เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 139 พร้อมหน้า
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ในเมืองฝานฮัว
งิ้วฉากสุดท้ายก็เริ่มแสดงแล้ว เช้าวันนี้เป็นครึ่งวันสุดท้ายที่เมืองฝานฮัวจะเปิดให้คนนอกเข้า ผ่านพ้นบ่ายวันนี้ไป เมืองฝานฮัวก็จะกลายเป็นจวนพักตากอากาศส่วนตัวจวนอ๋องจิ้ง คนที่ไม่ใช่ชาวเมืองฝานฮัวไม่อาจเข้าออกตามอำเภอใจได้อีก
นี่คือระเบียบที่หลินซือเย่าตั้งขึ้นมาระยะนี้ เป็นระเบียบที่ไม่เป็นลายลักษณ์ แต่ไม่มีคนกล้าไม่ทำตาม ไม่มีคนกล้าฝ่าฝืน
เพราะว่าสองทางเข้าออกเมืองฝานฮัวและพื้นที่นารอบนอกที่บุกรุกเข้ามาง่ายถูกสร้างค่ายกลบังตากว้างหลายจั้งติดต่อกันเป็นผืนกว้าง
มองดูป่าดอกเหมยที่ปลูกเรียงกันเป็นระเบียบ คนที่ไม่เข้าใจเรื่องค่ายกลชั้นสูงอย่างแผนผังจักรวาลและดาวเจ็ดดวง ย่อมไม่มีทางหาทางเข้าเมืองฝานฮัวท่ามกลางต้นเหมยที่ปลูกเรียงรายบังตานี้เข้ามาได้อย่างเด็ดขาด
สำหรับชาวบ้านภายใน ซือถูอวิ๋นและศิษย์พี่ศิษย์น้องสิบกว่าคนไปอธิบายให้ทีละบ้านฟัง พอเข้าใจถึงวิธีเข้าหมู่บ้านกันแล้ว พูดไปแล้วนั้นก็ง่าย พอเข้าป่ามาก็เดินตรงดิ่งมายี่สิบก้าวก็จะเห็นซุ้มศิลาทางเข้าหมู่บ้าน
ดีที่ผ่านการเปิดเมืองให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมงิ้วกันครึ่งเดือน ทำให้ชาวเมืองฝานฮัวเบื่อหน่ายคนนอกที่มาเยือนกันแล้ว มองดูจวนพักตากอากาศที่เดิมสะอาดสอ้านถูกทำสกปรก แม้ว่ากำชับแล้วกำชับอีก เตือนแล้วเตือนอีก ก็ยังคงทำสกปรกอยู่ดี มองดูตามกำแพงที่เต็มไปด้วยผลหมากรากไม้ของแต่ละบ้าน แม้บอกแล้วว่าหากพบสองรอบจะขับออกจากเมืองฝานฮัว แต่ก็ยังคงมีคนเด็ดอยู่ดี
ดังนั้นพอหลินซือเย่าเสนอเช่นนี้ ก็เหมือนโดนใจพวกเขาพอดี ไม่มีใครไม่ตบมือยินดี
พอเช่นนี้ เมืองฝานฮัวก็ราวกับมีกำแพงทองแดงปกป้องเมืองแล้ว
“ในที่สุดหูข้าก็สงบได้เสียที” ซือเล่าเงยหน้ากรอกสุราดอกกุ้ยอายุสองปีหอมแตะจมูกเข้าปาก หรี่ตามองอย่างมีความสุข
