เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 125 โรงเตี๊ยมเยว่ขุย
“ใกล้ถึงแล้ว” หลินซือเย่ากระซิบเตือนนางพลางหัวเราะเบาๆ ทำเอานางอับอายจนโมโหแทน
ก็ไม่แปลก การมีสัมพันธ์กันในรถ อย่าว่าแต่นาง แม้แต่เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องการนางยามรถม้าเคลื่อนทะยานเช่นนี้ได้ ได้แต่กล่าวว่า นางทำให้เขาที่แต่ไรมาก็มีนิสัยเย็นชา เกิดอารมณ์ยากระงับได้เช่นนี้
“ไม่มีคนรู้หรอก” เขากอดนางไว้แน่น จุมพิตหน้าผากนูนอิ่มของนางอย่างอ่อนโยน หากไม่ใช่ว่าอยู่บนรถหน้า เขาเชื่อว่าตนเองยังจะกลืนกินนางอีกหลายรอบ
หลังจากคลอดบุตร ร่างเดิมที่บอบบางของนางก็เอิบอิ่มขึ้นไม่น้อย การเคลื่อนไหวถึงที่สุดของนางก็รวดเร็วกว่าก่อนตั้งครรภ์มาก ทำให้เขาระงับตัวเองไม่อยู่
“ไม่เชื่อเจ้าหรอก!” ซูสุ่ยเลี่ยนจ้องมองเขา ทั้งอายทั้งโมโห อายที่นางเองปล่อยให้เขานำนางขึ้นสู่กระแสถาโถมอย่างลืมตัว พอได้สติก็พบว่านางและเขาถึงกับอยู่ในรถม้าและถึงฝั่งถึงสองครา ครั้งแรกนางนั่งอยู่บนกายเขา อีกครั้งหมอบคว่ำหน้าอยู่บนเตียง เกือบจะทำทารกแฝดตื่น
โอ สวรรค์! นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองอุกอาจยิ่ง!
แม้รถม้ากำลังทะยานรวดเร็วไม่หยุด คนในรถม้าคันที่ตามมาย่อมไม่อาจพบความผิดปกติอันใด แต่ไม่ได้หมายความว่าสารถีจะไม่ทันสังเกต อย่างไรยามอารมณ์ถาโถมถึงขีดสุด ก็ย่อมทำให้รถม้าเขย่าสั่นคลอนไปมา
ดังนั้นนางไม่เชื่อว่าสารถีที่กำลังบังคับความเร็วรถจะไม่ทันสังเกตถึงความเคลื่อนไหวภายในรถม้าที่มีเพียงม่านหน้าต่างกั้น นางจะออกไปพบหน้าผู้คนได้อย่างไร
“สุ่ยเลี่ยน…เราเป็นสามีภรรยากัน” ระหว่างสามีภรรยา มีสัมพันธ์กันเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าเวลาและสถานที่จะน่าตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ละเมิดธรรมเนียมฟ้าดิน ผู้ใดกำหนดให้สามีภรรยาไม่อาจมีอะไรกันตอนกลางวันยามนั่งอยู่บนรถม้าที่กำลังทะยานไปได้
“ใครสงสัยเรื่องนี้…” นางกำลังจะจ้องเขาต่อ ก็พบว่ารถม้าลดความเร็วลง คิดว่าน่าจะถึงเมืองเยว่ขุยแล้ว
โอ นางกับเขาถึงกับใช้เวลาในเรื่องนี้นานถึงชั่วยามครึ่ง! นางโอดครวญไร้สำเนียง ทำเอาหลินซือเย่านึกขำเบิกบานใจไร้สำเนียงเช่นกัน
“อย่าได้กังวล เชื่อข้า นะ?” มือหนึ่งยึดเตียงสองทารกไว้ อีกมือประคองเอวสุ่ยเลี่ยนไว้ รู้ว่านางคงต้องไร้เรี่ยวแรง ให้นางพิงตัวเขาไว้ ค่อยๆ ก้าวออกจากรถม้า
ตามคาด คนขับรถผิวหน้าดำคล้ำ ตอนนี้หน้าแดงและแอบมีรอยยิ้มปรากฏเด็ดชัด ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี? เขาต้องได้ยินแน่เลย ควรกล่าวว่า ‘ดีใจที่ได้ทำให้ท่านเบิกบาน’ ไหมนะ
