เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 128 ปรองดอง
ยามเหม่า ขบวนรถม้าก็ออกเดินทางลงใต้ จนตอนเที่ยงจึงได้หยุดพักผ่อนที่ริมน้ำกลางเขา
“ที่นี่เข้าเขตเมืองหรงเฉิงแล้ว หากไม่มีเหตุผิดคาด ปลายยามเซินก็จะเข้าเมืองพักแรมโรงเตี๊ยมได้” หลินซือเย่าอุ้มทารกแฝดในอ้อมแขนข้างละคนโดดลงจากรถม้า ส่งทารกแฝดให้เหลียงหมัวมัวรับไปป้อนนม ก่อนจะหันกลับไปประคองซูสุ่ยเลี่ยนลงมา
“ที่นี่ทิวทัศน์งามมาก” แม้ว่ายังไม่อยู่ราวช่วงหน้าหนาวต่อฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เริ่มมีดอกไม้ผลิบานทั่วผืนป่า
ซูสุ่ยเลี่ยนหลับตาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างรู้สึกสบาย ยืดตัวบิดขี้เกียจเอวแทบหัก ยิ้มร่าหันไปสบตาหลินซือเย่า “เหมือนตอนอยู่เขาต้าซื่อไหม เจ้าพาข้าเร่งเดินทางตอนนั้น?” เพียงแต่ตอนนั้นมีแค่นางกับเขาสองคน แล้วก็เสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยลูกหมาป่าสองตัว ตอนนี้กลับมีคนสิบกว่าคนพร้อมรถม้าเป็นขบวน
“อืม” หลินซือเย่ายิ้มบางรับคำ เขาคิดอยู่พอดี ตอนนั้นยังอุ้มนางออกจากเขาต้าซื่อ หากไม่ใช่ว่าพบกับนาง อ้อ ไม่สิ น่าจะบอกว่าถูกนางพบ ตอนนี้คิดว่าแม้แต่ศพเขาก็ไม่เหลือแล้ว
“ไป พวกเราไปนั่งริมลำธารกัน” มองไปไกลๆ เห็นหยางจิ้งจือไปล้างมือล้างหน้าที่ลำธารกับชิงหลันแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็ลากหลินซือเย่าไปริมลำธาร “ตอนนั้นที่เขาต้าซื่อ ข้ายังถอดรองเท้าแช่น้ำ…” ตอนนี้คิดแล้วก็ช่างใจกล้าจริง คิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็แลบลิ้น เกือบจะทำเอาหลินซือเย่าลากนางกลับขึ้นรถม้าไปคลอเคลียสักรอบ
“ข้าเคยเห็นครั้งหนึ่ง!” ก็ครั้งนั้นที่ทำให้ใจอันเย็นเยียบของเขาเกิดปริเป็นช่องโหว่ มีกระแสอ่อนโยนบางอย่างที่แม้แต่เขาก็ไม่ทันรู้ตัวเล็ดรอดออกมา ค่อยๆ เหวี่ยงเป็นแหครอบนางไว้
“ตอนนั้นเจ้าแอบหัวเราะข้าไหม”
“เปล่า” เพียงแต่เห็นเป็นภาพงดงามราวกับเทพธิดาในป่า ตกใจจนเขาอึ้งไป
“เปล่าหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนอมยิ้มเงยหน้า ถูกหลินซือเย่าเอียงกายจุมพิตริมฝีปากงามของนางทีหนึ่ง ดูดดึงลึกล้ำก่อนจะปล่อยนาง “สำคัญหรือ”
“เปล่า” นางก็แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ตอนนี้นางเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการของเขาแล้ว แม้ตอนนั้นแอบหัวเราะนาง รังเกียจนางไม่เรียบร้อย แล้วอย่างไร เขาย่อมไม่หย่ากับนางด้วยเหตุนี้เด็ดขาด
“อย่างไรก็ยังอยู่ใต้แสงตะวัน กลางวันแสกๆ สงบเสงี่ยมหน่อย” เซวี่ยลี่ส่งเสียงดังขึ้นด้านหลังเขาสองคน ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนอาย รู้ตัวว่าที่นี่ยังเป็นที่สาธารณะ มีคนอยู่อีกหลายคน ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคนในเขาต้าซื่อ
“ผิดจริยามิดู” หลินซือเย่าพ่นออกมาสี่คำ ความหมายแฝงในวาจาก็คือคนมีคุณธรรมย่อมไม่มารบกวนพวกเขา คนที่หน้าไม่อายมารบกวนพวกเขาสองสามีภรรยาแสดงความรักต่อกัน ก็มีแค่เขาคนเดียว ไม่เห็นคนอื่นอยากรู้มองมาทางนี้สักคน จะมีใครกล้าแอบมองพวกเขาอย่างไร้มารยาทหรือ?!
