลวงบนแผ่นดินต้าหุ้ยแต่กลับมีท่าทางสบายๆ เหมือนเดินเล่นย่อยอาหารในบ้านตนเอง ก็อดโมโหไม่ได้
“จุ๊ๆ…ก็แค่นำจดหมายมาส่ง เชิญมาพบกันเท่านั้น ทำเหมือนวันสิ้นสุดของแผ่นดินต้าหุ้ยไปได้” ชายที่ก้าวเข้ามาจูงมือสตรีผู้หนึ่งมาด้วย เลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งมา ก่อนจะดึงสตรีผู้นั้นนั่งลง
“ว่ามา ครั้งนี้มาทำไม” ฮ่องเต้ต้าหุ้ยเหมือนไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขามากไป กล่าวตรงประเด็นทันที
“ไม่มีอะไร ก็แค่มาเยี่ยมแผ่นดินต้าหุ้ยท่าน มาชมขุนนางซื่อสัตย์และประชาเป็นสุขภายใต้การปกครองของท่าน”
“ไม่ต้องกล่าววาจาเหลวไหล!” ฮ่องเต้แผ่นดินต้าหุ้ยส่งเสียงขัดวาจาเหลวไหลไร้สาระชายผู้นี้ “เราจำได้ว่าเมื่อยี่สิบสี่ปีก่อน แผ่นดินต้าหุ้ยก็บรรลุข้อตกลงกับเซวี่ยหมิงแล้ว เซวี่ยหมิงจะไม่ส่งทหารรุกรานแผ่นดินต้าหุ้ย เจ้าผิดข้อตกลง”
“ถูกต้อง” ชายผู้นั้นรับคำอย่างไม่โต้แย้ง “เซวี่ยหมิงไม่ได้ส่งทหารรุกรานแผ่นดินต้าหุ้ย ข้าไม่ได้ละเมิดข้อตกลง”
“สิบ-สอง-ทหาร-โลหิต-!” ฮ่องเต้ต้าหุ้ยกัดฟันกล่าวออกมาทีละคำ สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงรับคำสั่งจากฮ่องเต้คนเดียว หากไม่มีคำสั่งฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิง รุกรานเข้ามาในแผ่นดินต้าหุ้ย คิดการไม่ซื่อหรือ?!
“ข้ากำลังถามอยู่เลย สิบสองทหารโลหิตปีก่อนอยู่ๆ ก็เสียสติ ไม่รู้ร่องรอย ได้ยินว่าแผ่นดินต้าหุ้ยพบเจอร่องรอยพวกเขา ใช่แล้ว ถือโอกาสอวยพรวันเกิดเจ้าแล้วก็ขอรับตัวพวกเขากลับไปด้วยเลย” ชายผู้นั้นหัวเราะเล็กน้อย เงยหน้ามองมองชายที่ใกล้จะระเบิดเต็มที อธิบายด้วยท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่อาจจริงจังมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“เจ้า…เจ้า…” ฮ่องเต้ต้าหุ้ยทรงกริ้วจนแทบกระอักโลหิต ยกมือชี้ไปที่ประตูพระที่นั่งราวกับมีลมแผ่วเบาพัดผ่าน สิ่งที่ทำกับสิ่งที่พูดราวกับไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าเขาเป็นชายชั่วร้ายดังมารร้าย
“ทำไม? หรือว่าการข่าวข้าผิดพลาด? สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงไม่ได้อยู่บนแผ่นดินต้าหุ้ย? นั่นก็ใช่แล้วอย่างไร ข้าผิดข้อตกลงสองแผ่นดินตรงไหนกัน” ชายผู้นี้กล่าวอย่างไม่ยี่หระ ไม่สนใจที่จะมองฮ่องเต้ที่กริ้วหนักจนแทบไม่อาจระงับ
“เจ้า…” ฮ่องเต้ต้าหุ้ยกว่าจะระงับความกริ้วที่ปะทุขึ้นมายกนิ้วมือที่ชี้อยู่ลงก็ใช้เวลานานไม่น้อย ในใจแอบปลอบใจตนเองว่า รู้จักกันมาจะสามสิบปี ไม่เคยชนะชายชั่วร้ายอย่างตรงนี้อย่างเป็นทางการสักครั้ง แต่เขามีอาวุธโต้กลับที่ร้ายกาจ…
“รัชทายาทหลีเมา[1] เจ้ายังสบายดีไหม?”