ซูสุ่ยเลี่ยนสะบัดมือหลินซือเย่าอย่างอับอาย กำลังจะรับทารกหญิงจากมือเขามาอุ้ม ก็ถูกเขาเอี้ยวหลบ ส่งหลินเซียวกับหลินหลงให้เหลียงหมัวมัวกับไป๋เหอให้พาไปป้อนนมไปแทน
“เจ้าต้องพักผ่อน” เขาอมยิ้มเตือนนาง
กลัวว่านางจะปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรงจนทำลูกตกหรืออย่างไร นางถลึงตาใส่เขา ก้าวตามพวกไป๋เหอไปทันที เดินเข้าไปยังโรงเตี๊ยมใหญ่สุดในเมืองเยว่ขุยพร้อมกับหยางจิ้งจือและชุนหลัน
“เอ๋? อาจารย์ลุง อาจารย์ป้าไม่สบายหรือ ทำไมหน้าแดงก่ำ” ซือถูอวิ๋นจอดรถม้าเข้าที่ก็มองเห็นซูสุ่ยเลี่ยนหน้าแดงแจ๋เดินออกไป จึงถามอย่างแปลกใจ
“เปล่า” หลินซือเย่าเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นเขาแค่เป็นห่วงไม่ได้หัวเราะอะไร จึงไม่ได้สนใจเขาอีก ตามสุ่ยเลี่ยนเข้าโรงเตี๊ยมไปทันที
……
“ห้องพักห้องคู่ชั้นบนห้าห้อง” ซือถูอวิ๋นสั่งการเสี่ยวเอ้อร์ที่มารอรับคำสั่ง
“นายท่านมาเข้าพักกระมัง ห้าห้องชั้นบนใช่ไหม ผู้ใหญ่เก้า เด็กสอง…เอ่อ มีคนจองไว้ให้ทุกท่านแล้ว โชคดีที่จองไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นไม่มีห้องจริงๆ” เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะร่า พาพวกซือถูอวิ่นขึ้นไปห้องพักที่เตรียมไว้
“จองล่วงหน้า? พวกเราไม่ได้จองนะ” ซือถูอวิ๋นมองเสี่ยวเอ้อร์อย่างไม่เข้าใจ น่าจะผิดคนแล้วกระมัง
“มี ทำไมไม่มี ข้าไม่ได้ทักผิด ครึ่งชั่วยามก่อนหน้ามีแขกห้าคนมาพักก็จองให้พวกท่านไว้แล้ว จ่ายเงินไว้แล้วด้วย ท่านดูนี่…” เสี่ยวเอ้อร์เห็นซือถูอวิ๋นมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อก็รีบควักสมุดบัญชีออกมาให้เขาดู
ซือถูอวิ๋นกวาดตาอ่านรอบหนึ่งก็หันไปสบตากับหลินซือเย่า ห้าคนนั่น…พวกเขาเดาได้แล้วว่าเป็นผู้ใด เพียงแต่ คนพวกนั้นจองห้องชั้นหนึ่งไว้ให้พวกเขา? กังวลว่าพวกเขาจะพลาดโอกาสเข้าพักที่นี่หรือ
“เช่นนั้นพาพวกเราไปที” ซือถูอวิ๋นพยักหน้าให้เสี่ยวเอ้อร์ แม้ว่าอาจารย์ลุงไม่ได้คิดปฏิเสธ อย่างั้นก็รับน้ำใจอีกฝ่ายแล้วกัน มีประโยชน์ให้แต่ไม่รับ ไม่ใช่วิสัยซือถูอวิ๋น
โรงเตี๊ยมเมืองเยว่ขุยสองชั้นแห่งนี้มีทั้งหมดยี่สิบห้อง ชั้นสองฝั่งใต้แปดห้อง มีแขกเข้าพักเต็มแล้ว พวก หลินซือเย่าครองไปห้าห้อง อีกสามห้องก็ย่อมเป็นของพวกจากเซวี่ยหมิงทั้งห้าคน
“คอยพวกเจ้านานแล้ว” มุมหนึ่งของบันไดชั้นสอง เซวี่ยลี่กอดอกพิงเสาระเบียงรออยู่ มองหลินซือเย่า ประคองซูสุ่ยเลี่ยนตามซือถูอวิ๋นกับเสี่ยวเอ้อร์ขึ้นมา กล่าวทักทายเสียงดังสีหน้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
“ไม่มีผู้ใดให้ท่านรอ” หลินซือเย่าเหลือบตามองเขา ไม่แสดงสีหน้าอาการใดๆ ประคองนางเดินขึ้นชั้นสองต่อไป
“ไม่แนะนำหน่อยหรือ” เซวี่ยลี่สังเกตสตรีงดงามที่เทพสังหารประคองขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ในใจแอบชื่นชม ไม่เสียทีที่เป็นภรรยาที่ลูกชายเขาเลือก กิริยามารยาทสง่างาม ไม่ใช่พวกสาวงามไร้ชาติตระกูล