“เหอๆ…ก็แค่มาเตือนในฐานะผู้ใหญ่ของพวกเจ้า อย่างไรตอนนี้ยังมีสตรียังไม่แต่งงานอยู่ด้วย” เซวี่ยลี่เองก็ไม่โมโห หัวเราะกล่าวพลางชี้ไปทางพวกหยางจิ้งจือกับชิงหลัน
“พวกท่านคุยกันก่อน ข้าไปอุ่นอาหารสักหน่อย” ซูสุ่ยเลี่ยนนึกรู้ว่าฮ่องเต้เซวี่ยหมิงต้องมีวาจาคิดกล่าวกับอาเย่าแน่ จึงหาเหตุผลขอตัวไปที่รถม้าก่อน
หลินซือเย่าขมวดคิ้วจ้องมองสตรีตัวน้อยที่เดินจากไป ในใจแอบบ่นนางไม่หยุด นางถึงกับกล้าทิ้งเขาไปคนเดียวเช่นนี้?
“เจ้าเลือกภรรยาได้ดีมาก” เซวี่ยลี่จ้องมองแผ่นหลังซูสุ่ยเลี่ยนพลางคลี่ยิ้ม
หลินซือเย่ามองเขาด้วยหางตา ในใจคิด ไร้สาระ ทันทีที่เขาพบสุ่ยเลี่ยน เขาก็ปักใจ
“ข้ารู้ว่าในใจเจ้าแค้นเคือง แต่ลองคิดถึงว่าแม่เจ้าหลายปีมานี้ก็ไม่ได้มีความสุขไปกว่าเจ้า…” เซวี่ยลี่หุบยิ้มกล่าวขึ้นเบาๆ หวังว่าจะทำให้เขาลดความแค้นเคืองที่มีต่อตนกับรั่วเอ๋อร์ได้ “ไม่มีข่าวคราวเจ้าเลย ไม่ว่าตายหรือเป็น แต่นางก็ไม่เคยละทิ้งความหวัง ยังเชื่อว่าเจ้ายังมีชีวิต…จ้านเอ๋อร์…ข้าขอใช้สถานะสามีมิใช่ฮ่องเต้มาคุยเรื่องพวกนี้กับเจ้า ก็หวังว่าเจ้าจะคิดถึงแม่เจ้า…นาง…”
หลินซือเย่าแข็งทื่อไปทั้งตัว ค่อยๆ เดินจากไป เขายังคงไม่อาจปล่อยวางได้
เซวี่ยลี่มองร่างเขาเดินไปทางรถม้าเงียบๆ ล้วนไม่ได้เป็นภาพยามมองเขาสองสามีภรรยาจากด้านหลัง ยามนี้รอบกายเขาเปล่งรัศมีเย็นเยียบถึงกระดูก ทำให้เขาพลันเข้าใจว่า บาดแผลที่ต้องพลัดพรากจากบิดามารดาอย่างพวกเขามาถึงยี่สิบสี่ปี ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจแตะต้องบาดแผลนี้ได้
……
“อาเย่า?…” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นหลินซือเย่าไม่พูดไม่จาเดินเข้ามาในห้องรถม้า ก็หยุดมือที่กำลังอุ่นอาหาร มองเขาอย่างไม่เข้าใจ หรือว่า…สองคนคุยกันแตกคอ?