ตามคาด วาจานี้เป็นอาวุธร้ายกาจที่สุด ทิ่มแทงโดนใจอีกฝ่ายทันที
“หลี่เหวินซิว!”
จุ๊ๆ อะไรเรียกว่ามังกรพิโรธ ก็นี่อย่างไรเล่า ฮ่องเต้ต้าหุ้ยหลี่เหวินซิวกวาดตามองไปรอบพระที่นั่งจินหล่วนที่ราวกับมีกระแสลมพัดผ่านทันที มุมพระโอษฐ์แย้มยก คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันยี่สิบสี่ปี ความจริงน่าละอายของราชวงศ์เซวี่ยหมิงยังคงฝังลึกอยู่ในใจเขา
“เซวี่ยลี่…” สตรีที่ยืนเป็นเพื่อนข้างกายชายผู้นี้มาตลอด ยามนี้น้ำตาอาบใบหน้ากอดชายที่กำลังโมโหตัวสั่นและกำลังระงับอยู่เอาไว้ “ท่าน…อย่าคิดมาก…ไม่ใช่บอกว่ามีร่องรอยหรือ”
ผู้ชายได้ยินก็สั่นเทิ้ม แต่ก็ระงับอารมณ์ลงได้ เงยหน้ามองหลี่เหวินซิวที่กำลังนั่งมองดูพวกเขาสองสามีภรรยาราวกับดูละคร แววตากลับคืนสู่ความสงบนิ่งดังเดิม
“ดีใจมากที่เราสองสามีภรรยาทำให้เจ้ามีความสุขใจได้” ชายผู้นี้ ไม่สิ เขาคือเซวี่ยลี่ ฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงกล่าวพลางยิ้ม ไม่ได้สนใจวาจาร้ายกาจก่อนหน้านี้สักนิด
“ขอบคุณมาก” หลี่เหวินซิวตอบกลับ ในใจก็ย่อมรู้สึกสะใจ
“เช่นนั้นนั่งลงคุยกันดีๆ ถึงเรื่องที่มาหาเจ้าในวันนี้ได้หรือยัง” เซวี่ยลี่เลิกคิ้ว ท่าทางไม่ให้หลี่เหวินซิวได้เลือก
“เอาเถอะ” หลี่เหวินซิวถอนหายใจกล่าวอย่างเสียไม่ได้ เขาจะทำอะไรได้?! กำลังเซวี่ยหมิงแข็งแกร่งกว่าแผ่นดินต้าหุ้ยหลายเท่า หากไม่ใช่ว่ายี่สิบสี่ปีก่อนมีเหตุบังเอิญ ตอนที่เขากำลังออกหาประสบการณ์ฝึกฝนตนเองได้ช่วยเซวี่ยลี่ ฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงที่เพิ่งขึ้นดำรงตำแหน่งเอาไว้ ตามหาภรรยาที่หนีจากไปคืนมาได้ แล้วทำให้เซวี่ยหมิงลงนามสัญญาว่าจะไม่นำทหารรุกรานแผ่นดินต้าหุ้ย หนังสือสัญญาทำให้ตำแหน่งรัชทายาทของเขามั่นคงยิ่งขึ้น หลังจากอดีตฮ่องเต้จากไป วันรุ่งขึ้นเขาก็ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ได้อย่างราบรื่น
เพียงแต่คำสัญญาดำรงมาแค่ยี่สิบสี่ปี สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงก็รุกรานแผ่นดินต้าหุ้ย แม้ว่าถูกจัดการโดยบังเอิญแล้ว แต่ก็ยังเหมือนหนามแทงใจ ต้องรู้ว่าสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงคือสัญลักษณ์อำนาจราชวงศ์เซวี่ยหมิง ไม่ว่าไปที่ใดไม่มีภารกิจใดไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงถูกฝังอยู่บนแผ่นดินต้าหุ้ย เขาเดาได้ว่าเซวี่ยลี่ต้องมา
เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาเร็วเพียงนี้ มาในวันเฉลิมฉลองวันเกิดปีที่ห้าสิบของเขา ก่อนหน้านี้ขณะที่เขากำลังคิดหาผู้ช่วยมารับมือสักคนหนึ่ง เซวี่ยลี่ก็มาถึงแล้ว จดหมายว่าขอให้เขาให้ทุกคนในวังและคนนอกทั้งหมดถอยออกห่างไป ต้องการคุยความลับเพียงลำพัง แสดงให้เห็นว่าเซวี่ยลี่มาหาเขาคิดบัญชีสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงที่ถูกแผ่นดินต้าหุ้ยจัดการไป
……
“กล่าวเช่นนี้ ก็เป็นฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงกับฮองเฮามาวังหลวง? แต่ทำไมฮ่องเต้ไม่ต้อนรับตามมารยาทแขกเมือง กลับต้อนรับแบบลับๆ?” นี่ไม่เหมือนกับวิสัยฮ่องเต้ ได้ยินเรื่องคร่าวๆ จากที่หลินซือเย่ารายงานแล้ว เหลียงเสวียนจิ้งกับเหลียงเอินไจ่ก็สบตากันอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านพ่อ ฮ่องเต้กับฮ่องเต้เซวี่ยหมิงรู้จักกันมาก่อน?”