“ไม่จำเป็น” หลินซือเย่ากล่าวสะบัดเสียงใส่ จากนั้นก็ประคองซูสุ่ยเลี่ยนเดินต่อไป ผ่านหน้าเขาจะไปยังห้องชั้นบน
“อย่างนั้นหรือ” เซวี่ยลี่หัวเราะถามเบาๆ จากนั้นก็เป็นไป๋เหอกับเหลียงหมัวมัวที่ตามขึ้นมาติดๆ สองตาเซวี่ยลี่จับจ้องทารกแฝดในอ้อมกอดนางทั้งสองไม่วางตา อดถามไม่ได้ว่า “พวกเขา…อายุเท่าไร”
ข่าวสิบสองทหารโลหิตส่งมาพิสูจน์สถานะเขาชัดเจนแล้ว ยังบอกว่าสองปีก่อนเขาแต่งงานแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าเขามีลูกแล้ว และยังเป็นทารกแฝดที่น่ารักน่าชังยิ่ง
ข่าวที่มาอย่างไม่คาดคิดทำให้เขาที่อยู่ในวังต้าหุ้ยนิ่งอึ้งไปถึงวันหนึ่งเต็มๆ สวรรค์คุ้มครอง เขามีทายาทแล้ว! ไม่เพียงแต่หาลูกชายที่พลัดพรากจากเขาและภรรยาไปถึงยี่สิบสี่ปีคืนมาได้ ยังมีหลานแฝดที่น่ารักอีกคู่!
“เอ่อ…เพิ่งสี่เดือนเจ้าค่พ” เหลียงหมัวมัวแอบลอบมองคุณหนูกับท่านเขยข้างหน้า เห็นท่านเขยสีหน้ายังคงเย็นชาไร้อารมณ์ คุณหนูก็ยังดูงุนงงเหมือนนาง ได้แต่ตอบไปตามจริงอย่างระมัดระวังวาจา
“สี่เดือนแล้ว…เลี้ยงได้ดี ข้า…อุ้มพวกเขาได้ไหม” เซวี่ยลี่หันไปยิ้ม พยักหน้าให้กับเหลียงหมัวมัวและไป๋เหอ เอ่ยความต้องการจากก้นบึ้งของหัวใจออกมา
หากรั่วเอ๋อร์รู้ว่าลูกชายนางมีทายาทสืบทอดแล้ว จะดีใจยิ่งกว่าตอนพบเขาครั้งแรกอีกกระมัง
พอคิดถึงว่ากว่าเขาจะปลอบใจภรรยาที่สุขภาพอ่อนแอให้สงบใจลงได้ หากจะให้นางตื่นเต้นอีก กลัวว่าจะยากระงับ เช่นนั้นตนเองก็ขอโอกาสชื่นชมนี้ก่อนละกัน
“คือว่า…ท่านเขย?…” เหลียงหมัวมัวมองขอความเห็นจากหลินซือเย่า หากอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดีจะทำเช่นไร แม้ดูแล้วไม่เหมือน แต่ว่าคนไม่ดีจะเขียนไว้บนใบหน้าหรืออย่างไร
“แค่อุ้มก็ไม่ได้หรือ” เซวี่ยลี่เงยหน้ามองหลินซือเย่า น้ำเสียงมีความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างไรเขาก็เป็นปู่ แม้แต่อุ้มก็ไม่มีสิทธิ์หรือ
“ไม่ได้” หลินซือเย่าจ้องมองตอบอย่างเย็นชา เขายังไม่ยอมรับสถานะที่อาจเป็นไปได้นี้ ให้อีกฝ่ายอุ้มก็ไม่เท่ากับยอมรับหรือ
“ควรตาย! แค่อุ้มก็ไม่ได้! ไม่ได้ทำให้เจ้าเสียเนื้อไปสักชิ้นเสียหน่อย” เซวี่ยลี่ร้อนใจ ลูกชายไม่ยอมรับเขา แต่จะห้ามไม่ให้เขาเข้าใกล้สองทารกน่ารักน่าชังนี่ เขายอมรับไม่ได้
อย่างไรเขาก็เป็นฮ่องเต้นะ ไยต้องมายอมเสียงอ่อนกับอีกฝ่ายด้วย หากไม่ใช่ละอายที่ตนเองหละหลวมทำให้ลูกชายที่ยังไม่ครบเดือนต้องระหกระเหินไปต่างแดน ทนรับความลำบากไม่น้อย ซ้ำยังเกือบตายอีก เขาไหนเลยจะยอมลดศักดิ์ศรีตนเช่นตอนนี้กัน
แต่แม้ขอร้องเสียงอ่อนเช่นนี้ยังไม่ยอม เชอะ! ต้องให้เขาระเบิดอารมณ์หรือ?!
