เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 130 เก็บกวาด
“ไม่เจอกันสามปี เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงดังกระจ่างนิ่งเรียบดังขึ้นภายในห้อง ทำเอาเจี้ยซิวที่กำลังพลิกตัวไปมานอนไม่หลับอยู่บนเตียงแตกตื่นตกใจ ก่อนจะคิดได้ว่าเจ้าของเสียงนี้ก็ผู้เกื้อหนุนเขาที่หลายวันนี้เขาเฝ้าคิดถึงมาตลอด
“ประสก…คือผู้มีพระคุณอาตมา?” เจี้ยซิวลุกขึ้นคลุมชุดตัวนอกจุดตะเกียงสว่าง มองไปยังชายในชุดสีเข้มสีหน้าไร้อารมณ์ยืนพิงอยู่ที่เสาประตู สีหน้าเย็นเยียบพันปีไม่เคยแปรเปลี่ยนแสดงให้เห็นว่าเขาเดาถูก
“อาตมายังคิดว่า…” เจี้ยซิวปาดน้ำตาที่เริ่มคลอเอ่อ น้ำเสียงสะอื้น กล่าวต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“หลายปีมานี้ ที่วัดสบายดีไหม” หลินซือเย่าตรงเข้าประเด็น หากไม่ใช่ว่าเขาเติบโตที่วัดอวิ๋นหลัวแปดปี ไม่อยากทำให้ความทุ่มเทของเจ้าอาวาสต้องสูญเปล่า เขาย่อมไม่คิดหาทางฝากเงินคนขึ้นเขามาดูแลวัด
ในเมื่อดูแลมาสิบกว่าปี ไม่มีเหตุผลที่เขาจะให้พวกกเฬวรากเดนตายมาสร้างกลิ่นอายอัปมงคลครอบคลุมวัดเล็กๆ ที่เคยเงียบสงบแห่งนี้ ทำให้เจ้าอาวาสในปรภพยากตายตาหลับ
“เฮ้อ พูดไปแล้วก็ยาว หากไม่ใช่พวกชั่วร้ายด้านนอก วัดอวิ๋นหลัวก็ดีหมดทุกอย่าง…” เจี้ยซิวใช้คำบรรยายกลุ่มคนที่รุกรานเข้ามาในวัดเช่นนี้ เล่าข่าวที่เขาได้มาให้หลินซือเย่าฟังอย่างละเอียด
“ประสก สิบสองปีก่อนอาตมามองทะลุโลกแห่งโลกียะ จึงได้มาอยู่ที่นี่ อยู่กับแสงจันทราสงบเงียบ ใช้ชีวิตเงียบเรียบง่าย ผู้ใดจะคาดว่า…เฮ้อ สรุปอาตมาละอายต่อความไว้วางใจของประสก!”
“อืม ไม่ต้องคิดมาก พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ มาคืนความสงบให้วัดอวิ๋นหลัว” หลินซือเย่าเงียบฟังเรื่องที่เจี้ยซิวเล่าจบ ก็พยักหน้าหันหลังกระโดดทะยานออกจากห้องไป “จำไว้ อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น”
……
“อะไรนะ พวกที่ชักนำสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงมาแผ่นดินต้าหุ้ย?” เซวี่ยลี่จ้องมองลูกชายที่นำข่าวกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ กลางดึกถูกขุดออกมาจากที่นอนแสนอบอุ่น เขาก็ไม่ว่าอะไร อย่างไรลูกชายยากจะมาหาเขาด้วยตนเอง แต่พอได้ยินข่าวที่เขานำกลับมา ความง่วงนอนก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“กล่าวเช่นนี้ ข่าวที่สืบได้มาจริงหรือ มั่นใจว่ามีคนคิดใช้สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงเป็นหมากสร้างข่าวลือ ล่อให้สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงมา บางทีอาจทำให้ฮ่องเต้ต้าหุ้ยระแวงเซวี่ยหมิงได้อีก…แผนยิงนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ…” เซวี่ยลี่ส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ “คิดไม่ถึง พรรคพวกเล็ดรอดของเซวี่ยอิงตอนนั้นยังหนีรอดจากแหไปได้ไม่น้อย…”
“พรุ่งนี้เช้าข้าจะพาซือถูขึ้นเขา” หลินซือเย่าไม่ได้ฟังเซวี่ยลี่อุทานพูดต่อ ที่มาหาเซวี่ยลี่ก็หวังว่าตอนเขากับซือถูอวิ๋นไม่อยู่ให้ดูแลลูกและภรรยาเขาให้ดี
“ให้ส่งคนไปช่วยด้วยไหม” เซวี่ยลี่มองหลินซือเย่าอย่างเป็นห่วง “ซ่อนตัวมาได้ยี่สิบกว่าปี สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงค้นหาทั่วเซวี่ยหมิงแทบพลิกแผ่นดินก็หาร่องรอยไม่ได้ น่าจะมีอุบายแยบยล อาศัยแค่เจ้าสองคน…จะ…ตกหลุมพราง?”