“ก็ไม่นับว่า…รู้จักกันมาก่อน แต่ตอนนั้นที่อดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์อยู่ สองแผ่นดินลงนามจะไม่รุกรานกัน เป็นฮ่องเต้ลงนามกับฮ่องเต้เซวี่ยหมิงจริง ตอนนั้นบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ต่างคาดเดาว่าฮ่องเต้กับฮ่องเต้เซวี่ยหมิงน่าจะเป็นสหายสนิท ต่อมาแม้สองแผ่นดินไม่ได้มีเรื่องกันอีก แต่ก็ไม่ได้มีการค้าไปมาหาสู่กัน ไม่ต้องพูดถึงการพบปะกันฉันท์มิตรสหาย นอกจากลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันแล้ว เรื่องอื่นๆ ดูเหมือนแผ่นดินต้าหุ้ยกับเซวี่ยหมิงอยู่ร่วมกันแบบเป็นศัตรูแน่นอน”
“ลูกเขย ลำบากเจ้าแล้ว” เหลียงเสวียนจิ้งกล่าวจบก็ไม่สนใจลูกชายที่เอาแต่ก้มหน้าครุ่นคิด หันไปตบบ่าหลินซือเย่า กล่าวอ่อนโยนว่า “กลับห้องเจ้าได้แล้ว ซวี่เอ๋อร์รอเจ้านานแล้ว”
“อืม” หลินซือเย่าพยักหน้า เดินออกจากห้องหนังสือที่ใหญ่สุดในจวนอ๋องจิ้งไปด้วยสีหน้าเย็นเยียบดังปกติ ตรงไปยังห้องรับรองแขกที่อยู่ข้างสระบัว
หลินซือเย่าลืมเล่าไปฉากหนึ่ง ตอนที่ฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงโมโหคิดถล่มพระที่นั่ง แต่ฮองเฮาเซวี่ยหมิงร่ำไห้ปลอบใจ
คิดถึงตรงนี้ หลินซือเย่าก็แอบสะกดอารมณ์ประหลาดที่ผุดขึ้นมาลง รีบก้าวเข้าไปในห้องรับรองหาสุ่ยเลี่ยนอย่างรวดเร็ว ในใจแอบตัดสินใจว่าวันที่แปดพอเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว เขาจะพาสุ่ยเลี่ยนกับทารกแฝดออกจากเมืองหลวงกลับเมืองฝานฮัวเลย
เคยชินกับชีวิตสุขสงบสบายในเมืองฝานฮัว ความรุ่งเรืองเมืองหลวงยากกลบเกลื่อนเบื้องหลังที่เคร่งเครียดได้ ทำให้เขามีความรู้สึกอยากจะรีบพาภรรยาและลูกไปจากที่นี่โดยเร็ว
“อีกสองวันเสร็จเรื่องแล้ว พวกเราก็กลับบ้านกัน” หลินซือเย่าถอนหายใจเบาๆ โอบกอดร่างหอมภรรยาเอาไว้
“ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนแอบเห็นด้วย นางก็คิดถึงบ้านแล้ว แม้ว่าเมืองฝานฮัวไม่ได้รุ่งเรืองคึกคักเหมือนเมืองเฟิงเฉิง แม้ว่าบ้านบนที่ดินสองหมู่ของพวกเขาไม่ได้ใหญ่โตเหมือนเรือนดอกบัวที่จวนอ๋องเอามารับรองพวกเขาสองสามีภรรยา แม้ว่าชีวิตสะดวกสบายไม่เท่าอยู่เมืองหลวง แม้ว่าที่นี่ก็นับว่าเป็นบ้านนาง…บ้านเดิมนาง แต่นางก็คิดถึงบ้านแล้ว
สองมือไกวเตียงตัวน้อยที่เฟิงไฉ่อวิ้นสั่งให้คนทำมาเป็นพิเศษ ตอนนี้มีทารกแฝดนอนหลับปุ๋ยอยู่ หันมามองสามีที่คลอเคลียไม่ยอมห่างจากซอกคอนาง ซูสุ่ยเลี่ยนก็เลิกคิ้วขำ