“ทำไมทิ้งข้า?” หลินซือเย่าถามเสียงเข้ม
“เอ๋? ข้า…ข้ากลับมาอุ่นหมั่นโถว…” เอาละ นางเจตนาทิ้งเขาไว้ ก็เพราะหวังว่าเขาจะได้คุยกับเซวี่ยลี่ดีๆ สักหน่อย อย่างไรก็ไม่อาจให้ทนอึดอัดกันไปตลอดทาง ไม่มองหน้ากันตรงๆ เช่นนี้จนถึงเมืองฝานฮัว สองคนไม่ควรขัดแย้งกันเช่นนี้ไปตลอดทางไหม
หลินซือเย่าจ้องมองนาง เห็นนางจำใจก้มหน้าลงอย่างอดไม่ได้ เผยลำคอเรียวขาวต่อหน้าเขา “เอาละ ความผิดข้าเอง ไม่ควรให้เจ้ากับเขาอยู่กันตามลำพัง…ขอโทษ…ข้า…ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะคุยกับพวกเขาดีๆ ด้วยใจสงบนิ่ง…คือว่า…เจ้าเองก็คงไม่หวังให้…เซียวเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์ทำกับพวกเราเช่นนี้ใช่ไหม ข้า…”
“ไม่เหมือนกัน…” เขารั้งนางมากอด โต้กลับน้ำเสียงแหบพร่า
เขาจะไม่ยอมให้ลูกของเขาเหมือนกับเขาที่ต้องถูกพรากจากบิดามารดาแน่…จากกันทีเดียวยี่สิบสี่ปี…แต่ไรมาเขาเอาแต่คิดว่าหากเขาไม่ได้ถูกเจ้าอาวาสเก็บไปเลี้ยง ไม่ได้โชคดีหนีรอดทุกครั้งหลังจากขโมยซาลาเปาได้ ไม่ได้ถูกคนตีขาหักกลางท้องถนน ไม่ได้มีชีวิตเป็นนักฆ่าน่าอนิจจา…อ้อ ไม่สิ เขาเคยมีชีวิตเป็นนักฆ่าน่าอนิจจาจริงๆ แต่เพราะได้พบสุ่ยเลี่ยน…ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว ไม่มีทางได้รู้จักบิดามารดาแท้ๆ ตนเองว่าถึงกับเป็นชาวเซวี่ยหมิง และก็เพราะเหตุนี้เขาจึงถือสา…เขาไม่เชื่อคำพูดเซวี่ยลี่เลย สิบสี่ปีมานี้ พวกเขาไม่ได้ทุ่มเทตามหาเขา…พวกเขา…เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดถึงลูกชายที่อาจตายไปร้อยพันครั้งแล้ว…
“ไม่มีอะไรไม่เหมือน ความคิดบิดามารดาดาล้วนเหมือนกัน ไม่ว่าสถานะสูงศักดิ์เชื้อพระวงศ์หรือว่าต่ำต้อยดังมดปลวก…ถามใจตัวเองดู ต้องการพวกเขาไหม…อย่าปฏิเสธเร็วเกินไป” ซูสุ่ยเลี่ยนปิดปากเขาไว้ “สัมผัสด้วยใจแล้วค่อยตอบ หากยังคงไม่อยากเห็นพวกเขา ไม่ยอมรับพวกเขา ข้าก็จะเห็นด้วยกับเจ้า…เพราะว่าเจ้าคือสามีข้า ข้าเห็นด้วยกับเจ้าคนเดียว…หาก…ใจของเจ้าบอกเจ้าว่า แท้จริงแล้วหลายปีมานี้เจ้ายังคิดถึงพวกเขาตลอดเวลา หวังจะได้ความรักจากพวกเขา แม้ว่าความรักนี่ได้มาสายเกินไปสักหน่อย แต่ก็ไม่สายมากไม่ใช่หรือ พวกเรายังมีเวลาชั่วชีวิตอีกยาวนาน…”
นี่คือเป็นครั้งแรกที่หลินซือเย่าอดหัวเราะขำในใจไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่นางกล่าวหลักการกับเขายาวเหยียดเช่นนี้ หรือน่าจะกล่าวได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่นางกล่าวหลักการเหตุผลกับเขา เพียงแค่ต้องการให้เขาไม่ต้องนึกเสียใจภายหลังในอีกครึ่งชีวิตที่เหลือ เสียใจที่ไม่ต้องการบิดามารดาแท้ๆ ไม่ต้องการญาติอื่นใดนอกจากนางกับลูก…