“ก็แค่ไม่ให้ท่านอุ้มเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ท่านเสียเนื้อไปสักชิ้นเสียหน่อย!” หลินซือเย่าตอกเซวี่ยลี่กลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้า…” เซวี่ยลี่จ้องมองลูกชายที่เขาทั้งรักทั้งโมโห สะบัดแขนเสื้อใส่อย่างเสียไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าไม่มีเหตุผลไม่ให้ข้าอุ้มพวกเขา”
“ถือสิทธิ์อะไร!” หลินซือเย่าแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบใส่ ไม่เจอกันมายี่สิบสี่ปี พอเจอกันก็จะมาแย่งลูกเขาไป น่าขันจริง!
คิดจริงหรือว่าฮ่องเต้เซวี่ยหมิงคิดจะทำอะไรก็ทำได้
“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนรั้งแขนเขาที่โอบเอวนางไว้แน่น เตือนว่าสองคนกำลังตวาดใส่กัน ทำเอาหลินหลงตื่นแล้ว
“อุ้มพวกเขาเข้าไปก่อน” หลินซือเย่าขมวดคิ้วสั่งพวกเหลียงหมัวมัว
“เจ้าค่ะ ท่านเขย” เหลียงหมัวมัวกับไป๋เหอรับคำสั่งแล้วก็รีบอุ้มหลินเซียวกับหลินหลงไว้แน่น มองไปทางเสี่ยวเอ้อร์ที่ไม่กล้าส่งเสียงให้นำทางพวกนางไปห้องพัก
หลังพวกเหลียงหมัวมัวก็เป็นหยางจิ้งจือกับชุนหลัน เพราะไม่มีคนบังหน้าจึงได้เห็นว่าคนที่กำลังคุยกับหลินซือเย่าถึงกับเป็นฮ่องเต้เซวี่ยหมิง เซวี่ยลี่
สวรรค์! นี่มันเรื่องอะไรกัน?
หยางจิ้งจือมองซูสุ่ยเลี่ยนอย่างแปลกใจ เห็นอีกฝ่ายก็ดูงุนงงเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้คิดมากต่อ รีบลากชุนหลันเดินผ่านพวกเขาไปทันที
“เดี๋ยวไปหาเจ้า” ตอนเดินผ่านซูสุ่ยเลี่ยน หยางจิ้งจือก็กระซิบที่หูนางเบาๆ
“ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า นางก็กำลังต้องการคนคุยพอดี ก่อนหน้านี้รีบๆ ร้อนๆ ขึ้นรถม้ากันมา ไม่ได้มีโอกาสสนทนากันเลย
“ข้าคิดว่า…พวกเราควรนั่งลงคุยกันดีๆ” เซวี่ยลี่เห็นคนไม่เกี่ยวข้องไปกันหมดแล้ว นอกจากสะใภ้ในอ้อมกอดหลินซือเย่าแล้ว ก็เหลือเขาสองพ่อลูกที่ชักสีหน้าใส่กัน เขาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ พลางเสนอ
“กำลังคิดเหมือนกัน” หลินซือเย่าพยักหน้า ไม่กล่าวกระจ่าง คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมเลิกรา ไม่เช่นนั้นตลอดทางจะยังตามไปรบกวนชีวิตวันหน้าของพวกเขาต่อ