“ใช่แล้ว เป็นผู้ใดกันที่คิดแผนงานบ้าบอนี้ออกมา คณะงิ้วมาอยู่ครึ่งเดือน? ยังเปิดให้คนนอกเข้า จุ๊ๆ ไม่ใช่งานวัดเสียหน่อย ยังมีน้ำชากินฟรีอีก…” ซือชงได้ลิ้มสุรารสเลิศไปก็เอ่ยรับคำ
“ข้อเสนอผู้ใหญ่บ้าน พ่อบ้านเซียวร่วมวง ก็เช่นนี้แล้ว แต่ทว่าก็ดี ไม่ผ่านความวุ่นวายนี้ การนำค่ายกลบังตามาใช้ก็อาจจะไม่ได้รับการยอมรับจากพวกชาวบ้านหัวรั้นพวกนั้นโดยง่ายเช่นนี้” หลินซือเย่าพิงเสาศาลา ยกจอกสุราขึ้นมองไปภูเขางดงามที่ไกลออกไป ยามเซินต้นฤดูใบไม้ร่วง พระอาทิตย์ลับหลังเขา ทอประกายแสงสาดส่องสระบัวสะท้อนประกายระยิบงดงาม
“สุรานี้บ่มได้ดี ไม่ทราบว่ามีอีกไหม” ซือเล่าเขย่าไหสุราดูว่าเหลืออีกเท่าไร ยิ้มมุมปากมองหลินซือเย่า
“ไม่มีแล้ว สุ่ยเลี่ยนบ่มไว้แค่ไหเดียว หากไม่มีพวกเจ้า ไม่มีพวกเขา ยังคงเป็นแค่บ้านเราสี่คน บางทีอาจบ่มสุราดีออกมาอีกไม่น้อย” หลินซือเย่าตอบโดยไม่หันมามอง แววตามีรอยยิ้ม แต่ไม่ได้ส่งผลต่อน้ำเสียงราบเรียบที่เขากล่าวอธิบาย ทำให้ซือเล่าและซือชงได้ยินก็อดสบตากันไม่ได้ นี่เขารังเกียจพวกเราหรือ ไอ้คนแล้งน้ำใจ! สองคนคิดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“เจ้าช่างแล้งน้ำใจ จวนพักตากอากาศฝานฮัวตอนนี้จัดการปรับปรุงได้งดงามน่าหลงใหลเช่นนี้ อย่างไรก็เป็นผลงานของพวกเราส่วนหนึ่งนะ” ซือชงมองฟ้าก่อนจะค้อนใส่ เสียงดังโวยวายขึ้น
“หากไม่มีผลงาน จะมานั่งมีความสุขที่นี่ได้?” หลินซือเย่าเงยหน้ากระดกสุราดอกกุ้ยหมดจอก หันไปมองทั้งสองคนพลางโต้กลับ
“เชอะ คิดว่าพวกเรามีสิทธิ์อยู่ที่นี่ ก็เพราะพวกเรามีผลงานแลกมา” ซือเล่าตบมือดัง หรี่ตาที่เริ่มมีแววกรึ่มสุราสรุปขึ้นเช่นนี้ ในพวกเขาสี่คนมีเขาที่คออ่อนที่สุด นี่อย่างไร พอสุราดอกกุ้ยอายุสองปีลงท้องไปครึ่งไห ก็เริ่มสองตาหรี่เคลิ้มไปแล้ว
“พูดได้ดี” หลินซือเย่าพยักหน้ายอมรับ หรี่ตามองซือเล่าที่เริ่มเมา เงียบไปพักหนึ่งก็เตือนขึ้นว่า “อย่าเมาจนไม่รู้ที่หมายคือใคร”
เป็นพี่น้องกัน เขาไม่รุกไล่จนสิ้นหนทาง แต่หากยังมีเรื่องอีก อย่าหาว่าเขาไม่เตือน
“อืม?” ซือเล่าหรี่ตาจ้องมองหลินซือเย่าเป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “ที่หมายอะไร?”