“เจ้า…เจ้ากำลังหัวเราะ?…อาเย่า!” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้าขึ้นทันที ถึงกับมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อที่เห็นริมฝีปากเขาแย้มยก เขา เขา เขา ถึงกับแอบหัวเราะ! โอย…น่ารังเกียจ! เสียทีที่นางคิดหาคำพูดหัวแทบระเบิดเพื่อกล่อมเขา
“ข้ากำลังฟัง!” หลินซือเย่ารีบเก็บงำรอยยิ้มในแววตา พยักหน้าทำสีหน้าจริงจัง แสดงให้นางเห็นว่าแท้จริงแล้วเขาจดจำที่นางกล่าวได้ทุกอย่าง ไม่ขาดตกสักคำเดียว
“อย่างนั้นเจ้าท่องมาให้ฟัง!” ซูสุ่ยเลี่ยนแทบเท้าสะเอวส่งสายตาดุร้ายใส่เขา แต่ว่าแม้วาจาดุร้ายเพียงใด พอออกจากปากนางก็เหมือนไร้ความดุดันไปหมดสิ้น
“ให้ข้าท่องจริงหรือ?” หลินซือเย่าหัวเราะเบาๆ กอดนางไว้แน่น ซุกหน้าลงซอกคอนาง พ่นลมหายใจร้อนผ่าวใส่นาง ทำเอาใบหูนางร้อนเห่อขึ้นทันที
“แน่…แน่นอน…” นางพยายามฝืนไม่ให้ตนเองอ่อนยวบในอ้อมกอดเขา
“ได้ เช่นนั้นข้าท่องละนะ…พวกเรายังมีเวลาชั่วชีวิตอีกยาวนาน…”
เขาเลือกวาจาท่อนที่ไม่สำคัญเท่าไรแต่กลับทำให้นางซึ้งใจยิ่งมากล่าวย้ำอีกรอบ จากนั้นก็ก้มหน้าลงจุมพิตกลีบปากนาง “แม้ว่ายังมีทั้งชีวิต แต่เราก็ไม่อาจปล่อยให้สิ้นเปลือง…”
“ไม่…ไม่ได้นะ…” นางใช้สติสุดท้ายรั้งเขาไว้ “หลินซือเย่า! ตอนนี้ทุกคนพักผ่อนกันอยู่ข้างนอกนะ!” วาจานี้กล่าวออกไป แม้แต่นางเองก็ยังหน้าแดงอย่างน่าแปลก โอะ…นางถึงกับพูดอะไรออกไปเนี่ย!
“…ได้ อีกสักครู่ออกเดินทางพร้อมกัน พวกเราค่อยต่อ…” เสียงจากหน้าอกที่กระเพื่อมของเขาแสดงให้เห็นว่าเขากำลังหัวเราะขำ ตามคาด พอเงยหน้ามองเขาก็เห็นใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ข้า…ข้าไปดูลูกๆ ก่อน!” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบลุกจากกายเขา จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะไม่มองเขาสักนิด รีบหนีลงจากรถม้าไป
หลินซือเย่ามองตามพลางแอบขำไม่หยุด เขาจะต้องการนางตอนนี้ที่นี่ได้อย่างไรกัน ครั้งก่อนกระทำกันบนรถม้าก็เหมือนเกินขีดจำกัดนางแล้ว
เขาหุบรอยยิ้มเอนตัวลงพิงเตียง ยกมือรองท้ายทอย หลับตาย้อนรำลึกวาจาเต็มไปด้วยหลักการยาวเหยียดที่นางกล่าวเมื่อครู่
ไม่นาน นอกรถม้าก็มีเสียงเคลื่อนไหวประหลาดดึงความคิดเขากลับคืนกลับมา
เขาดีดตัวลุกจากเตียง โดดออกจากรถม้า ภาพตรงหน้าทำเอาหลินซือเย่าแทบอยากจะร้องไห้
กลุ่มคนแต่งกายอย่างโจรภูเขาถือดาบกวัดแกว่งล้อมพวกเขาไว้
“ไม่…ไม่อนุญาตให้ขยับ! เชื่อฟังดีๆ มอบเงินทองติดตัวมาให้หมด!” หนึ่งในนั้นท่าทางเหมือนหัวหน้าโจรภูเขาปิดหน้ากวัดแกว่งดาบยาวไปมา เห็นลูกน้องรอบๆ เงียบลงแล้ว ก็หันไปส่งเสียงตวาดดุดันใส่หลินซือเย่า
“ยังมีรถม้า พี่ใหญ่!” เสียงตัวเล็กข้างๆ ดังเตือนขึ้น “เอาไปแลกเงินได้ไม่น้อย!”