“พรุ่งนี้พวกเขาก็จะให้เจ้าเมืองหลงเฉิงรวบรวมกำลังคนขึ้นเขาสร้างเจดีย์แล้ว หากยืดเยื้อต่อไป ผู้บริสุทธิ์ที่เข้ามาข้องเกี่ยวยังอาจมีมากยิ่งขึ้น” หลินซือเย่าส่ายหน้า เขาพอคาดเดาได้แล้วว่าวิทยายุทธ์อีกฝ่ายเป็นเช่นไร เขาแอบฟังพวกเขาคุยกันอยู่บนยอดไม้ที่ห่างจากวัดออกไปสิบจั้งอย่างเปิดเผย พวกเขาก็ยังไม่รู้ตัว แสดงให้เห็นถึงความสามารถของอีกฝ่ายชัดเจน แต่ทว่าไม่มั่นใจว่าในมือพวกเขายังมีอาวุธอะไรไว้รับมืออีก ดังนั้นเขาจึงจะพาซือถูอวิ๋นไปด้วย คนหนึ่งจัดการ คนหนึ่งคอยระวัง ไม่ปล่อยเล็ดรอดไปแม้แต่คนเดียว หวังว่าจะจัดการเบ็ดเสร็จรวดเร็ว ครึ่งวันก็กำจัดพวกเขาหมดสิ้น
“ก็จริง…เช่นนั้นก็ดี ข้ารอข่าวจากเจ้า ทางเจ้าเมืองหลงเฉิงนั้น ข้าจะส่งเจี้ยนเหิงไปคารวะสักครา ดูจากการพัฒนาของเมืองฉีอวิ๋น เขาน่าจะเป็นคนฉลาด” เซวี่ยลี่ได้ฟังเขาอธิบายจบก็คิดได้ว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกันแน่ ได้แต่พยักหน้ารับคำ พร้อมกับตัดสินใจให้ลูกน้องไปหยุดเจ้าเมืองไว้ จะได้ไม่นำทหารขึ้นเขาฉีอวิ๋นซาน
หลินซือเย่าพยักหน้าไม่พูดต่อ หันหลังกลับห้องตนเองไป ไปมาเช่นนี้เหมือนเสียเวลา แต่จริงๆ ใช้เวลาไปแค่หนึ่งชั่วยาม ยังมีเวลาพอให้เขาพักผ่อนสักครู่ พรุ่งนี้ยังต้องต่อสู้ดุเดือด เจ้าพวกหลางซีที่ทำซือเล่าเจ็บสาหัสนอนสลบไสล เขาต้องไปสู้กับพวกกลุ่มมังกรก็เพราะคนเหล่านี้วางแผน ดีมาก ไม่ได้ออกกำลังกายมานานแล้ว ยังคิดถึงความรู้สึกจับอาวุธอยู่เหมือนกัน
……
วันรุ่งขึ้นพอฟ้าสาง ซูสุ่ยเลี่ยนก็ควานหาไปด้านข้าง ไม่พบความอุ่นบนที่นอนแล้ว นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาถึงกับลืม! เคยสัญญากันไว้แล้วว่า เขาจะตื่นพร้อมกับนางทุกวัน นับประสาอันใดกับการที่ยังอยู่โรงเตี๊ยม มีเรื่องเร่งด่วนใดที่ต้องให้เขาตื่นเช้าไปจัดการ ไปอย่างไม่บอกกล่าวสักคำ?