“เขาว่าเจ้าควรหาแม่นางที่หมายปองได้แล้ว” ซือชงยิ้มหรี่ตารั้งวาจาหลินซือเย่าเอาไว้
“เชอะ ข้าซือเล่าชีวิตนี้จะตัวคนเดียวไปจนตาย อย่างไรซือหลิงก็ลูกดก ก็หาสักคนมาดูแลข้ายามชราก็ได้…เอิ๊ก…”
หลินซือเย่าฟังวาจาเมาของซือเล่าประโยคนี้ก็หรี่ตามอง ในใจแอบว่า ดีมาก ถึงกับกล้าคิดมาเอาลูกเขาไป สมน้ำหน้าที่คืนนี้จะโดนบังคับฝืนใจ
ซือชงเข้าประคองอย่างพูดไม่ออก ถอนหายใจเบาๆ ประคองซือเล่าที่เริ่มออกอาการเมามาย “ไปๆๆๆ อย่ามาขายหน้าที่นี่ ประคองเจ้ากลับห้องไปนอนก่อน ดึกหน่อยค่อยมาตื่นมาชมจันทร์”
“ซือหลิง ปีนี้ซือทั่วไม่กลับมา?” ยังไม่ทันพ้นศาลาแปดเหลี่ยม ซือชงก็คิดถึงซือทั่วที่ไม่ได้ข่าวคราวมานาน หันมาถาม
“ไม่ได้บอก แต่ทว่าน่าจะมา” แค่ช้าเร็ว บางทีกลางดึงคืนนี้ชมจันทร์ก็คงมา ใครจะรู้
“อืม เช่นนั้นพบกันคืนนี้ ข้าประคองเขากลับก่อน เจ้าหมอนี่พักนี้ไม่ฝึกวิชา เอวมีแต่ไขมันไม่น้อย หนักมาก…”
หลินซือเย่าแอบขำพลางมองตามเขาสองคนเดินไปไกล จากนั้นก็หันมาเก็บโต๊ะให้สะอาด ทั้งไหสุรากับจอกสุรา กะว่ากลับไปเป็นเพื่อนสุ่ยเลี่ยนเตรียมงานไหว้พระจันทร์คืนนี้ดีกว่า
กำลังจะออกจากศาลาแปดเหลี่ยม หลินซือเย่าก็ชะงักกึก เงยหน้ามองไปยังมุมลึกของสระบัว พลางยกมุมปากยิ้ม “ในเมื่อมาแล้ว ทำไมไม่ออกมา”
“จุ๊ๆ…พลังวัตรก้าวหน้าอีกแล้ว?” หมู่ดอกบัวมีเงาร่างดำแวบหนึ่งเคลื่อนไหว เป็นซือทั่วจากหอเฟิงเหยาที่มาไกลนับพันลี้ เร่งเดินทางมาพร้อมหน้าในวันเทศกาล
“มาตอนไหน? ดื่มสุราหมดแล้ว” หลินซือเย่ายกไหสุราเปล่าในมือขึ้น
“เพิ่งมาถึง” ซือทั่วยกชุดยาวขึ้นก้าวข้ามมานั่งบนม้าหินข้างศาลา สองมือรองท้ายทอย พิงเสาศาลา “น่าเสียดายมาไม่ทัน”
“ทำไม บาดเจ็บ?” หลินซือเย่าเห็นเขาไม่ได้อยู่ในท่วงท่าพักผ่อนคลายแบบปกติ ก็ขมวดคิ้วกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง
“เจ้ารู้จนได้” ซือทั่วไถลตัวลื่นลงนอนบนม้าหิน จะได้เสริมแรงที่ขาดหายไปของเขา
“ตอนนี้ยังมีผู้ใดทำร้ายเจ้าบาดเจ็บได้อีก” หลินซือเย่าขมวดคิ้วถาม ด้วยฝีมือซือทั่ว จัดลำดับได้สิบอันดับแรกในยุทธภพไม่มีปัญหา นับประสาอันใดกับการที่หอเฟิงเหยาก็ไม่รับภารกิจสังหารแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะได้รับบาดเจ็บ
เขาไม่ได้กังวลที่ซือทั่วบาดเจ็บ กลับกัน ปีหนึ่งไม่บาดเจ็บสักสองสามครั้งก็คงไม่ใช่ซือทั่วแล้ว เขาเพียงแต่เป็นกังวลภัยที่อาจนำมาสู่เมืองฝานฮัว
“วางใจ คนนั้นเพียงแต่มาหาข้าประลองฝีมือ” ซือทั่วเห็นสีหน้าหลินซือเย่าก็อดค้อนอย่างเสียไม่ได้ “นี่ อย่างไรข้าก็บาดเจ็บอยู่นะ ไม่ปลอบใจข้าสักคำก็แล้วไป อย่างไรก็ควรเอาอาหารมาให้ข้าไหม ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว”
พอถึงจวนพักตากอากาศก็มาที่สระบัว ตั้งใจว่าจะเก็บฝักบัวไปกินให้ชื่นใจก่อน ผู้ใดจะคาดคิดว่าเพิ่งเข้ามาถึงก็ถูกเจ้าบ้านจับได้คาหนังคาเขา
“รอก่อน” หลินซือเย่าหันหลังกระโดดหายวับไปทันที ทิ้งไว้เพียงแค่ซือทั่วที่นอนแผ่บนม้าหินเคลื่อนพลังรักษาร่างกายงึมงำอยู่คนเดียว “จริงๆ ก็ส่งข้าไปเรือนสวนไผ่ได้นี่นา แช่น้ำร้อนสักหน่อย แล้วค่อยกินอาหารร้อนๆ สักมื้อ…”