“เอ่อ…ใช่! ยังมีรถม้า! พวก…พวกเจ้า รีบทิ้งของมีค่าไว้ที่นี่ให้หมด แล้วรีบไสหัวไปจากที่นี่! ไม่อย่างน้น…อย่าหาว่าข้า…ข้า…ข้าไม่เกรงใจนะ!” เห็นๆ ว่าเป็นหัวหน้าโจรภูเขา พูดจาประกาศยังเสียงสั่นเหมือนพวกเขาเป็นคนถูกปล้นเสียเอง
พอกล่าวจบ โจรภูเขายี่สิบกว่าคนก็ถลึงตาโตมองกลุ่มคนที่ถูกพวกเขาล้อมไว้ พอพวกเขาโยนเงินทองทิ้งไว้เปิดตูดปัสสาวะราดหนีไปจากที่นี่ พวกตนก็จะได้เก็บเกี่ยวกันยกใหญ่แล้ว ความจริงคนที่ผ่านมาที่นี่น้อยมาก กว่าพวกตนจะรอให้มีโอกาสได้กินกันอิ่มหนำสักหน่อยก็รอมานานมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจถอย
แต่ความจริงไม่ได้เป็นไปตามบทที่พวกเขาคิดไว้ พริบตาเดียว คนที่ตะเกียกตะกายปัสสาวะราดไม่ใช่อีกฝ่าย แต่เป็นคนของตนเอง
“นาย…นายท่านโปรดไว้ชีวิต…” หัวหน้าโจรภูเขาร้องไห้น้ำหูน้ำตาร่วงกอดขาซือถูอวิ๋นขอร้องเสียงดังลั่น
“ข้าแก่มากหรือ” ซือถูอวิ๋นถลึงตาใส่เขา อดค้อนใส่ไม่ได้ คนกลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาใช้กระบี่สักนิด ยังกล้าเลียนแบบคนอื่นมาเป็นโจรภูเขา จุ๊ๆ หากให้อาจารย์ลุงลงมือ คิดว่าคนได้นอนกองเป็นซากศพไปหมดแล้ว
“เอ่อ…นายท่านน้อยโปรดไว้ชีวิต! นายท่านน้อยโปรดไว้ชีวิต!” หัวหน้าโจรภูเขารีบเปลี่ยนคำเรียกขานทันที
“อาจารย์ลุง จัดการพวกเขาอย่างไรดี” ซือถูอวิ๋นหันไปมองหลินซือเย่าที่ปกป้องภรรยาและลูกห่างออกไปหลายจั้ง
“หักแขนขาทิ้ง” หลินซือเย่าน้ำเสียงเย็นเยียบ แค่กล่าวออกไปก็ทำเอาพอเห็นภาพอันน่าสงสารที่กำลังจะเกิดขึ้น
“อย่า…ท่านจอมยุทธ์ อย่าหักแขนขาพวกเรา…พวกเรามีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู…ยังมีลูกยังไม่หย่านม…เล็กกว่าสองทารกนั่นอีกนะ…หากไม่ใช่ถูกบีบจนไร้หนทาง จะมาคิดปล้นนายท่านทุกท่านได้อย่างไร…ฮือ ฮือ ฮือ…” ชายวัยต้นสี่สิบอยากร้องไห้ก็ร้อง ทำเอาซือถูอวิ๋นเซ่อไปเลยทีเดียว
“ข้าว่าแล้วไปเถอะ…คนเขาก็มีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู จึงได้หาทางรอด…ไม่เหมือนบางคน แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่ยอมรับ!” เซวี่ยลี่น้ำเสียงเย็นเยียบย้อนกลับ ทำเอาทุกคนฟังแล้วแอบตกใจจนใจสั่นไปหมด ซือถูอวิ๋นรีบลากเจ้าคนที่กอดขาเขาร้องไห้โฮออกไปให้ไกลรัศมีหลินซือเย่า