สรุป ตั้งแต่เมื่อวานที่เขาเสนอว่าจะมาวัดอวิ๋นหลัวที่เขาฉีอวิ๋นซานก็ดูแปลกไปแล้ว
“ไป๋เหอ เห็นอาเย่าไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็มาถึงห้องแม่นม รับเอาหลินหลงที่เพิ่งตื่นมาป้อนนม เห็นไป๋เหอเข้ามาอุ้มหลินเซียวก็ถามขึ้น
“ไม่เห็นเจ้าค่ะ คุณหนู เหมือนว่ากำหนดเดินทางเปลี่ยนแปลง ได้ยินชิงหลันว่า ก่อนบ่ายวันนี้ให้พักผ่อนในห้อง ไม่ขึ้นเขาแล้ว” ไป๋เหอรายงานข่าวที่เพิ่งได้ยินมา คิดแล้วก็สำทับขึ้นอีกคำว่า “อีกเรื่อง คุณชายซือถูก็หายตัวไปด้วย ไปหาเจี้ยนเหิงห้องเดียวกับเขาก็ไม่เจอ ฮ่องเต้เซวี่ยหมิงก็ออกไปข้างนอกแล้ว”
“อวิ๋นเอ๋อร์ก็ไม่อยู่ หรือว่าไปทำงานกับอาเย่า?” เงียบไปพักหนึ่ง ซูสุ่ยเลี่ยนค่อยๆ เดา ปกติหากอาเย่าไปไหน อวิ๋นเอ๋อร์ต้องอยู่ดูแลนางกับทารกแฝดไม่ห่างไปไหน ไม่เคยเห็นสองคนไม่อยู่พร้อมกัน หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ แล้ว
ป้อนนมเสร็จกลับห้อง ซูสุ่ยเลี่ยนยังคงจมอยู่ในภวังค์ความคิด
ตอนนั้นเองเซวี่ยลี่กับเฟิ่งรั่วเอ๋อร์ก็ออกมาหาถึงที่ห้อง
“รู้ว่าเจ้ากำลังคิดเหลวไหล” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์เห็นสีหน้าของซูสุ่ยเลี่ยนดูงงงวย ตอนมาเปิดประตูก็แอบขำพลางส่ายหน้า “สามีไม่ได้บอกเจ้า ก็เพราะคิดว่าไม่อยากให้เจ้าเป็นกังวล ผู้ใดจะคาดว่า ดีเลย เป็นกังวลจนข้าวเช้าไม่ยอมกิน”
นางวางจานขนมในมือลงก่อนจะดึงซูสุ่ยเลี่ยนมานั่งที่โต๊ะ “วางใจ เขาย่อมกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนวู่วาม เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ”
ใช่แล้ว ทำไมนางจึงลืมไปได้ แต่ไรมาอาเย่าไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ ไม่ว่าลงมือด้วยเป้าประสงค์อันใดเขาก็จะจัดลำดับให้นางกับทารกแฝดอยู่ในความปลอดภัยอันดับหนึ่ง และตัวเขาเองก็ไม่เคยผิดพลาด
“เป็นข้าเองที่คิดมากไปแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มเขิน
“หากเป็นข้าก็คงเช่นกัน เพราะว่าเจ้าใส่ใจเขามาก” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ยิ้ม ตบหลังมือของซูสุ่ยเลี่ยน “ข้าดีใจมากที่มีสะใภ้เช่นเจ้า แม้ว่าลูกชายข้าตอนนี้ยังไม่ยอมรับพวกเรา แต่ความจริงอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ใช่หรือ จะถือสาไหมที่จะเรียกข้าว่าแม่สักคำ”
ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งเงยหน้ามองนาง เป็นถึงนายหญิงแห่งแผ่นดิน ถึงกับใช้น้ำเสียงอ่อนยอมลดตัวมาขอร้องนาง ให้เรียกนางว่า ‘แม่’ ไม่ใช่คำว่า ‘เสด็จแม่’ ที่ควรเป็น
“ทำไม เรียกไม่ออกหรือ เหอๆ…ก็จริง ลูกชายไม่สนิทกับพวกเรา สะใภ้ก็ย่อมต้องอยู่ข้างสามี…”
“…ท่านแม่…” ซูสุ่ยเลี่ยนเรียกเบาๆ อย่างเขินอาย หยุดเสียงสัพยอกของเฟิ่งรั่วเอ๋อร์เอาไว้ทันที
“ลี่ ได้ยินไหม สะใภ้เรียกข้าแล้ว นางเรียกข้า ‘ท่านแม่’ แล้วนะ!” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ปาดน้ำตาที่หางตา เขย่าแขนสามีข้างๆ เสียงสะอื้นโอ้อวด ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนเห็นแล้วก็นึกสงสาร นางน่าจะอยากได้ยินจากปากอาเย่าเรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ สักคำมากกว่า
“ได้ยินแล้ว ดูเจ้าดีใจสิ” เซวี่ยลี่ยิ้ม ปาดน้ำตาที่หางตาให้ภรรยา หันกลับไปมองซูสุ่ยเลี่ยน “ไม่เรียกข้าสักคำหรือ”
เอ่อ? เรียกอะไร? ฮ่องเต้? หรือว่า…ท่านพ่อ?
“…ท่านพ่อ…” ซูสุ่ยเลี่ยนเรียกเบาๆ อย่างไม่แน่ใจ ข้ามภพมาได้บิดามารดาแสนดีมา ก็เป็นเมตตาจากสวรรค์แล้ว ประทานสามีกับลูกให้นางยังไม่พอ ยังให้บิดามารดาสามีที่สถานะไม่ธรรมดามาอีก?
“สุ่ยเลี่ยน…ข้าได้ยินจ้านเอ๋อร์เรียกเจ้าแบบนี้ ไม่ถือสาใช่ไหมหากพวกเราจะเรียกเจ้าเช่นนี้” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์เห็นซูสุ่ยเลี่ยนส่ายหน้า ก็กล่าวว่า “หลังจากวันนี้ พวกเราก็ต้องกลับเซวี่ยหมิงก่อน ไม่ใช่ไม่อยากไปดูเมืองฝานฮัวกับพวกเจ้า แต่ในวังเกิดเรื่องต้องให้บิดาสามีเจ้ากลับไปจัดการ”
“…ท่านแม่?” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินว่าพวกเขาจากนี้จะไม่ออกเดินทางไปกับพวกนาง ก็แอบเดาว่าการตัดสินใจอาเย่าทำให้พวกเขาสิ้นหวัง “อาเย่าเขา…”
“ไม่เกี่ยวกับเขา” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ส่ายหน้าปลอบว่า “เจ้าก็รู้ เซวี่ยลี่แบกภาระหนักหน่วง ไม่อาจมีอิสระเหมือนประชาชนทั่วไปได้ แต่ข้ารับรอง ทันทีที่จัดการทุกอย่างเสร็จ จะต้องไปเมืองฝานฮัวแน่ ตอนนั้นขอเพียงพวกเจ้าไม่รังเกียจพวกเราก็พอ”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! แท้จริงแล้วในใจอาเย่าก็มีพวกท่าน เพียงแต่เขาแสดงออกไม่เป็น กอปรกับ…” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบอธิบาย กลัวเซวี่ยลี่สองสามีภรรยาจะเข้าใจความเยียบเย็นอันเป็นปกติของอาเย่าผิดไป
“แน่นอนพวกเรารู้…” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ยิ้มสบตากับเซวี่ยลี่
“ลูกสะใภ้ กล่าวเช่นนี้ละกัน เมื่อคืนวานเจ้าสามี ก็คือลูกชายข้า ยังมาหาข้าหารือเรื่องวันนี้ ดังนั้นเจ้าวางใจได้ แต่ว่าเจ้ากล่าวได้ถูกต้อง เขาแสดงออกไม่เป็นจริงๆ” เซวี่ยลี่ยิ้มกล่าวรับคำ แต่ทว่าสำหรับเขาแล้ว เมื่อคืนวานที่ลูกชายมาหารือกับเขาด้วยตนเอง ก็แสดงให้เห็นว่าลูกชายเขาแท้จริงแล้วยอมรับพวกเขาแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว
……
ยามอิ๋นสามเค่อ วัดอวิ๋นหลัวหลังผ่านการต่อสู้ดุเดือดก็เก็บกวาดสะอาด
จัดการเก็บกวาดสิ่งเกะกะรกตารอบสุดท้ายเสร็จ ซือถูอวิ๋นก็เก็บกระบี่คืนฝัก
“อาจารย์ลุง จัดการอย่างไร” กวาดสายตามองซากศพกองอยู่ในและนอกวัดอวิ๋นหลัว หันไปถามหลินซือเย่าหน้าประตูวัด
นานแล้วที่ไม่ได้ต่อสู้ดุเดือดสะใจเช่นนี้ สะใจจริง!
“โยนทิ้ง” หลินซือเย่าตอบโดยไม่ได้หันมามอง จากนั้นยังสะบัดเสื้อดูว่ามีรอยเลือดเปรอะเปื้อนชุดตัวนอกที่สุ่ยเลี่ยนตัดให้เขาหรือไม่ ก่อนจะวางใจ
“รับคำสั่ง!” ซือถูอวิ๋นพอได้ยินก็รีบเข้าแบกศพอย่างคล่องแคล่ว ทะยานไปทางหน้าผาหลังวัดก่อนจะปล่อยมือโยนศพลงไปในหน้าผาที่ลึกลงไปหมื่นจั้ง
“อมิตาภพุทธ สาธุๆ!” เจี้ยซิวประนมมือ ยืนอยู่ข้างซือถูอวิ๋น ท่าทางสวดอธิษฐานอย่างเลื่อมใสในพระพุทธองค์
“นี่ ข้าว่านะ อาจารย์เจี้ยซิว หากพวกเราไม่ทำเช่นนี้ คงมีผู้บริสุทธิ์ต้องมาตายกันอีกไม่น้อยนะ” ซือถูอวิ๋นไปมาหลายรอบ เอาศพไปโยนหมดก็ตบมือแปะๆ เมื่อครู่เจี้ยซิวสวดให้กับทุกศพที่โยนลงไปว่าอมิตาภพุทธทุกศพ
“อาตมารู้ ดังนั้นได้แต่สวดให้สักหน่อย ลองดูว่าจะส่งวิญญาณพวกเขาได้ไหม” เจี้ยซิวพยักหน้าอธิบายสีหน้าจริงจัง
ทำเอาซือถูอวิ๋นมองตาค้าง คิดไม่ถึงพระที่ดูเหมือนหัวทื่อ ถึงกับอธิบายง่ายๆ เช่นนี้ได้! ยังคิดว่าหูเขาน่าจะได้ยินคำว่า ‘วางดาบลง บังเกิดพุทธะจิต’ คำสอนห้ามปรามอะไรพวกนี้เสียอีก
“ไปได้แล้ว” หลินซือเย่าตรวจสอบรอบๆ วัดรอบหนึ่งแล้ว มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็มายืนด้านหลังซือถูอวิ๋น
“ประสก วันนี้จากกันไม่รู้ว่ายามใดจะได้…”
“เวลานี้ปีหน้า” ไม่รอให้เจี้ยซิวพูดมากจบ หลินซือเย่าก็สบถทิ้งไว้สี่คำ ก่อนจะกระโดดลงเขาไปก่อน
“เฮ้ อาจารย์ลุงบอกว่าปีหน้าเวลานี้จะมาพบท่าน รักษาสุขภาพ!” ซือถูอวิ๋นหัวเราะร่า ตบใบหน้าเจี้ยซิวแปะๆ ให้รู้สึกตัว ก่อนจะรีบตามหลินซือเย่าลงเขาไปทันที
มองไปไกลๆ พระอาทิตย์สีแดงเริ่มโผล่พ้นสันเขาแล้ว เป็นความงามอันดับหนึ่งแห่งเขาฉีอวิ๋นซาน
และวัดอวิ๋นหลัวก็กลับคืนสู่ความสงบดังวันวานอีกครั้งแล้ว