“หัวเราะอะไร” แม้ว่าหลินซือเย่าซุกอยู่ที่ซอกคอนาง แต่ก็รับรู้ได้ถึงอารมณ์นางทุกอย่าง กระซิบเสียงแหบพร่าถามขึ้น
“ไม่มีอะไร” นางอมยิ้มเหลือบมองเขา อย่างไรก็ไม่อาจกล่าววาจาแสดงความรักออกไปว่านางรู้สึกว่าพึงพอใจในชีวิตนี้แล้ว เช่นนั้นนางน่าจะอายมาก
“จริงหรือ” เขาหัวเราะเบาๆ ไม่เปิดโปงนาง นางแสนใสซื่อบริสุทธิ์ มีอารมณ์อันใดผุดขึ้นมา ใบหน้าก็แสดงออกมาหมด ทำให้เขาไม่อยากให้นางต้องเจอกับคนแปลกหน้า เมืองฝานฮัวที่เรียบง่ายจึงจะเหมาะกับนาง
จวนอ๋องจิ้ง เหอะ แม้นางเป็นคุณหนูตัวจริงแล้วอย่างไร ผู้ใดรับรองได้ว่าพี่สาวน้องสาวและภรรยาน้อยอ๋องจิ้งจะเป็นคนดี
พวกเขามาอยู่แค่คืนเดียว ก็มีภรรยาน้อยเหลียงเสวียนจิ้งพาลูกสาวมารบกวนสุ่ยเลี่ยน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าการกระทำของพวกนางจากใจหรือหลอกลวง แค่มาเรือนดอกบัวเดินวนก็ทำให้สุ่ยเลี่ยนต้องรับมือแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกที่มีความในใจแอบแฝง
“ใช่แล้ว อาเย่า วันที่แปดวันนั้น ชุดตอนเจ้าเข้าวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ข้าเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าลองดูว่าพอดีตัวไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนหันไปหยิบชุดพิธีการสีฟ้าครามแบบซับซ้อนที่นางเตรียมไว้ตั้งแต่รู้ว่าเขาต้องเข้าวังเข้าเฝ้า นางให้เขาถอดเสื้อตัวนอกออกลองสวมดู
“เร็วเพียงนี้?” หลินซือเย่าอมยิ้มรับชุดพิธีการมาจากมือนาง ตั้งแต่กำหนดว่าจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันที่แปด มาถึงตอนนี้ก็ไม่ถึงสิบกว่าวัน ในสี่วันนี้ยังเป็นวันเร่งเดินทาง นางก็ตัดชุดเสร็จชุดหนึ่งแล้วหรือ แต่อย่างไรเขาก็ไม่เคยมองข้ามความสามารถภรรยาตัวน้อยของเขา โดยเฉพาะเรื่องงานเย็บปัก นางมีความสามารถและพรสวรรค์ที่น่าตกใจ
“ในเมื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ควรสวมให้เรียบร้อยหน่อย” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มผลักเขาเบาๆ “ลองดู หากตรงไหนไม่พอดีตัว ยังพอมีเวลาแก้” หากไม่ใช่ว่านางบอกแล้วบอกอีกว่าอาเย่าเตรียมชุดพิธีการไว้แล้ว ท่านแม่นางก็คงให้ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปร้านใหญ่สุดในเมืองหลวงส่งชุดชั้นสูงคุณภาพดีที่สุดหลากหลายมาให้เขาเลือกแล้ว
“ที่เจ้าตัด มีตัวไหนไม่พอดีตัว” หลินซือเย่าปากกล่าวไปแต่ก็ยอมฟังนางอย่างเชื่อฟัง ลองชุดพิธีการทั้งหมดเพื่อให้นางสบายใจ
——————
[1] หลีเมาหมายถึงแรคคูน