แต่น่าแปลกที่หลินซือเย่าไม่โมโห หากกวาดตามองเซวี่ยลี่ รั้งซูสุ่ยเลี่ยนเดินไปที่ก้อนหินใหญ่ริมลำธาร “นั่งตรงนี้อีกสักครู่ ข้าจัดการเสร็จ กลับมาก็ออกเดินทาง อย่าลืม เจ้ายังค้าง…”
“โอะ!” ซูสุ่ยเลี่ยนพลันนึกถึงความหมายในวาจาเขา รีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ทันที ก่อนจะมองไปรอบๆ หยุดเรื่องน่าอายที่เขาจะพูดต่อไปแล้วจะยั่วให้นางหูแดงร้อนผ่าวตรงนี้
หลินซือเย่าดึงมือน้อยนางออกพลางหัวเราะเบาๆ “คิดไปถึงไหนกัน? หน้าแดงเช่นนี้! ข้าเพียงแค่อยากบอกว่า เจ้ายังติดค้างหมั่นโถวข้ามื้อหนึ่ง ข้าหิวแล้ว” จากนั้นก็แย้มยกมุมปากลุกขึ้นเดินไปทางโจรภูเขา
“ไป พาข้าไปดูรังพวกเจ้า เป็นดังที่ว่ามีพ่อแม่และลูกไม่หย่านมจริงหรือไม่ หากพบว่าโกหก จะไม่ปล่อยไว้แน่” หลินซือเย่ายืนอยู่หน้าหัวหน้าโจรภูเขาสั่งการเยียบเย็น
“ได้ๆๆ ย่อมไม่ใช่วาจาโกหก ท่านจอมยุทธ์เชิญทางนี้” หัวหน้าโจรภูเขาลนลานลุกขึ้น พาหลินซือเย่าขึ้นไปตามเส้นทางในภูเขา
“จุ๊ๆ…มีแต่เจ้าทำให้เขายอมได้ ก็ไม่รู้ว่านิสัยเหมือนผู้ใด ทั้งดื้อทั้งรั้น” เซวี่ยลี่รั้งเฟิ่งรั่วเอ๋อร์มาข้างกายซูสุ่ยเลี่ยน ยิ้มส่ายหน้า
“เขาเพียงแต่แสดงออกไม่เก่ง ความจริงเขาไม่ได้ไร้น้ำใจเย็นชาเหมือนที่พวกท่านเห็น” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มอธิบาย
เซวี่ยลี่กับเฟิ่งรั่วเอ๋อร์สบตากันยิ้ม ในใจนึกให้คะแนนเต็มสะใภ้คนนี้ไปแล้ว
“ขอบคุณ…หากไม่ใช่เจ้าคอยเตือนเขา ข้าว่า…เมื่อครู่เขาคงไม่ช่วยข้า…” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์รั้งมือซูสุ่ยเลี่ยนมากุมไว้กล่าวขอบคุณจริงใจ ในตอนที่โจรภูเขาโจมตี ลูกชายผลักนางทีหนึ่ง ทำให้นางพ้นจากคมดาบที่ไร้ตา แม้หลังเกิดเรื่องจะยังมีท่าทางเย็นชาเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าในใจลูกชายังมีแม่อย่างนาง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว